ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 282 ซ่งฉี
บทที่ 282
ซ่งฉี
หลังจากที่จ้าวฉินกับพรรคพวกได้ตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ได้แจ้งไปยังเย่เย่และบอกให้เย่เย่นั้นพาพวกเขาหนีไปด้วย ซึ่ง เย่เย่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร และได้บอกให้พวกเขาเตรียมพร้อมเข้าไปในอารามวิถีสวรรค์และตามเย่เย่ไปยังแผ่นดินว่านหลิงด้วย
ทางด้านกองทัพของราชวงศ์ชางหลางที่ปิดล้อมภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้เอาไว้นั้นก็ได้รุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ และทางด้านของเขาเสวียนคงซานของทัณฑ์สวรรค์นั้นก็ได้เข้าใกล้เมือง หลิงเฉิงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งข่าวเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายนี้หมายจะทำลายหอการค้าใบหยกนั้นก็ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งแผ่นดินชางหลาง แน่นอนว่าผู้คนใน 13 เมืองในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ต่างก็รู้สึกกระวนกระวายและส่วนใหญ่ต่างก็ได้อยากที่จะพากันหนีออกไปจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้เพื่อหนีไปยังที่อื่นในแผ่นดินชางหลาง
ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะรู้ดีว่ากองทัพหลวงนั้นกำลังจะมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว และสิ่งที่ต้องจ่ายในการฝ่าวงล้อมนี้มันมากเกินไป แต่ก็ไม่มีใครที่อยากจะอยู่รอความตาย ดังนั้นต่อให้ถนนข้างเบื้องหน้าจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ผู้คนที่อยากจะรอดอย่างแรงกล้านั้นก็ได้เดินหน้าไปหาชายแดนภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น
กองทัพหลบหนีขนาดใหญ่นี้มีทั้งมาเพิ่มบ้างและแยกตัวออกไปบ้าง ต่อให้เป้าหมายของพวกเขานั้นจะต่างกันออกไป แต่พวกเขาต่างก็ต้องการที่จะหนีรอดออกไปจะตะวันตกเฉียงใต้ให้ได้โดยด่วน ซึ่งระหว่างทางหนีก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนับไม่ถ้วน มีคนมากมายที่ต้องหยุดเดินทางไปตลอดกาลเพราะความยากลำบากระหว่างการเดินทางก่อนที่ทั้งหมดจะไปถึงชายแดนภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้เสียอีก
การหลบหนีของซ่งฉีเองก็ไม่ง่ายเช่นกัน ระหว่างทางจากหลิงเฉิงไปยังชายแดนตะวันตกเฉียงใต้นั้น นางต้องแยกจากพรรคพวกของนางไปเพราะฝูงชนหมู่มาก และมีอาหารกับเงินเหลืออยู่เพียงน้อยนิดและนางก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวคนเดียว ทำให้โอกาสที่จะหนีรอดไปถึงตะวันตกเฉียงใต้นั้นริบหรี่มาก
ในฐานะที่เป็นบุตรีตระกูลเศรษฐีในหลูเฉิงเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในชายแดนตะวันตกเฉียงใต้นั้น ซ่งฉีนั้นก็ควรที่จะสุขสบายกับความงดงามและเงินทองอยู่ในเมืองหลูเฉิงอย่างสงบสุขแท้ๆ แต่เพื่อที่จะช่วยตระกูลของนางขยายกิจการ ซ่งฉีก็ได้เดินทางนับพันลี้จากเมืองหลูเฉิงไปยังเมืองหลิงเฉิงเพื่อก่อตั้งหอกลิ่นหอมล่องลอย เพื่อเผยแพร่เหล้าที่ผลิตโดยตระกูลซ่งให้เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งตะวันตกเฉียงใต้
