ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 308 เปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ
บทที่ 308
เปิดเผยโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอจ้องไปที่เย่เย่ที่ยังคงสีหน้าซีดเผือดอยู่ในกรง ราวกับว่ากำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่
หลังจากนั้นสักพักซ่างกวานอวี่ก็ได้เงินหน้าขึ้นมามอง เย่เย่แล้วกล่าว “ข้อมูลของเจ้านั้นสำคัญต่อพวกเรามาก ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ! เพียงแต่ตัวเจ้านั้นได้ทำลายพิธีกรรมของพวกเราไป นอกจากนี้เมืองโบราณโม่ไห่ของเราตอนนี้ก็ต้องการกำลังคน ข้าจึงหวังให้เจ้าอยู่ที่เมืองโบราณโม่ไห่นี้ต่อสักพักเพื่อช่วยพวกเราให้รอดพ้นวิกฤติไปให้ได้ หากว่าเรื่องนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ข้าก็จะคืนลูกประคำกับแหวนนี้ให้เจ้า!”
ซ่างกวานอวี่กล่าวและก้มหัวให้เย่เย่ ราวกับทั้งขอร้องและข่มขู่ในเวลาเดียวกัน
เย่เย่นั้นยังคงไม่ตอบอะไร ส่วนหลินฉีที่อยู่ข้างๆ ซ่างกวานอวี่ที่ดูเหมือนยืนดูเฉยๆต่อไปไม่ไหว เขาที่มีสีหน้าหวาดกลัวนิดหน่อยก็ได้กล่าวเตือนซ่างกวานอวี่ “คุณหนูขอรับ ชายคนนี้แข็งแกร่งถึงในระดับราชันย์เทพ อีกทั้งเมืองโบราณโม่ไห่ของเรานั้นก็กำลังอยู่ในวิกฤติ ในเวลาเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะสร้างศัตรูรอบด้าน มันคงจะดีกว่าถ้าจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปนะขอรับ”
หลินฉีนั้นดูเหมือนจะกลัวความสามารถของเย่เย่และกังวลว่าเย่เย่นั้นจะเคียดแค้นเมืองโบราณโม่ไห่หลังจากที่สะสางเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นซ่างกวานอวี่จึงได้ไม่แนะนำให้ข่มขู่ เย่เย่
แต่ทว่าซ่างกวานอวี่นั้นดูเหมือนจะแน่วแน่กับ การตัดสินใจของเธอมาก เธอได้ส่ายหัวให้หลินฉีและอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ช่วยไม่ได้ “พี่หลิน ไม่ใช่ว่าตัวข้านั้นไร้เหตุผลแต่อย่างใด เพียงแต่กำลังพลที่จะป้องกันเมืองของเรานั้นอ่อนแอนัก ถ้าหากว่าท่านพ่อกลับมาแล้วก็คงไม่เป็นไร แต่ทว่าในเวลานี้มีท่านอาวุโสเพียงคนเดียวที่อยู่ในระดับราชันย์เทพและพวกเราที่อยู่ในระดับจอมเทพที่เหลืออยู่ในเมืองโม่ไห่ ดังนั้นเราจึงปล่อยให้ชายคนนี้ออกไปเฉยๆไม่ได้จริงๆ”
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ หลินฉีก็ได้ตกอยู่ในความเงียบและดูเหมือนว่าตัวเขานั้นจะเคารพในการตัดสินใจของซ่างกวานอวี่
ส่วนเย่เย่ที่อยู่ในคุกนั้นก็พบว่าทั้งสองคนนี้กำลังคิดที่จะผิดข้อตกลงเมื่อสักครู่ ก็ได้ทำให้มีความโกรธปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาทันที แล้วเขาก็ได้จับไปที่กรงและตะโกนใส่ทั้งสองคนที่อยู่นอกกรงด้วยความโกรธ “นี่เหรอคือท่าทีขอร้องของคนในเมืองโบราณโม่ไห่? ข้าก็บอกเจ้าในสิ่งที่ข้ารู้ไปแล้วไง เจ้ายังต้องการที่จะ……”
เย่เย่ที่พูดยังไม่ทันจบประโยคจู่ๆก็พบว่ามีพลังที่ไม่สามารถบอกได้กำลังแพร่มาจากกรงเข้ามาในตัวของเขา เย่เย่ก็ได้พลันรู้สึกเหมือนกับวิญญาณของเขาถูกแช่แข็งทันที แล้วทั้งตัวของเขาก็ได้ไร้พลังและเรี่ยวแรงที่จะโมโหต่อทันที
ตุบ!
