ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 285 ตระกูลซ่ง
บทที่ 285
ตระกูลซ่ง
จ้าวอู๋หมิงถูกสังหาร และยอดฝีมือของทัณฑ์สวรรค์คนที่เหลือก็ได้รีบเหาะหนีไปไกลโดยไม่กล้าที่จะหยุดและมุ่งหน้ากลับไปยังเขาเสวียนคงซานอย่างสุดความสามารถ
เย่เย่กับเหยียนลี่หยางนั้นก็ไม่ได้ไล่ตามต่อเช่นกัน เพราะไม่ใช่เรื่องดีนักหากถูกล้อมโดยยอดฝีมือทัณฑ์สวรรค์คนอื่นๆเข้า ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเอาชนะในศึกนี้มาได้ เย่เย่กับเหยียนลี่หยางก็ต้องเสียไปไม่น้อยเช่นกัน ถ้าหากทั้งคู่ถูกขวางโดยพวกยอดฝีมือทัณฑ์สวรรค์อีก พวกเขาคงไม่สามารถหนีรอดได้แน่
หลังจากที่ดูดซับเอาพลังปราณของจ้าวอู๋หมิงมา เย่เย่ก็ได้เหาะไปพร้อมกับเหยียนลี่หยางทันทีมุ่งหน้าไปยังแผ่นดิน ว่านหลิงที่อยู่ทางตอนเหนือ โดยไม่กล้าที่จะหยุดอยู่ที่ไหนนานๆ
ถึงแม้ว่าทั้งคู่นั้นจะรีบแล้วก็ตามทีแต่พวกเขาก็ยังสายไปอยู่ดี ไม่นานนักหลังจากที่เย่เย่กับเหยียนลี่หยางนั้นกำลังจะเหาะออกไปจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นั้น ก็ได้มีเงาดำปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
“อวี่เหวินจื้อ!”
เมื่อเห็นเงาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทั้งคู่แล้ว เย่เย่กับ เหยียนลี่หยางก็ได้หยุดและตะโกนชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม
เงาดำนั้นก็คืออวี่เหวินจื้อประมุขเขาเสวียนคงซานนั่นเอง ทันทีที่เขาได้ทราบข่าวว่าเย่เย่กับเหยียนลี่หยางปรากฏตัว เขาก็ได้รีบมุ่งหน้ามายังที่แห่งนี้โดยทันทีด้วยความเร็วที่สูงมากจนทำให้ยอดฝีมือของทัณฑ์สวรรค์คนอื่นๆตามเขามาไม่ทัน
เย่เย่กับเหยียนลี่หยางก็ได้คิดว่าคราวนี้พวกเขาคงได้แย่แล้วเป็นแน่แท้ แต่อวี่เหวินจื้อนั้นกลับยังไม่ได้โจมตีใส่พวกเขาทันที กลับกันเขาบอกมาที่ทั้งคู่แล้วกล่าว “กลับไปที่หลิงเฉิงแต่โดยดี แล้วข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหน่อย!”
ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมของอวี่เหวินจื้อนั้น ก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่แผ่ออกมาจากพวกเย่เย่ เขาก็เดาได้ทันทีว่าจะต้องมีคนจากทางฝั่งของเขาถูกสังหารด้วยน้ำมือของทั้งคู่เป็นแน่ แต่อวี่เหวินจื้อนั้นก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธอะไรออกมา อย่างไรเสียเย่เย่กับเหยียนลี่หยางนั้นก็ไม่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรีบสังหารทั้งคู่ในทันที
เย่เย่กับเหยียนลี่หยางก็รู้สึกได้ถึงการดูถูกขึ้นมาในใจของพวกเขาหลังจากที่ได้ยินที่อวี่เหวินจื้อกล่าว ถึงแม้อวี่เหวินจื้อนั้นไม่ได้คิดที่จะสังหารพวกเขาในเวลานี้ก็จริง แต่ท่าทีที่ดูถูกของอีกฝ่ายนั้นก็ได้ทำให้ทั้งเย่เย่และเหยียนลี่หยางนั้นรู้สึกไม่พอใจมาก พวกเขาได้มองไปที่อวี่เหวินจื้อโดยไร้ซึ่งความขลาดกลัว
“ฮึ่ม! พวกเราจะไปหากเจ้าคิดว่าจะหยุดพวกเราได้ก็ลอง? หวังว่าเจ้าคงจะไม่ลืมเมื่อคราวก่อนที่ทำได้แต่มองดูข้าหนีไปน่ะ?”
