ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 275 ความลำเอียง
บทที่ 275
ความลำเอียง
บึ้ม!
เกิดเสียงระเบิดอย่างรุนแรงราวกับสายฟ้าฟาดเหนือสนามประลอง และมีสายลมที่พาดผ่านพัดเข้ามาทั่วทั้งวังหลวงในทันที
เหล่าผู้ชมรอบสนามต่างก็พากันนั่งขัดสมาธิและใช้พลังปราณเพื่อรักษาความสมดุลของตัวเองไม่ให้โดนพัดไปพร้อมกับลม และในขณะเดียวกันเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายที่อยู่ด้านนอกวังหลวงต่างก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพฟ้าดินภายในวังหลวงและต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา
ที่กลางลานประลอง เย่เย่ลงที่ลงพื้นได้อย่างไม่มั่นคงเท่าไหร่นั้น เขาต้องถอยออกไปหลายก้าวเพื่อรักษาสมดุลของตัวเอง แล้วก็ได้มองขึ้นไปทางจ้าวอู๋หมิงอย่างเคร่งขรึม
ถึงแม้จ้าวอู๋หมิงจะแค่เข้ามาขวางการโจมตีเอาไว้ แต่พลังปราณของอีกฝ่ายนั้นสูงกว่าเขามาก ดังนั้นต่อให้เย่เย่จะไม่ได้โจมตีใส่เขาโดยตรง แต่ก็ทำให้ตัวเขาได้รับแรงสะท้อนกลับมาและปั่นป่วนได้
จ้าวอู๋หมิงคว้าตัวจ้าวถิงอวี่ลงมาบนพื้นอย่างช้าๆ เขาเงยหน้ามองเย่เย่ด้วยสายตาเย็นชา แน่นอนว่าตัวเขานั้นไม่พอใจกับการกระทำของเย่เย่มาก
เพราะหากช้าไปเพียงก้าวเดียว จ้าวถิงอวี่คงไม่พ้นได้กลายเป็นศพไปแล้ว ราชวงศ์ชางหลางนั้นพึ่งจะได้มีทายาทดีๆแท้ๆ แต่เกือบจะถูกเย่เย่ทำให้หายไปเสียงแล้ว จึงย่อมทำให้ จ้าวอู๋หมิงโมโหขึ้นมา
ส่วนเรื่องของความยุติธรรมนั้นจ้าวอู๋หมิงไม่เคยนึกถึงมาก่อน สำหรับในโลกนี้แล้วผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความยำเกรง ตราบเท่าที่พลังของเย่เย่ยังเทียบชั้นกับเขาไม่ได้ จ้าวอู๋หมิงก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลกับเขาด้วย!
รอบๆลานประลอง จ้าวฉินและคนอื่นๆที่เห็นจ้าวอู๋หมิงกับเย่เย่ประมือกันก็เริ่มทำตัวไม่ถูก
คนในราชวงศ์คนอื่นๆต่างตื่นตระหนกและโกรธเกรี้ยวในความอวดดีของเย่เย่ พวกเขาต่างรุมประฌามเย่เย่ในความจองหองนั้นและเรียกร้องให้จัดการเขาอย่างสาสม แม้จ้าวฉินจะตกใจกับความแข็งแกร่งของเย่เย่แต่เขานึกไม่ถึงว่าเย่เย่จะกล้าเป็นศัตรูกับจ้าวอู๋หมิง เขาเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มจะบานปลายเกินกว่าจะควบคุมได้แล้ว
“เป็นถึงผู้อาวุโสที่น่าเกรงขามของราชวงศ์ชางหลาง ก็ยังไม่สนใจกับกฎของศึกชิงบัลลังก์แบบนี้ ดูท่าชื่อเสียงของราชวงศ์คงไม่มีค่าอะไรมากไปกว่านี้สินะ!”
พอเห็นว่าจ้าวถิงอวี่ปลอดภัยดีจากการช่วยเหลือจากจ้าวอู๋หมิงแล้ว เย่เย่ก็รู้ว่าหมดโอกาสที่จะจัดการกับเขาแล้ว จึงได้ต่อว่าจ้าวอู๋หมิงด้วยท่าทีรับไม่ได้แทน
พอได้ยินที่เย่เย่พูด เหล่าคนในราชวงศ์ต่างก็ยิ่งเดือดดาล
เพราะฐานะจ้าวอู๋หมิงนั้นอยู่ในจุดสูงสุดของราชวงศ์ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ย่อมถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ การที่เย่เย่กล่าวหาเขาเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่เหล่าราชวงศ์ยอมรับไม่ได้อย่างยิ่ง
“หุบปาก แกคิดว่าแกเป็นใคร?”