เย่เย่ก็ได้รีบปล่อยมือออกจากกรงแล้วทั้งตัวของเขาก็ได้ทรุดลงไปนอนกองกับพื้น ดวงตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่กรงด้วยสีหน้าที่ไม่คาดฝัน
ที่ด้านนอกกรงเมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ซ่างกวานอวี่กับหลินฉีนั้นก็ดูเหมือนจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้พร้อมกันและมีแสงปรากฏออกมาจากในดวงตาของทั้งคู่
เย่เย่นั้นไม่รู้ว่าทำไม แต่ตัวเขายังคงนอนกองอยู่ที่พื้นและมองไปที่กรงที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความประหลาดใจและสงสัย และสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ทำกรงนี้
แล้วในเวลานี้เองซ่างกวานอวี่ที่คิดที่จะบังคับให้เย่เย่อยู่ในเมืองโบราณโม่ไห่ต่อนั้นก็ได้เดินมาหาเย่เย่ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป และกล่าวกับเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นมาก “เจ้า หรือว่าเจ้าคือผู้มาจุติในตำนาน?”
เมื่อคำถามนี้ออกมาจากปากของซ่างกวานอวี่ หลินฉีเองก็ได้จ้องมองไปที่เย่เย่ใกล้ๆ ราวกับว่าตัวเขานั้นอยากที่จะรู้คำตอบล่วงหน้าโดยอาศัยจากสีหน้าของเย่เย่ เพียงแต่ต่างไปจากสีหน้าที่กระตือรือร้นของซ่างกวานอวี่ หลินฉีกลับจ้องมองมาที่ เย่เย่ด้วยดวงหน้าที่หน้าเย็นอย่างสุดๆ ราวกับว่าตัวเขานั้นได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเก็บซ่อนความเกลียดชังของเขาที่มีต่อผู้มาจุติ
เมื่อคำว่า “ผู้มาจุติ” หลุดออกมาจากปากของ ซ่างกวานอวี่ เย่เย่ก็ได้เกิดความตกใจในหัวใจของเขาและแสดงออกถึงความตกใจบนใบหน้าของเขา
เพราะว่าตัวเขานั้นไม่คาดคิดว่าจู่ๆซ่างกวานอวี่นั้นจะถามเขาเช่นนี้ออกมา ซึ่งตัวเขานั้นก็ไม่คิดว่าตัวเขานั้นเผลอไปเผยเอาไว้ตอนไหนเลย แต่ในชั่วขณะต่อมาเย่เย่ก็ได้พลันหันสายตาของเขาไปยังกรงที่เขาเพิ่งจับไปเมื่อสักครู่และได้มีสีหน้าครุ่นคิดปรากฏในดวงตาของเขา
“ถ้าใช่แล้วยังไง?”