เย่เย่ก็ได้ส่งสายตาให้เหยียนลี่หยางเป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายหนีกันไปคนละทางหากจำเป็นแล้วจากนั้นหันหน้ามาแล้วพูดยั่วโมโหอวี่เหวินจื้อเพื่อดึงดูดความสนใจของ อวี่เหวินจื้อให้มุ่งมาทางเขา
เพราะหนก่อนหลังจากที่เย่เย่นั้นได้ใช้พลังปราณมังกรที่ขาเพื่อเร่งความเร็วอีกระดับหนึ่งฉวยโอกาสยามที่อวี่เหวินจื้อเผลอในช่วงสั้นๆ ได้เขาจึงคิดว่าหนนี้ตัวเขาเองก็น่าจะหนีรอด จากอวี่เหวินจื้อได้อีกเช่นกัน จึงได้ทำให้เขาไม่กลัวการข่มขู่ของ อวี่เหวินจื้อเลย
แต่ทว่าอวี่เหวินจื้อก็ได้ยิ้มอย่างเย้ยหยันออกมาและตอบเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่ดูถูก “ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไปเมื่อหนก่อน แต่ครั้งนี้ข้าได้เตรียมการเอาไว้พร้อมแล้ว หากยังคิดว่าจะสามารถหนีรอดไปจากสายตาของข้าได้ก็ลองดู!”
ในฐานะที่เป็นประมุขของเขาเสวียนคงซานแล้ว อวี่เหวินจื้อนั้นมีทั้งสิ่งของและของสะสมมากมายกว่าที่เย่เย่ได้คาดเอาไว้เสียอีก ซึ่งแน่นอนว่าเคล็ดวิชาลับที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้ตัวเองอยู่ ตั้งแต่ที่เขาทำได้แค่ยืนมองปล่อยให้เย่เย่หนีไปได้เมื่อหนก่อน เมื่ออวี่เหวินจื้อได้กลับมาถึงเขาเสวียนคงซาน ตัวเขาก็ได้เริ่มฝึกวิชาลับพันเงาพันลมเพื่อเพิ่มความเร็วของเขาให้มากขึ้นไปอีก
เมื่อสักครู่ที่ตัวเขาได้มาปรากฏตัวตรงหน้าของเย่เย่และเหยียนลี่หยางในรูปร่างของเงานั้นก็เป็นเพราะอวี่เหวินจื้อนั้นได้บรรลุเคล็ดวิชาลับพันเงาพันลมแล้วทำให้ตัวเขาเร่งความเร็วได้จนถึงระดับที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้แต่ยอดฝีมือทัณฑ์สวรรค์คนอื่นๆที่อยู่ใกล้กับเย่เย่มากกว่าอวี่เหวินจื้อและได้มุ่งหน้ามาไล่ตามทั้งคู่ก่อนอวี่เหวินจื้อก็ตาม แต่อวี่เหวินจื้อก็ยังสามารถทิ้งพวกเขาไว้เบื้องหลังและเข้ามาขัดขวางทั้งคู่ก่อนได้ ด้วยความเร็วที่น่ากลัวนี้เป็นหลักฐานอย่างดี
เมื่อเย่เย่กับเหยียนลี่หยางได้ยินเช่นนี้แล้ว ก็ได้มีใบหน้าที่ยากลำบากปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
เย่เย่นั้นสามารถใช้พลังปราณมังกรไปที่เพื่อเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจนมีความเร็วเทียบได้กับจักรพรรดิเทพก็จริงอยู่ แต่ในเวลานี้ตัวเขานั้นบาดเจ็บอยู่จึงไม่สามารถที่จะใช้พลังได้อย่างเต็มที่นัก แล้วยิ่งการพาเหยียนลี่หยางหนีไปด้วยนั้นก็จะทำให้ความเร็วนั้นไม่เพียงพอมากขึ้นไปอีก
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะสามารถเปลี่ยนให้แหวนกลับกลายเป็นอารามแล้วใส่เหยียนลี่หยางเข้าไปได้ก็ตามที แต่ตัวเขาก็ไม่เชื่อว่าอวี่เหวินจื้อนั้นจะปล่อยให้ตัวเขานั้นมีโอกาสให้ทำเช่นนั้นได้แน่ และยิ่งไปกว่านั้นความเร็วของอวี่เหวินจื้อเมื่อสักครู่นั้นก็น่ากลัวกว่าตอนที่เย่เย่พบกับเขาเมื่อหนก่อน ทำให้เย่เย่นั้นไม่มั่นใจว่าจะหนีรอดไปจากเขาได้ ต่อให้เย่เย่นั้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดก็ยังไม่มั่นใจว่าจะหนีรอดไปจากเขาได้ ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจเริ่มทับซ้อนกันมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ทำให้สถานการณ์ในเวลานี้ไม่สู้ดีนัก