ซึ่งพอข่าวทัณฑ์สวรรค์กับราชวงศ์ชางหลางได้ทำการปิดล้อมหอการค้าใบหยกออกมา ทุกคนต่างก็พากันหนีไปยังตะวันตกเฉียงใต้อย่างสิ้นหวัง ซ่งฉีเองก็ได้พาคนจากหอกลิ่นหอมล่องลอยไปที่หลูเฉิงที่ชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ด้วย เพื่อที่จะกลับไปรวมกับตระกูลของนางและเตรียมพร้อมก่อนที่จะหนีออกไปจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้
แต่ก่อนที่พวกนางจะมาได้ถึงครึ่งทางผู้ดูแลหอกลิ่นหอมล่องลอยนั้นก็ได้ทรยศซ่งฉีกับลูกน้องคนสนิทของนางและหอบเอาสิ่งของของพวกนางไป หลังจากนั้นคนอื่นๆก็ได้ค่อยๆจากซ่งฉีไปทีละคนๆ จนถึงวันนี้เหลือเพียงซ่งฉีที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลูเฉิงตามลำพัง
ในเวลานี้ซ่งฉีที่ประสบความยากลำบากและเนื้อตัวก็สกปรกไปหมดนั้น ตัวนางในเวลานี้นั้นช่างต่างไปจากตอนที่นางดูแลหอกลิ่นหอมล่องลอยนัก แต่ดวงตาของนางยังคงฉายแสงออกมาอย่างหนักแน่นและนางก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้การกลับไปที่เมืองหลูเฉิงเพื่อพบกับครอบครัวของนางให้ได้ เพราะนางนั้นคิดว่าถึงแม้ผู้คนทั่วทั้งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นั้นจะพยายามอย่างเต็มที่ในการหลบหนีจากตะวันตกเฉียงใต้โดยด่วน แต่ซ่งฉีเชื่อว่าพ่อแม่ของนางจะยังคงรอนางอยู่ในเมืองหลูเฉิงอย่างแน่นอน
ถ้าพวกเขาไม่เห็นซ่งฉีกลับไปถึงเมืองหลูเฉิงอย่างปลอดภัย ครอบครัวของนางก็คงจะไม่ยอมทิ้งนางและหนีออกไปจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นี้ไปก่อนแน่ ดังนั้นเพื่อดีจะพาตัวเองหนีออกไปจากอันตรายนี้โดยด่วนที่สุดและเพื่อช่วยชีวิตครอบครัวของนาง ซ่งฉีจึงได้ยืนหยัดที่จะเดินทางอย่างต่อเนื่องไปยังเมืองหลูเฉิงโดยไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหนและไม่เคยหยุดพักเลยโดยไม่ว่าจะเหตุผลอะไร
“แม่นางเจ้าคิดที่จะหลบหนีออกไปจากภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้โดยผ่านเมืองหลูเฉิงอย่างนั้นเหรอ? กลุ่มของพวกข้าเองก็จะไปเส้นทางนั้นเหมือนกัน ถ้าหากแม่นางไม่ถือสาจะร่วมเดินทางไปกับพวกข้าและคอยดูแลซึ่งกันและกันไประหว่างทางก็ได้นะ!”
เป็นกลุ่มหลบหนีกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นคนแปลกหน้ากันแต่เดินทางไปเส้นทางเดียวกันและคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อผ่านความยากลำบากไปด้วยกัน หลิวเซี่ยงกับคนอื่นๆที่มองดูซ่งฉีเดินทางอยู่หลายวันแล้วก็พอจะเดาได้ซ่งฉีเองก็กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลูเฉิงเช่นกัน พวกเขาจึงได้ใช้โอกาสนี้เดินมาหาซ่งฉีและชวนนางเข้ากลุ่ม
หลิวเซี่ยงนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าดูบ้านๆ แต่ก็ดูเป็นคนซื่อตรง แต่ทว่าการที่เขาเป็นคนชวนซ่งฉีในฐานะตัวแทนของกลุ่มเช่นนี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่าตัวเขานั้นมีชื่อเสียงในกลุ่มนี้พอสมควร
ซ่งฉีนั้นพบว่ากลุ่มนี้มีคนอยู่เป็นจำนวนมากและพวกเขาก็ล้วนแต่มีทั้งผู้ชาย, ผู้หญิง, เด็กและคนชรา ทำให้ความระแวดระวังของนางลดลงไป เมื่อลองไตร่ตรองถึงความยากลำบากมากมายที่ต้องเผชิญในการเดินทางคนเดียวแล้วนั้น ซ่งฉีก็ได้ผงกหัวให้หลิวเซี่ยงแล้วตอบ “ขอบคุณสำหรับคำชวนของท่าน ตัวข้าตั้งใจที่จะไปที่เมืองหลวงโดยผ่านทางเมืองหลูเฉิง แต่เพราะตัวข้าต้องพลัดพรากจากกลุ่มของตัวเองไประหว่างทาง จึงทำให้ข้าต้องเดินทางตามลำพัง ในเมื่อพวกเราต่างก็เดินทางไปยังเส้นทางเดียวกันแล้ว ตัวข้าก็ขอไม่เกรงใจ!”