ในเมื่ออีกฝ่ายล่วงรู้แล้วและยากที่จะกลบเกลื่อนได้อีก เย่เย่จึงได้ไม่ปฏิเสธออกไป แล้วน้ำเสียงของเขาก็ได้พลันหนาวเย็นขึ้นมาและถามซ่างกวานอวี่กลับไป
ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะไม่ได้ยอมรับออกมาตรงๆ แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธในเวลาเดียวกัน ซึ่งได้ทำให้ซ่างกวานอวี่กับหลินฉีนั้นมั่นใจในการคาดเดาเมื่อสักครู่มากขึ้นไปอีก
แล้วในตอนนั้นเองที่ดวงตาของหลินฉีนั้นก็ได้จับจ้องมาที่เย่เย่ด้วยความหนาวเย็นถึงกระดูก ในขณะที่ซ่างกวานอวี่นั้นกลับมีใบหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น เธอได้เดินเข้ามาหาแล้วชี้ไปที่กรงที่อยู่ตรงหน้าของเย่เย่กับตัวเธอและกล่าว “กรงนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากหินสิ้นวิญญาณ ซึ่งไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งอย่างสุดๆที่แม้แต่จอมยุทธ์ราชันย์เทพก็ยังไม่อาจสั่นคลอนได้ แต่มันยังสามารถใช้ผนึกวิญญาณของผู้ที่เข้ามาสิงร่างคนอื่นได้และทำให้ผู้มาจุตินั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วขณะ”
ซ่างกวานอวี่ก็ได้อธิบายให้เย่เย่ฟังและมองไปที่เย่เย่ด้วยดวงตาที่สดใส ราวกับว่าตัวเธอนั้นได้พบกับสมบัติชิ้นใหญ่เข้า ใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างสุดๆ
แต่ในความเป็นจริงนั้นทั้งคู่นั้นไม่ได้อธิบายเรื่องหนึ่งให้เย่เย่ฟัง นั่นคือวัสดุที่เรียกว่าหินสิ้นวิญญาณนั้นหายากมาก และไม่ใช่ว่าทุกกรงในเมืองโบราณโม่ไห่นั้นจะทำมาจากหินสิ้นวิญญาณ
ซึ่งคุกของเย่เย่นั้นเดิมทีเอาไว้ใช้ขังนักโทษที่มีวรยุทธ์สูงมาก จึงได้ใช้โลหะที่ล้ำค่าอย่างหินสิ้นวิญญาณในการใช้ทำกรงนี้
ซ่างกวานอวี่นั้นก็ไม่นึกเลยว่า เป็นเพราะเธอที่ให้ความสำคัญกับพิธีกรรมนั้นมากจึงได้สั่งให้คนนำเย่เย่มาขังในคุกระดับสูงสุดนี้ แต่ไม่นึกเลยว่ามันจะทำให้เธอนั้นค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเย่เย่ที่เป็นผู้มาจุติเช่นนี้ราวกับว่าตัวเธอนั้นได้ถูกปลดปล่อยจากความมืดมิดยังไงอย่างงั้น และด้วยเหตุนี้ซ่างกวานอวี่จึงได้มุ่งมั่นที่จะชวนเย่เย่ให้มาเข้าร่วมกับเมืองโบราณโม่ไห่มากกว่าเดิม และมองไปที่เย่เย่ด้วยสายตาที่คาดหวังและถวิลหาอยู่ตลอดเวลา
ในเวลานี้สายตาที่หนาวเหน็บในดวงตาของหลินฉีก็ได้หายไปและเก็บซ่อนอารมณ์ที่แท้จริงเอาไว้ได้อย่างหมดจด ราวกับมันเป็นเพียงภาพหลอนของเย่เย่เท่านั้น แล้วท่าทีของเขาที่มีต่อเย่เย่นั้นก็ได้ค่อยๆเปลี่ยนไปแบบเดียวกับซ่างกวานอวี่ จากตอนแรกที่เป็นเพียงแค่นักโทษในเวลานี้ตัวเขาก็ได้เต็มไปด้วยความสนใจในตัวของเย่เย่แล้ว
“ลูกประคำกับแหวนวงนี้ข้าจะคืนให้ท่าน! นอกจากนี้ข้าจะขอเชิญท่านให้มาเข้าร่วมกับพวกเราอย่างเป็นทางการในฐานะลูกสาวของเจ้าเมืองโบราณโม่ไห่แห่งนี้ แล้วไม่ต้องกังวลไปถึงแม้ว่าเมืองโม่ไห่ของพวกเรานั้นจะเป็นเพียงเมืองหนึ่งในอีกร้อยเมืองโบราณในเทียนหนาน แต่ข้าซ่างกวานอวี่จะขอรับรองด้วยเกียรติของข้าว่าตราบเท่าที่ท่านจริงใจที่จะทำเพื่อเมืองของเราแล้ว ทางเมืองของเราก็จะไม่ปฏิบัติกับท่านไม่ดีอย่างแน่นอน!”