ดังนั้นหลังจากที่มองไปที่เหยียนลี่หยางแล้ว ก็ได้มีใบหน้าที่หมดหวังขึ้นมาบนใบหน้าของเขา แล้วก็กล่าวกับ อวี่เหวินจื้อด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “เจ้าต้องการให้ข้ามองดูหอใบหยกถูกทำลายโดยทัณฑ์สวรรค์อย่างนั้นเหรอ? ช่างระวังเรื่องยกหินหล่นทับขาตัวเองเสียเหลือเกินนะ”
หลังจากนั้นเขาก็ได้ค่อยๆพาเหยียนลี่หยางหันหลังแล้วหายไปจากตรงหน้าของอวี่เหวินจื้ออย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงเฉิง
“หึ! เจ้าคิดที่จะหนีงั้นเหรอ? ฝัน!”
อวี่เหวินจื้อก็ได้มองไปยังทิศทางที่เย่เย่กับเหยียนลี่หยางหนีไปด้วยสีหน้าที่ดูถูกในขณะที่ตัวเขายังคงยืนนิ่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางอากาศ
ตัวเขานั้นได้เข้าครอบครองแผ่นดินนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว ต่อให้ตัวเขาอยู่ต่อหน้าประมุขอารามวิถีสวรรค์ในตำนาน อวี่เหวินจื้อก็ยังรู้สึกไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร แต่เพื่อที่จะทำให้ทัณฑ์สวรรค์กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง เขาจึงได้มุ่งมั่นที่จะทำให้เย่เย่นั้นต้องลิ้มรสประสบการณ์ที่เจ็บปวดและสิ้นหวังก่อนที่จะตาย เขาจึงได้ยังไม่รีบไล่ตามเย่เย่กับเหยียนลี่หยางไปหลังจากที่ทั้งคู่ได้หนีไปแล้ว
ถึงแม้ว่าจ้าวอู๋หมิงนั้นจะสิ้นไปแล้ว แต่กองทัพหลวงก็ยังคงทำการล้อมภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ภายใต้คำสั่งของทัณฑ์สวรรค์ที่ทรงอำนาจอยู่ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยากจะออกไปจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ก็จะต้องถูกพวกเขาล้อมจับ, เข้าขัดขวางและสังหารอย่างเหี้ยมโหดโดยกองทัพหลวง ดังนั้นจุดทางเข้าออกต่างๆในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นั้นจึงได้เต็มไปด้วยซากโครงกระดูกและเลือด
ในฐานะที่เป็นจุดเข้าออกที่ใหญ่ที่สุดในชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ เมืองหลูเฉิงจึงเป็นเส้นทางเดียวที่จะออกไปยังเขตชานเมืองของแผ่นดินชางหลางได้ จึงเป็นที่ที่มีผู้อพยพจำนวนมากมาอยู่รวมกัน ภายใต้การควบคุมของกองทัพหลวง และทั่วทั้งเมืองหลูเฉิงก็ได้ถูกกองทัพหลวงเข้าควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว เหล่าผู้อพยพที่ถูกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่จึงมีอยู่แค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น หนึ่งคือย้อนกลับไปทางเดิมและออกไปจากเมืองหลูเฉิงเสีย และอีกทางหนึ่งคือถูกกองทัพหลวงสังหารทิ้งเสียที่นี่