เพราะระหว่างการหลบหนีนั้น ซ่งฉีต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย ทำให้ตัวนางไม่อยากที่จะเชื่อผู้อื่นง่ายๆอีก นางจึงไม่ได้บอกชื่อจริงและตัวตนที่แท้จริงของนางไป กลับกันนางได้ให้ชื่อปลอมแก่เขา และนางก็รู้ด้วยว่าต่อให้กลุ่มคนเหล่านี้เดินทางด้วยกัน แต่ก็ยังมีความต่างในการดูแลคนที่มีฐานะต่างๆกัน นางจึงได้โกหกไปว่าตัวนางนั้นมาจากเมืองหลวงเพื่อที่จะหลบเลี่ยงความสงสัยของหลิวเซี่ยงและคนอื่นๆ
หลิวเซี่ยงนั้นได้มองดูซ่งฉีที่มีท่าทางที่ลำบากใจหน่อยๆ และการพูดการจาที่ดูไม่ธรรมดาแล้ว ทำให้นางนั้นดูเหมือนคนมาจากครอบครัวธรรมดาๆ ในเวลานี้เมื่อเขาได้ยินว่าซ่งฉีนั้นกำลังเดินทางกลับเมืองหลวง ก็ได้ทำให้เขาตกใจและพูดกับซ่งฉีอย่างสุภาพ “โอ้ ไม่นึกเลยว่าแม่นางนั้นจะเป็นคนจากเมืองหลวง ข้าช่างเสียมารยาทจริง พวกเราล้วนเป็นเพียงคนธรรมดาที่ส่วนใหญ่บาดเจ็บจากวิกฤติในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้นี้ และเพื่อที่จะฝ่าความยากลำบากนี้ไปให้ได้ พวกเราจึงได้คอยช่วยเหลือและดูแลซึ่งกันและกัน”
ไม่เพียงแค่หลิวเซี่ยงแต่คนอื่นๆนอกจากเขาต่างก็ได้เดินมาทักทายซ่งฉีอย่างสุภาพหลังจากที่ได้ยินว่าซ่งฉีนั้นเป็นคนมาจากเมืองหลวง ราวกับว่าต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนาง
“พวกท่านวางใจได้หากว่าตัวข้านั้นสามารถกลับไปที่เมืองหลวงได้สำเร็จ ตัวข้าจะไม่ลืมน้ำใจของพวกท่านในวันนี้แน่ ตอนนี้ก็เสียเวลามากไปแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะไม่งั้นอาจจะไม่ทันเวลาหลบหนีก็ได้!”
ซ่งฉีก็ได้ตอบทุกคนอย่างสุภาพกับคนที่เข้ามาทักทายนาง เมื่อเห็นว่าเวลานี้มันสายมากแล้วนางจึงได้เร่งทุกคนให้ออกเดินทางกันต่อ
หลิวเซี่ยงที่เป็นชายวัยกลางคนก็ได้มองดูซ่งฉีอย่างตั้งใจ ราวกับว่าตัวเขามองเห็นอะไรบางอย่าง แต่ก็เหมือนจะไม่พบอะไร แต่เขาก็เห็นด้วยกับซ่งฉีที่กระตือรือร้นจึงได้พูดกับคนอื่นๆ “แม่นางสวีเจินพูดถูกแล้ว ตอนนี้ก็สายมากแล้วพวกเราควรที่จะรีบเดินทางกันต่อโดยด่วนเพื่อหลีกเลี่ยงกันสกัดกั้นของกองทัพหลวง แล้วจะไม่มีทางหนีได้!”
“จริงด้วย การเร่งรีบสำคัญที่สุด!”
“ยังเป็นเหลือทางอีกไกลจากที่นี่กว่าจะไปถึงเมืองหลูเฉิง พวกเราต้องรีบแล้ว!”
“พวกเราจะต้องหนีให้สำเร็จก่อนที่กองทัพหลวงจะมาปิดกั้นภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้จนหมด!”