“ในเขตของราชวงศ์ชางหลางนี้ ใครให้เจ้ามีสิทธิ์พูด?”
“กล้าดียังไงมาสบประมาทท่านผู้อาวุโสอู๋หมิง เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ”
ในขณะที่ทุกคนต่างตะโกนด่าเย่เย่ จ้าวถิงอวี่ที่เพิ่งจะถูกจ้าวอู๋หมิงช่วยไว้อย่างหวุดหวิดพอได้ยินเสียงเหล่านี้เข้าก็เดินออกมาด้านหน้า แล้วชี้นิ้วไปที่เย่เย่แล้วตะโกน “เจ้าไม่ใช่หลี่โม่ แต่เป็นเย่เย่ประมุขหอใบหยกสินะ!”
เพราะเย่เย่ได้ใช่วิชาฝ่ามือแบกสวรรค์ไปในตอนที่กำลังคับขันเมื่อสักครู่ จ้าวถิงอวี่จึงพอจะคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของ เย่เย่จากวิชาที่เขาใช้ได้
แม้ว่าจะไม่มีใครในที่นี้เคยเห็นเย่เย่ใช้วิชานี้มาก่อน แต่จ้าวถิงอวี่นั้นรู้จักอย่างละเอียดจากในการต่อสู้ของเย่เย่กับ เหยียนซ่งเมื่อครั้งก่อน และเขาประทับใจมากกับวิชานี้มาก ดังในตอนที่เย่เย่ใช้วิชานี้เขาจึงรู้สึกคุ้นๆ อยู่แต่พอคิดดูให้ดีแล้วเขาจึงได้เดาตัวตนที่แท้จริงของเย่เย่ได้
หลังจากที่ได้ยินที่จ้าวถิงอวี่พูด สีหน้าของเย่เย่ก็เปลี่ยนไป และมีความมืดดำปรากฏในแววตาของเขา
ก่อนหน้านี้มันเป็นเหตุฉุกเฉินมากที่จำเป็นต้องใช้ฝ่ามือนี้เพื่อรับมือกับการโจมตีของจ้าวถิงอวี่ คิดว่าเขาอาจจะโชคดีพอเอาตัวรอดไปได้โดยอีกฝ่ายไม่สังเกต แต่ก็ไม่คิดว่าจ้าวถิงอวี่จะรู้ตัวไวขนาดนี้
แต่ถึงอย่างนั้น เย่เย่ก็ยังไม่คิดจะถอนตัวเพราะเขานั้นปิดบังตัวตนอยู่ ตัวเขาไม่อยากที่จะดึงเอาหอใบหยกเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ด้วย แต่ว่าตอนนี้จ้าวถิงอวี่รู้ตัวจริงของเขาแล้ว เขาจึง ขี้เกียจที่จะปิดบังตัวจริงต่อและก็ได้เปิดเผยตัวจริงออกมา
“ถูกต้องแล้วข้าคือเย่เย่! แต่ในวันนี้ข้ามาในฐานะคนขององค์ชายจ้าวฉิน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับหอการค้าใบหยกเลย! ถ้าไม่ใช่เพราะใครสักคนเข้ามายุ่มย่ามล่ะก็ เมื่อสักครู่ข้าก็คงชนะการประลองไปแล้ว! หวังว่าเหล่าคนในราชวงศ์ชางหลางจะรักษาคำพูดและแต่งตั้งองค์ชายจ้าวฉินขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของราชวงศ์ชางหลางได้แล้ว!”