ถึงแม้ว่าด้วยการกระทำอันป่าเถื่อนของกองทัพหลวงนั้นจะทำให้เกิดจลาจลขึ้นมาในเมืองหลูเฉิง และมีผู้อพยพจำนวนมากแหกด่านฝ่าแนวป้องกันของกองทัพหลวงและหนีออกไปจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ได้ก็ตามที แต่ทว่าด้วยการเข้าปราบปรามและไล่ล่าของกองทัพหลวงในภายหลังนั้นทำให้มีคนจำนวนน้อยมากที่หลุดรอดไปได้แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องตายภายใต้คมดาบของกองทัพหลวง
ในช่วงเวลานี้เองก็มีผู้อพยพกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่หลบหนีออกมายังชานเมืองได้ไม่ไกลจากเมืองหลูเฉิงนั้น เหล่าทหารจากกองทัพหลวงก็ยังคงตามไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่หยุดไม่หย่อนจนกว่าจะสังหารพวกเขาจนหมดได้
ถึงแม้ว่าเหล่าผู้อพยพกลุ่มนี้จะฉวยโอกาสตอนที่มีการจลาจลแล้วหลบหนีออกมาจากเมืองหลูเฉิงและหนีมายังชานเมืองของแผ่นดินชางหลางอย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มียอดฝีมือจริงๆร่วมเดินทางมากับพวกเขาด้วยเลย ทำให้โอกาสที่จะรอดภายใต้การไล่ล่าของกองทัพหลวงนั้นต่ำมาก
หนึ่งในนั้นมีหญิงงามวัยกลางคนอยู่คนหนึ่งที่กำลังอยู่ในสภาพที่ลำบากใจ ใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนล้าและมีความรู้สึกผิดปรากฏอยู่ในดวงตาของนางเป็นครั้งคราว
ถ้าไม่ใช่เพราะนางดื้อรั้นที่จะอยู่ที่เมืองหลูเฉิงต่อเพื่อรอให้ลูกสาวของนางกลับมา บางทีตระกูลของนางก็คงจะหนีออกมาจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นานแล้ว ก่อนที่กองทัพหลวงจะเข้ามาในเมืองหลูเฉิง ดังนั้นนางจึงได้คิดว่าเป็นเพราะนางคนเดียวที่ทำให้ทุกคนต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ จนทำให้นางอยากที่จะขอโทษสามีของนางด้วยความตาย
ตุ่บ!
แล้วสาวงามวัยกลางคนที่เหนื่อยล้าทางกายอย่างสุดๆอยู่แล้ว อีกทั้งยังเหนื่อยล้าทางใจจากความเศร้าเสียใจอย่างสุดๆอีก นางจึงได้ล้มลงขณะที่กำลังหลบหนีพร้อมกับฝูงชน
“ชิงเสวียน!”
ชายวัยกลางคนก็ได้รีบวิ่งมาหาหญิงงามวัยกลางคน เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังของเขาจึงรีบหันกลับมามองก็พบว่าภรรยาของเขาเฉินชิงเสวียนได้ล้มลง เขาจึงได้รีบกลับมาช่วยประคองนาง
“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าบาดเจ็บตรงไหนเหรอ?”
ชายวัยกลางคนนั้นนามซ่งจิ้งก็ได้มองไปที่เฉินชิงเสวียนโดยไร้ซึ่งสายตาตำหนิอันใด มีแต่ความเป็นห่วงและกังวลเท่านั้น เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้แล้วเฉินชิงเสวียนก็ได้ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้นไปอีกในใจของนาง นางจึงได้ผลักซ่งจิ้งออกไปแล้วกล่าวกับเขาทั้งน้ำตา “พี่จิ้งพี่รีบไปเถอะ อย่าได้เป็นห่วงข้าเลย! ข้าเป็นคนทำให้กลายเป็นแบบนี้ขอให้ข้าได้ชดใช้ความผิดนี้ด้วยความตายเถอะ!”
เมื่อได้ยินที่เฉินชิงเสวียนคร่ำครวญแล้ว ก็ได้ทำให้ตระกูลซ่งคนอื่นๆต้องมีสีหน้ามืดดำทันทีและหลบหนีด้วยความเร็วที่ช้าลง พวกเขานั้นไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากที่มองหน้ากัน แล้วต่างก็จับจ้องมาที่ซ่งจิ้งหัวหน้าตระกูลซ่ง เพื่อรอให้เขาได้ตัดสินใจ
“เจ้าพูดอะไรเหลวไหลออกมาน่ะ! รีบหนีไปกับพวกเราเร็วเข้าเถอะ เราช้ากันมากเกินไปแล้วนะ!”
แต่ทว่าซ่งจิ้งนั้นเหมือนจะไม่ได้ยินที่เฉินชิงเสวียนพูดเลย เขาได้มองไปที่กลุ่มไล่ล่าที่ไล่หลังพวกเขามาเรื่อยๆนั้น แล้วจากนั้นก็ได้เดินกลับมาหาเฉินชิงเสวียนด้วยสายตาที่หนักแน่นไม่สั่นคลอนของเขา
ถึงแม้ว่าคนอื่นๆในตระกูลซ่งนั้นจะได้เตือนให้ซ่งจิ้งไว้แล้วในตอนที่กองทัพหลวงเริ่มการสังหารผู้คนในตะวันตกเฉียงใต้ และบอกให้เขาพาคนในตระกูลซ่งหลบหนีออกจากภูมิภาคนี้ แต่ทว่าซ่งจิ้งนั้นกลับเป็นห่วงลูกสาวของเขาซ่งฉี และในขณะเดียวกันก็ยังเป็นห่วงความรู้สึกของเฉินชิงเสวียน จึงได้ให้คนของตระกูลซ่งบางส่วนล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเขาจะพาคนของตระกูลซ่งที่เหลือกับเฉินชิงเสวียนอยู่รอซ่งฉีกลับมา แต่ทว่าซ่งจิ้งกับคนอื่นๆก็ยังไม่พบเห็นซ่งฉีแม้แต่เงาจนกระทั่งกองทัพหลวงได้เข้ามาในเมืองหลูเฉิงและปิดทางออกจากภูมิภาคนี้ทั้งหมดเอาไว้
ถ้าไม่ใช่เพราะการจลาจลที่เกิดขั้นทั่วทั้งเมืองจนทำให้การป้องกันของกองทัพหลวงรั่วแล้ว ก็เกรงว่าซ่งจิ้งกับคนอื่นๆก็คงจะหนีออกมาจากเมืองหลูเฉิงจนกระทั่งถึงตอนนี้ไม่ได้แน่ แต่ต่อให้พวกเขาหนีออกมาจากเมืองหลูเฉิงในช่วงโกลาหลมาได้ก็ตาม และโอกาสที่จะหนีรอดจากการไล่ล่าของกองทัพหลวงนั้นก็ยังน้อยมากอยู่ดี
ทันทีที่ซ่งจิ้งมองดูดวงตาของเฉินชิงเสวียน เขาก็รู้ทันทีว่านางนั้นสิ้นหวังมากและแบกรับความรู้สึกผิดทั้งหมดเอาไว้ที่ตัวของนาง และซ่งจิ้งนั้นคิดหาหนทางที่จะปลอบเฉินชิงเสวียนไม่ออกเช่นกัน เขาจึงได้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่นางพูดและพา เฉินชิงเสวียนหลบหนีต่อ
แต่ทว่าความเร็วของทั้งสองคนนั้นก็ได้ตกลงอย่างเห็นได้ชัดหากเทียบกับก่อนหน้านี้ และทำให้คนอื่นๆในตระกูลซ่งต้องช้าลงไปด้วยเพื่อที่จะคอยคุ้มกันผู้นำตระกูลด้วย ซึ่งได้ทำให้กองทัพหลวงที่ไล่ล่าพวกเขามานั้นกระชั้นชิดมากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเจ้ารีบไปแล้วทิ้งพวกข้าเอาไว้! เหตุผลที่ตระกูลซ่งของเราต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากข้าทั้งนั้น ผู้นำตระกูลเช่นนี้ไม่มีค่ามากพอที่จะเป็นหัวหน้าพวกเจ้าหรอก!”
ซ่งจิ้งที่เห็นว่าทุกคนคงได้ตายกันหมดแน่หากปล่อยเอาไว้เช่นนี้ต่อไป ตัวเขาจึงได้กัดฟันตัดสินใจและตะโกนบอกคนอื่นๆในตระกูลซ่งในขณะที่ตัวเขาที่ประคองเฉิงชิงเสวียนอยู่นั้นก็ได้หยุดเดิน
“พี่จิ้ง….”
เฉินชิงเสวียนก็ได้มองไปที่สามีของนางทั้งน้ำตา และใบหน้าของนางก็ได้เต็มไปด้วยความกระวนกระวายและความรู้สึกผิด ราวกับว่านางต้องการที่จะพูดเกลี้ยกล่อมให้ซ่งจิ้งนั้นยอมทิ้งนางไป
แต่ซ่งจิ้งก็ได้ใช้มือของเขาปิดปากของนางและพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าไม่อาจทิ้งเจ้าเอาไว้แล้วหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ ถ้าหากเจ้าอยากที่จะตาย ข้าก็จะขอตายไปพร้อมกับเจ้า”