ในขณะที่ซ่างกวานอวี่กล่าวเธอก็ได้วางลูกประคำกับแหวนไว้ข้างตัวเย่เย่ผ่านช่องกรง แล้วจากนั้นก็ได้เชื้อเชิญเย่เย่ อย่างจริงใจและสายตาของเธอก็ได้เต็มไปด้วยความคาดหวังและกระวนกระวาย
ส่วนหลินฉีที่อยู่ข้างๆเธอก็ได้จับจ้องมาที่เย่เย่อย่างใกล้ชิดและรอคอยคำตอบของเขา ราวกับว่าตัวเขาได้ยึดเอาท่าทีของซ่างกวานอวี่เป็นที่ตั้งและไร้ซึ่งความผิดปกติอะไร
เย่เย่นั้นก็ได้มีสีหน้าตกใจและรีบลุกขึ้นมาหลังจากที่ผลของหินสิ้นวิญญาณได้อ่อนลงไปแล้วก็ได้มองมาที่ทั้งสองคนที่อยู่อีกด้านของกรงด้วยสายตาแปลกๆแล้วกล่าว “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าคิดที่จะส่งตัวข้าให้กับทัณฑ์สวรรค์เพื่อรับรางวัลหรอกเหรอ? แต่เจ้ากลับชวนข้ามาเข้าร่วมกับพวกเจ้าเสียอย่างนั้น นี่หัวของพวกเจ้ายังใช้การได้อยู่ใช่ไหม?”
หลังจากที่ได้ยินที่เย่เย่ถาม ซ่างกวานอวี่กับหลินฉีก็ได้หันหน้ามามองกันเอง แล้วพวกเขาต่างก็มั่นใจมากขึ้นว่าเย่เย่นั้นจะต้องมาจากแผ่นดินว่านหลิงที่อยู่บนเกาะอีกฟากของทะเลเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวเขานั้นจะไม่รู้แม้แต่สถานการณ์พื้นๆของแผ่นดินว่านหลิง
ซ่างกวานอวี่ก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆแล้วจากนั้นก็ได้ค่อยๆอธิบายให้เย่เย่ฟัง “ถึงแม้ว่าท่าทีของทัณฑ์สวรรค์ที่มีต่อผู้มาจุตินั้นคือให้สังหารผู้มาจุติทั้งหมดก็จริงอยู่ แต่ในเวลานี้มีผู้มาจุติมากมายอยู่ในแผ่นดินว่านหลิงทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะสังหารได้ทั้งหมด และในเวลานี้สำนักใหญ่ของทัณฑ์สวรรค์นั้นก็ถูกกดดันด้วยสำนักสามเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยแล้ว ดังนั้นสถานการณ์ของผู้มาจุติในแผ่นดินว่านหลิงนั้นจึงไม่ได้หนักหนาเหมือนกับที่อื่นๆ ในทางกลับกันผู้มาจุติแต่ละคนนั้นล้วนแต่แข็งแกร่งอีกทั้งยังมีพลังซ่อนเร้นที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้ขุมอำนาจใหญ่ๆในแผ่นดินว่านหลิงนั้นล้วนแต่พากันอ้าแขนรับผู้มาจุติกันทั้งนั้น”
เมื่อเห็นท่าทีที่สนใจของเย่เย่ที่ได้ยินเช่นนี้แล้ว ซ่างกวานอวี่ก็ได้พลันมีท่าทีที่ดีต่อเย่เย่โดยหวังที่จะฟื้นฟูความประทับใจที่แย่ที่อยู่ในใจของเย่เย่เมื่อก่อนหน้านี้
“ก่อนหน้าที่ท่านจะปรากฏตัว เรื่องของผู้มาจุตินั้นก็เป็นเพียงแค่ตำนานของเมืองโบราณโม่ไห่ของพวกเราที่เคยแต่ได้ยินแต่ไม่เคยพบ แต่ทว่าเมืองโม่ไห่ของพวกเรานั้นก็ให้ความสำคัญอย่างมากกับผู้มาจุติ ซึ่งถ้าหากว่าท่านยอมเข้าร่วมกับพวกเราแล้ว ข้าก็จะขอรับประกันว่าท่านจะได้สิ่งของในการใช้ฝึกวิชาจำนวนมากมาย และท่านเจ้าเมืองแห่งนี้ซึ่งก็คือท่านพ่อของข้านั้นก็ได้ย้ำเตือนอยู่เสมอว่าให้ทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือท่านให้เติบใหญ่จนกลายเป็นสุดยอดฝีมือในแผ่นดินว่านหลิงให้ได้”