หลังจากที่ได้ยินที่หลิวเซี่ยงกล่าว ทุกคนต่างก็หยุดห้อมล้อมซ่งฉีแล้วก็ออกเดินทางกันต่ออย่างเร่งรีบ แต่ทว่าการเตือนของซ่งฉีนั้นก็ไม่สูญเปล่าเพราะหลังจากที่เบี่ยงเบนความสนใจของคนในกลุ่มนี้ได้สำเร็จ นางก็ได้เข้าร่วมกับกลุ่มนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและห้อมล้อมโดยคนหมู่มากและมุ่งหน้าไปอย่างช้าๆ
ถึงแม้ว่าหลิวเซี่ยงนั้นจะมองคำโกหกของซ่งฉีออก แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดโปงนาง เพราะเป้าหมายของเขาในการรวบรวมผู้คนร่วมเดินทางไปกับเขานั้นก็เพื่อที่จะใช้พวกเขาเป็นเป้าล่อในยามที่คับขัน ซึ่งไม่ว่าซ่งฉีนั้นจะมาจากเมืองหลวงอย่างที่นางกล่าวจริงหรือไม่นั้น มันก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับแผนของ หลิวเซี่ยงอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงได้ออกเดินไปตามทางหลบหนีด้วยวิธีที่ต่างๆกันและเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนในกลุ่มนี้ก็ได้จำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นเรื่อยๆตามมา
ซึ่งในขณะที่ซ่งฉีใช้โอกาสนี้เพื่อรับรองความปลอดภัยของนางและกำลังรู้สึกโล่งอกอยู่นั้น จู่ๆก็ได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้นางต้องตกลงมาสู่ก้นบึ้งอีกหน
“กรี๊ด! ช่วยด้วย!”
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงได้มีเสียงเอะอะโวยวาย?”
“หนีเร็ว มีโจรบุกมาแล้ว!”
คืนที่สองหลังจากที่นางได้ตามหลิวเซี่ยงและคนอื่นๆมุ่งหน้ามาที่หลูเฉิงนั้น ซ่งฉีที่ตั้งที่เต็นท์เสร็จและเตรียมจะนอนนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังเข้าหูของนาง
ซ่งฉีก็ได้รีบออกมาจากเต็นท์และพบไฟที่กำลังลุกลามและโจรที่ขี่มาตัวสูงวิ่งมาจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เข้าทำลายค่ายพักของคนอื่นๆจนยุ่งเหยิง
“เด็กๆจัดการฆ่าให้หมด!”
“ฮ่าๆ ข้าไม่ได้เห็นกลุ่มหลบหนีขนาดใหญ่เช่นนี้มานานขนาดไหนแล้วนะ!”
“ฆ่า! และปล้นเอาข้าวของมาให้หมด!”
ชายหัวโล้นที่นำกลุ่มโจรขี่ม้าจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาเผา, ฆ่าและปล้นค่ายพักนี้อย่างไม่ไยดี สีหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยความน่ากลัวและโหดร้าย เหมือนว่าพวกเขานั้นได้วางแผนที่จะลงมือคืนนี้มานานแล้ว และทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวพวกเขาก็ได้ร่วมมือกันสังหารผู้ที่เป็นวรยุทธ์ที่มีไม่กี่คนในกลุ่มหลบหนีนี้จนสิ้น วิธีการที่โหดร้ายนี้ช่างเหนือเกินคาดเดานัก
ไม่เพียงแค่นั้นหลังจากที่สังหารเหล่าผู้มีวรยุทธ์จนสิ้นและปล้นชิงข้าวของของทุกคนมาแล้ว กลุ่มโจรกลุ่มนี้ก็ดูเหมือนจะตาแดงและบุกเข้าสังหารคนธรรมดาที่ไร้ทางสู้ด้วยความบ้าเลือด
“ม่ายยย!”
“ไว้ชีวิตข้าด้วย ข้ายอมยกให้ทุกอย่างเลย!”
“ช่วยด้วย!”