หลังจากที่เย่เย่เปิดเผยตัวจริงของเขา ท่าทีของเขากลับหาญกล้ามากขึ้นแทนที่จะหดหู่ เขาที่ยืนต่อหน้าจ้าวถิงอวี่และจ้าวอู๋หมิง และประกาศตนเองต่อหน้าสาธารณชนอย่างชัดเจนและดังลั่น ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์รอบๆ เมื่อได้ยินที่เขาพูดต่างก็เงียบกริบและไม่รู้จะหาอะไรโต้แย้งเขาได้
จ้าวฉินพอได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มดีใจ เขามองไปที่จ้าวอู๋หมิงที่อยู่กลางลานประลอง และหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ความเห็นชอบจากเขา
แต่สายตาของจ้าวอู๋หมิงยังคงจับจ้องไปที่เย่เย่ หลังจากเย่เย่ประกาศชัยชนะแล้ว เขามองไปที่ชายหนุ่มอย่างเคร่งเครียดราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เขาไม่ได้สนใจกับเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเย่เย่มากนัก แต่เป็นเรื่องความสามารถของเย่เย่ที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ แม้เขาจะเห็นว่าเย่เย่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่ด้วยนิสัยของเย่เย่แล้วต่อให้ดึงตัวมาเข้ากับราชวงศ์ชางหลางได้ แต่การที่จะควบคุมเขาได้อยู่หมัดนั้นก็คงเป็นเรื่องยากอยู่ดี
นอกจากนี้จ้าวถิงอวี่ก็ได้แสดงความสามารถที่คาดไม่ถึงออกมา ทำให้จ้าวอู๋หมิงรู้สึกอยากเก็บจ้าวถิงอวี่เอาไว้มากกว่า ถ้าเจ้าอู่หมิงแข็งใจดึงเอาตัวเย่เย่เข้ามาย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับจ้าวถิงอวี่อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะให้ราชวงศ์ ชางหลางมีอำนาจมากขึ้น จ้าวอู๋หมิงก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเข้าข้างใคร
จ้าวถิงอวี่ที่ไม่รู้ถึงความในใจของจ้าวอู๋หมิงนั้น เขาตั้งใจอยากมากที่จะสู้กับเย่เย่และจ้าวฉินตั้งแต่ต้นจนจบ แต่หลังจากเย่เย่เผยตัวจริงออกมาแล้ว จ้าวถิงอวี่ก็หันกลับมาพูด “ถ้าไม่ใช่โจรหรือคนไม่ดี แล้วใครที่ไหนเขาจะปิดบังตัวจริงโดยไม่มีเหตุผลกัน? บางทีอาจจะเป็นเจ้าก็ได้ที่บุกเข้ามาชิงตัวนักโทษในวังหลวงเมื่อคราวก่อน ถ้างั้นแล้วทำไมถึงกลัวที่จะดึงเอาหอใบหยกเข้ามาพัวพันด้วยเล่า? เจ้ากับจ้าวฉินก่อเรื่องเข้าแล้ว และเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาประลองในศึกชิงบัลลังก์ตั้งแต่แรกแล้ว!”
ทันทีที่พูดจบ ทั้งสนามประลองเกิดความโกลาหลขึ้นมา
เหล่าผู้ที่สนับสนุนจ้าวถิงอวี่ก็ได้รีบย้ำคำพูดของเขาในทันทีว่าเย่เย่และจ้าวฉินต่างก็เป็นผู้ต้องหาของราชวงศ์ ชางหลาง อย่างไรก็ตามคนในราชวงศ์ส่วนใหญ่ต่างก็ยังข้องใจกับเรื่องนี้เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น คำกล่าวหาของจ้าวถิงอวี่นั้นก็ยังเป็นแค่เพียงการคาดเดาเท่านั้น พวกเขามิอาจเชื่อจ้าวถิงอวี่ได้ง่ายๆ ตราบเท่าที่ยังไม่มีหลักฐาน
พอได้ยินที่จ้าวถิงอวี่คาดเดา จ้าวฉินก็หน้าเปลี่ยนสีและเริ่มกระวนกระวาย แต่ยังพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายนั้นยังไม่มีหลักฐาน และรีบฉวยโอกาสเข้าไปกลางสนามประลองเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาของจ้าวถิงอวี่ด้วยเสียงดังลั่น “เหลวไหล! จ้าวถิงอวี่วิธีการที่ท่านใช้ดึงความสนใจของผู้อื่นยังอ่อนหัดนัก! พอกำลังจะแพ้ท่านก็รีบกล่าวหาพวกข้าในทันที ท่านกำลังทำให้ราชวงศ์ชางหลางต้องขายหน้า!”
คำพูดของจ้าวฉินชี้ให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของ จ้าวถิงอวี่ และทันใดนั้นผู้คนรอบๆสนามประลองต่างก็จ้องมองจ้าวถิงอวี่อย่างดูแคลน ทว่าจ้าวถิงอวี่กลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย สำหรับเขานี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว เขาได้หันไปหา จ้าวอู๋หมิงและคำนับอย่างนอบน้อมก่อนจะกล่าวว่า “ผู้อาวุโส อู๋หมิง จ้าวฉินสมคบกับคนนอกชิงตัวนักโทษจากคุกของราชวัง นำมาซึ่งความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อราชวงศ์ชางหลาง โปรดพิจารณาไตร่ตรองและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างสาสมด้วย”
“ผู้อาวุโสอู๋หมิง จ้าวถิงอวี่พ่ายแพ้การประลองแล้วนอกจากจะไม่ยอมรับผลการต่อสู้ของศึกชิงบัลลังก์แล้วยังกล่าวให้ร้ายคนในเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเองและยังทำให้ราชวงศ์ ชางหลางต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกด้วย ท่านผู้อาวุโสอู๋หมิงได้โปรดพิจารณาและลงโทษจ้าวถิงอวี่อย่างหนักด้วย”
จ้าวฉินเองก็เข้ามาทำความเคารพจ้าวอู๋หมิงเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างตอบโต้กันไปมา แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ให้การตัดสินเด็ดขาดขึ้นอยู่กับจ้าวอู๋หมิง
เย่เย่เองก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไร เขาและเหล่าคนดูต่างรอผู้อาวุโสอู๋หมิงตัดสิน ผู้คนต่างก็คิดว่าผู้อาวุโสอู๋หมิงนั้นจะลังเลแต่ก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำเพียงชายตามองไปทางจ้าวฉิน แล้วหันกลับมาหาเย่เย่ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ต้องสงสัยในการร่วมกันกระทำการแหกคุก เจ้าควรจะถูกควบคุมตัวไว้ในวังหลวงสักระยะเพื่อให้ความร่วมมือกับผู้สอบสวนของวังหลวง! ถ้าหากพบว่าเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ราชวงศ์ชางหลางจึงจะปล่อยตัวเจ้าไป!”
ตั้งต้นจนจบผู้อาวุโสอู๋หมิงนั้น ไม่ได้พูดถึงผลสรุปของการประลองอีกเลยซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนคำพูดของ จ้าวถิงอวี่และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังเข้าข้าง จ้าวถิงอวี่อยู่
เมื่อจ้าวหยวนคุน, จ้าวหนานซานและจ้าวเมิ่งอี้ได้ยินจ้าวอู๋หมิง กล่าวตามนั้นแล้ว พวกเขาต่างลงไปที่สนามประลองและเข้าไปด้านหลังของเย่เย่เพื่อปิดทางหนีของเขา
คนในราชวงศ์คนอื่นๆเองก็พากันหุบปากและไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรอีก
ฝ่ายที่สนับสนุนจ้าวถิงอวี่มองไปทางจ้าวฉินและเย่เย่ อย่างเปรมปรีดิ์
“ท่านผู้อาวุโส นี่มันไม่ยุติธรรม! จ้าวถิงอวี่ไม่มีหลักฐานชัดๆ โปรดอย่าฟังความข้างเดียว!”
จ้าวฉินแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งผ่านทางสายตาของเขา กัดฟันแล้วโค้งคำนับจ้าวอู๋หมิงอีกครั้ง แม้กระทั่งอ้อนวอน
ทว่าจ้าวอู๋หมิงกลับหันหลังให้และเดินจากไป เป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกแล้ว
“ถ้าราชวงศ์ชางหลางออกหน้าเอง แค่ข้อสงสัยก็เพียงพอแล้ว ใยต้องการหลักฐานอีก?”
เมื่อจ้าวถิงอวี่เห็นว่าเขากลับมาได้เปรียบอีกครั้งก็แสดงความยินดีอย่างยิ่งก่อนจะพูดกับจ้าวฉินและเย่เย่ด้วยท่าทีหยาบคาย
จ้าวหยวนคุนและคนอื่นๆ ค่อยๆ ประชิดเข้ามาทีละนิด เตรียมจะเข้าจับกุมจ้าวฉินและเย่เย่
“มาได้เท่านี้สินะ ข้าคงทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง”
เย่เย่ถอนหายใจเบาๆ แต่เมื่อจ้าวถิงอวี่และคนอื่นๆ เห็นว่าเขากำลังจะยอมให้จับกุมแล้ว ทันใดนั้นเย่เย่รีบคว้าตัวจ้าวฉินโยนขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับเหาะหนีออกจากราชวัง เขาตะโกนให้หวงจิ้งเฟิงและคนอื่นๆที่อยู่ขอบสนามได้ยิน “รีบหนีเร็วเข้า!”
“เข้าใจแล้ว!”
หวงจิ้งเฟิงและฉินซื่อไห่ในฐานะที่เป็นมือขวาของจ้าวฉินเองก็ตามมาในวังเพื่อเฝ้าดูศึกชิงบัลลังก์เช่นกัน แม้ว่าเขาจะคิดเผื่อไว้แล้วเรื่องของการหลบหนีหากมีอะไรผิดพลาด แต่เขาก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างหมดท่าโดยไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ใดๆเช่นนี้
เมื่อได้เย่เย่ย้ำเตือน หวงจิ้งเฟิงและฉินซื่อไห่ก็ได้รีบหนีออกไปด้านนอกของวังหลวงหลังจากได้สัญญาณจากฉินซื่อไห่ กองทัพมังกรที่ซุ่มรออยู่ด้านนอกก็เข้าโจมตีพระราชวังทันที ทั้งสองฝ่ายต่างรีบหาทางออกจากวงล้อมของทหารของวังหลวงออกไป