ซ่างกวานอวี่ก็ได้กล่าวชวนเย่เย่อีกหน โดยคาดหวังให้ เย่เย่นั้นยอมเข้าร่วมกับเมืองโบราณโม่ไห่
และหลังจากที่เย่เย่ได้ยินที่ซ่างกวานอวี่อธิบายแล้ว ตัวเขาจึงได้เข้าใจว่าทำไมท่าทีของอีกฝ่ายนั้นจะได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้หลังจากที่รู้ว่าตัวเขานั้นเป็นผู้มาจุติ
จากบทสนทนาเมื่อสักครู่ เย่เย่ก็พอจะเดาได้คร่าวๆถึงความแข็งแกร่งของเมืองโม่ไห่แห่งนี้ ซึ่งนอกจากเจ้ามืองซ่างกวานจ้งแล้ว ผู้ที่อยู่ในระดับราชันย์เทพนั้นก็น่าจะมีอย่างมากแค่ 2 – 3 คนเท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่ายังห่างไกลจากคำว่าทรงพลังในแผ่นดินว่านหลิงมากนัก
ซึ่งนอกจากเมืองโบราณโม่ไห่แห่งนี้จะต้องเผชิญกับอันตรายจากมังกรสองหัวแล้ว ก็ยังมีเรื่องของกำลังคนอีก ซึ่งการเข้าร่วมของเขานั้นจะช่วยเพิ่มพูนความมั่นใจให้กับเมืองโบราณโม่ไห่และผู้คนให้อย่างมาก
แต่ทว่าเย่เย่นั้นก็ยังไม่ได้ตอบตกลงทั้งคู่ไป หลังจากที่หยิบลูกประคำสีดำกับแหวนที่อยู่บนพื้นขึ้นมาเก็บเอาไว้กับตัวแล้ว เขาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่ซ่างกวานอวี่ที่อยู่อีกฟากของกรง
“ถ้าหากว่าข้าปฏิเสธคำชวนของเจ้า เจ้าก็คงคิดที่จะขังข้าเอาไว้ในคุกนี้ไปตลอด หรือไม่ก็สังหารข้าทันทีดีกว่าที่จะปล่อยให้ไปเข้ากับศัตรูของพวกเจ้าสินะ?”
เย่เย่ก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ก็แฝงไว้ด้วยความขัดขืนที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่าตัวเขานั้นไม่ยอมที่จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนอื่นได้ง่ายๆ
ถึงแม้ว่าในเวลานี้ตัวเขานั้นจะเป็นเพียงนักโทษของเมืองโบราณโม่ไห่ แต่ในเมื่อเย่เย่นั้นได้สมบัติทั้ง 3 ชิ้นคืนมาแล้วตัวเขาก็มั่นใจมากกว่าจะสามารถหนีออกไปจากคุกนี้ได้ ถ้าหากว่าซ่างกวานอวี่นั้นคิดที่จะบังคับให้เขาเข้าร่วมหรือตัดสินใจที่จะฆ่าเขาทันที แม้ว่าในเวลานี้ตัวเขาจะยังทำอะไรไม่ได้ก็ตามที แต่เขาก็เชื่อว่าโอกาสจะต้องมาถึงในไม่ช้าที่จะทำให้เมืองโบราณโม่ไห่นี้ต้องจ่ายบทเรียนราคาแพงนี้
ส่วนอีกด้านของกรงหลังจากที่ได้ยินที่เย่เย่ถามแล้ว ซ่างกวานอวี่ก็ได้ตกลงสู่สถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปสักพักหนึ่ง
ถึงแม้ว่าตัวเธอนั้นจะไม่สามารถคืนคำพูดของเธอเมื่อสักครู่ที่ใช้สมบัติของเย่เย่มาใช้ขู่ให้เขาอยู่ช่วยเมืองโม่ไห่ต่อได้ แต่ตัวเธอก็ไม่ได้คิดที่จะฆ่าเย่เย่แต่อย่างใด
ในเวลานี้ตัวตนในฐานะผู้มาจุติของเย่เย่นั้นก็ได้ถูกเปิดเผยแล้ว ซึ่งไม่ว่าจะปล่อยเข้าไปหรือให้อยู่ต่อก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบอย่างมากกับเมืองโบราณโม่ไห่ ทำให้ซ่างกวานอวี่นั้นได้ระมัดระวังมากขึ้นกว่าเมื่อสักครู่