กลุ่มคนที่เข้ามาร่วมคุยและหัวเราะกับซ่งฉีก่อนหน้านี้ก็ได้กลายเป็นศพในชั่วพริบตาภายใต้การสังหารหมู่ของพวกโจร เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วซ่งฉีก็ได้มีสีหน้าซีดเผือดและทำให้นางต้องอ้วกออกมาอย่างอดไม่ได้
ถึงแม้ว่านางจะเคยเผชิญกับความยากลำบากมาบ้างระหว่างทาง แต่นางก็ไม่เคยพบฉากที่โหดร้ายและนองเลือดเช่นนี้มาก่อน ทำให้หัวของนางนั้นเบลอไปหมดราวกับนางได้เสียสติไปแล้ว
ในขณะที่มีโจรคงหนึ่งได้พุ่งเข้ามาตรงหน้าซ่งฉีและหมายที่สังหารซ่งฉีที่กำลังมีอาการเซื่องซึมอยู่นั้น ก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุน่าจะน้อยกว่า 20 ปรากฏตัวกะทันหันและเตะใส่โจรที่เข้ามาหาซ่งฉี โจรคนนั้นถูกเตะจนกระเด็นไปทั้งคนและม้า
ตุบ!
โจรและม้าที่ถูกถีบโดยเด็กหนุ่มนั้นก็ได้กระเด็นลอยขึ้นสูงและตกลงพื้นอย่างแรง ซึ่งได้ดึงดูดสายตาของทุกคนในค่ายพักนั้นทันที และมีบางคนที่ฉลาดพอที่ฉวยโอกาสนั้นหลบหนีไป และหายลับตาพวกเขาไปได้สำเร็จโดยที่พวกโจรไม่ทันได้ไหวตัวทัน
แล้วชายหัวโล้นก็ได้ปรากฏตัวมาพร้อมกับกลุ่มโจรที่ไม่สนใจพวกคนที่หนีไปแล้ว แต่ลงจากม้ามาด้วยความโมโหและเดินออกมาจากฝูงชน เขาเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มและตะโกนอย่างโมโห “ซุนหวา เจ้าคิดจะทรยศอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็เจ้าบอกกับข้าแล้วนี่ว่าเจ้าสนใจแค่จะเอาเงินอย่างเดียวและไม่ฆ่าใคร? แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รักษาสัญญาเล่า?”
ชายหนุ่มที่ชื่อซุนหวานั้นโกรธยิ่งกว่าชายหัวโล้นที่ชื่อเฉาอวิ๋นเสียอีก และมองไปที่เฉาอวิ๋นกับพรรคพวกด้วยสายตามุ่งร้ายราวกับว่าเขาหมดความอดทนไปแล้ว
ในฐานะที่เป็นคนของหอการค้าใบหยกที่หลบหนีออกมานั้น ซุนหวานั้นไม่มีความกล้ามากพอที่จะเสียสละตัวเองเพื่อสำนักขนาดนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ยังยึดถือหลักการพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อยู่ แม้ว่าเฉาอวิ๋นกับพรรคพวกนั้นจะช่วยชีวิต ซุนหวาเอาไว้และให้เขาเข้าร่วมกลุ่มในตอนที่เขาหมดหนทางก็ตามที แต่ซุนหวานั้นไม่คิดที่จะทำตัวตกต่ำเพื่อพวกเขา
ในครั้งนี้เฉาอวิ๋นกับซุนหวาได้ตกลงกันว่าจะบุกเข้าปล้นกลุ่มของซ่งฉีและจะชิงเอาเงินมาอย่างเดียวเท่านั้นและไม่ฆ่าใคร ซึ่งซุนหวาก็ได้ยินดีที่จะสอดแนมกลุ่มนี้เพื่อพวกเขาและได้วางแผนอย่างรอบคอบในการบุกเข้าจับซ่งฉีกับคนอื่นๆทีเผลอ แต่ทว่าซุนหวานั้นไม่คิดว่าเฉาอวิ๋นกับพรรคพวกนั้นจะลืมที่สัญญาเอาไว้ก่อนหน้าทันทีที่พวกเขาบุกเข้าค่ายพัก ซึ่งไม่เพียงแค่ปล้นซ่งฉีกับคนอื่นๆแต่ยังคิดที่จะสังหารพวกเขาให้หมดอีกด้วย
ซุนหวาจึงได้โกรธจัดและไม่สนอะไรทั้งนั้นอีก และจัดการเตะโจรที่หมายจะเข้ามาสังหารซ่งฉี ทำให้อีกฝ่ายนั้นตายทันทีหลังจากที่ตกลงพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก