ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 272 ผู้อาวุโสของราชวงศ์
บทที่ 272
ผู้อาวุโสของราชวงศ์
แต่ทว่าเหยียนลี่หยางก็ได้ทำสีหน้าปกติแล้วตอบจูหยวนคงด้วยสีหน้านิ่งๆ “เจ้าคงไม่คิดว่าพวกเราจะเชื่อใจเจ้าง่ายๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลยน่ะ? เมื่อสักครู่ข้าได้ใช้ดรรชนีดาวเสียดฟ้าไปที่ตัวของเจ้า หลังจากนี้ถ้าหากว่าเจ้ากล้าทำอะไรที่เป็นการทรยศพวกเรา เจ้าก็เตรียมตัวรอร่างกายตัวเองระเบิดและตายได้เลย!”
“ดรรชนีดาวเสียดฟ้า!”
หลังจากที่ได้ยินชื่อนี้ ใบหน้าของจูหยวนคงก็ต้องถอดสีทันที และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและแค้นใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นคนที่ใช้ดรรชนีดาวเสียดฟ้าด้วยตาตัวเองมาก่อนก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจเลี่ยงไม่ให้เขาไม่กลัววิชาลับวิชานี้ได้
เพราะครั้งหนึ่งเคยมีคนที่ถูกวิชาดรรชนีดาวเสียดฟ้า ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการติดระเบิดเอาไว้กับตัว ถ้าหากผู้ใช้ไม่คลายวิชานี้ให้แล้วผู้ที่โดนดรรชนีดาวเสียดฟ้านั้นจะต้องตัวระเบิดตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แล้ววิชาลับเช่นนี้ก็ยากที่จะแก้ด้วย จูหยวนคงนั้นเชื่อว่าตัวเขานั้นคงไม่สามารถพอด้วย เขาจึงทำได้แค่ล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้านพวกเขาเอาไว้ชั่วคราวก่อน
เย่เย่มองไปที่จูหยวนคงที่เหมือนจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้ว เขาจึงได้ทำการจัดวางอาคมปิดล้อมสำนักสวรรค์บูรพาเอาไว้เพื่อกันไม่ให้แผนของพวกเขานั้นรั่วไหลออกมา ถึงแม้ว่าพวกลูกศิษย์ของสำนักสวรรค์บูรพานั้นจะเต็มไปด้วยความกลัว จนไม่กล้าที่จะหยุดยั้งการกระทำของเย่เย่เลยก็ตามที ไม่นานนักทั่วทั้งสำนักสวรรค์บูรพาก็ได้ถูกปิดผนึกอีกครั้งด้วยอาคม และเหล่าลูกศิษย์ของสำนักสวรรค์บูรพาก็ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
แล้วหลังจากที่เย่เย่ทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้มุ่งหน้าไปที่สำนักกระบี่ปาดฟ้าทันทีพร้อมด้วยเหยียนลี่หยางและ จูหยวนคง โดยตั้งใจที่จะจัดการคุมตัวเหล่าเจ้าสำนักใหญ่ทั้ง 3 ให้ได้ก่อนรุ่งสาง
ความแข็งแกร่งของหลี่ฮว่ากับลี่เฉิงนั้นเกือบจะพอๆกันกับจูหยวนคง ดังนั้นเพื่อที่จะรักษาชีวิตของเขา จูหยวนคงเองก็ได้ลงทุนลงแรงด้วยในตอนที่เย่เย่กับเหยียนลี่หยางนั้นถล่มสำนักกระบี่ปาดฟ้าและสำนักฟ้าดิน ผลคือภายในชั่วข้ามคืนยอดฝีมือทั้งสามคนก็ได้ถูกเย่เย่กับเหยียนลี่หยางนั้นควบคุมเรียบร้อยแล้ว หลังจากที่ให้กินยาโลหิตมังกรลงไป พวกเขาก็ได้เตรียมรับคำสั่งของเย่เย่ทุกเมื่อ
“นี่คือตราประทับแสงจันทร์เอาไว้สำหรับทำลายอาคม เมื่อเอามันไปใช้ที่ภูเขาหัวโล้นนั่นแล้ว มันก็จะทำลายอาคมที่ทัณฑ์สวรรค์วางเอาไว้ในเมืองยงเฉิง ส่วนข้าจะไปที่เมืองหลวงเพื่อที่จะทำตามที่ตกลงกันเอาไว้กับจ้าวฉินให้เรียบร้อยก่อน แล้วจากนั้นข้าถึงไปรวมกับพวกเจ้าที่ยงเฉิง!”
หลังจากที่เสร็จจากการควบคุมจูหยวนคงและอีก 2 คนที่เหลือเรียบร้อย เย่เย่ก็ไม่ได้กลับไปที่เมืองหลิงเฉิง แต่ได้มอบตราประทับแสงจันทร์ให้เหยียนลี่หยางแล้วกล่าวกับเขาอย่างจริงจัง
เพราะเขาได้บอกกับเหยียนลี่หยางเรื่องของการร่วมมือกันกับจ้าวฉินไว้แล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งเหยียนลี่หยางก็ไม่ได้ตกใจอะไร ซึ่งหลังจากที่รับตราประทับแสงจันทร์มาแล้ว เขาก็ได้ผงกหัวและตอบเย่เย่อย่างจริงจังกลับไป “พยายามเข้าล่ะ! เขาเสวียนคงซานคือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเรา!”
“อื้ม!”
เย่เย่ก็ได้ผงกหัว แล้วจากนั้นก็ได้บินไปยังทิศที่เมืองหลวงอยู่แล้วก็หายลับน่านฟ้ายามค่ำคืนไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ที่เมืองหลวงข่าวเรื่องที่ว่าจ้าวฉินนั้นจะเปิดศึกชิงบัลลังก์กับฮ่องเต้เหิงหวังนั้นก็ได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ซึ่งหลังจากที่หารือกันเหล่าผู้อาวุโสของราชวงศ์ก็ได้ตกลงเห็นด้วยกับคำขอของจ้าวฉิน ซึ่งได้ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินชางหลางต้องฮือฮาขึ้นมาอีกหน
ซึ่งไม่เพียงแต่ขุมกำลังใหญ่ๆในแผ่นดินชางหลางนั้นจะพากันตกใจแล้ว แม้แต่ตัวฮ่องเต้เหิงหวังเองก็ยังสับสนอย่างมาก หลังจากที่เขาได้ทราบข่าวนี่ เขาก็ได้รีบไปที่เขตต้องห้ามในวังหลวงเพื่อพบเหล่าผู้อาวุโสของราชวงศ์ชางหลางทันทีและถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
“บังอาจ! อย่าคิดนะว่าเจ้าจะมาตีเสมอกับพวกข้าได้ หลังจากที่เจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้วน่ะ หากว่าพวกข้าต้องการแล้วล่ะก็ พวกข้าก็สามารถสนับสนุนให้คนในเชื้อพระวงศ์คนอื่นขึ้นมาแทนเจ้าได้ทุกเมื่อ! จงสำเหนียกตัวเองเอาไว้บ้าง!”
เมื่อจ้าวหนานซานหนึ่งในผู้อาวุโสของราชวงศ์ชางหลางนั้นเห็นว่าจ้าวถิงอวี่นั้นเข้ามาในเขตต้องห้ามเพื่อถามคำถามพวกเขาในขณะที่กำลังฝึกวิชา จึงได้ดุจ้าวถิงอวี่อย่างดุดันทันที
ถึงแม้ว่าต่อหน้าคนภายนอกแล้ว เหล่าผู้อาวุโสของราชวงศ์ชางหลางนั้นจะให้การสนับสนุนจ้าวถิงอวี่อย่างเต็มที่เพื่อรักษาอำนาจของราชวงศ์ แต่ทว่าภายในราชวงศ์ชางหลางแล้ว ผู้อาวุโสในราชวงศ์เหล่านี้ต่างก็บรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพด้วยตัวเองนั้นมองว่าตัวเองนั้นอยู่เหนือกว่าแม้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้เหิงหวัง
เมื่อจ้าวถิงอวี่ได้ยินที่จ้าวหนานซานพูด เขาก็ได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเขานั้นได้ขาดสติไปจึงได้รีบก้มหัวให้อย่างจริงจังให้กับผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้วกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ “ขอให้ท่านผู้อาวุโสได้โปรดให้อภัย! เมื่อสักครู่ข้ารีบร้อนมากเกินไป ขอให้ท่านผู้อาวุโสเห็นแก่ความเยาว์วัยและความอวดดีของข้ายกโทษให้ข้าด้วย”
ผู้อาวุโสของราชวงศ์อีกคนนามจ้าวหยวนคุนนั้น ให้ค่าของจ้าวถิงอวี่มาก เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเขาก็ได้รีบกล่าวกับ จ้าวหนานซาน “ช่างมันเถอะ! ถิงอวี่ก็แค่สับสนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้คิดที่จะล่วงเกินท่าน ยกโทษให้เขาเถอะ!”
หลังจากที่พูดจบจ้าวหยวนคุนก็ได้พลันหันหน้ามาหาจ้าวถิงอวี่แล้วกล่าว “การตัดสินใจเป็นมติจากพวกเราเหล่าผู้อาวุโส และพวกเราเองก็ได้รับการเห็นชอบมาจากผู้อาวุโสอู๋หมิงแล้ว มันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วอย่าได้เอ่ยถึงมันอีก!”
ผู้อาวุโสอู๋หมิงหรือก็คือจ้าวอู๋หมิง เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์ชางหลาง ไม่เพียงแต่เขาจะเป็นผู้ที่ฝึกวิชามายาวนานที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสแล้ว แต่เขายังเป็นผู้ที่บรรลุถึงขั้นสูงสุดของราชันย์เทพแล้ว ซึ่งจ้าวอู๋หมิงนั้นปกติจะไม่ได้ฝึกวิชาอยู่ในเขตต้องห้ามของราชวงศ์ชางหลาง แต่จะเก็บตัวอยู่เงียบๆที่ใต้ดินของวังหลวงแทน
ในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้ จ้าวหยวนคุนกับคนอื่นๆก็ได้เห็นด้วยกับคำของจ้าวฉินหลังจากที่ได้ขอคำแนะนำมาจากจ้าวอู๋หมิงแล้ว ทำให้การต่อต้านของจ้าวถิงอวี่นั้นไร้ผล ถ้าหากเขาไม่สามารถเอาชนะในศึกชิงบัลลังก์ได้ ราชวงศ์ชางหลางก็จะเปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์ในอีกไม่ช้า
“พวกเราได้กำหนดวันของศึกชิงบัลลังก์แล้ว และจะมีขึ้นในอีก 3 วันให้หลัง และในวันนั้นผู้อาวุโสอู๋หมิงก็จะมาปรากฏตัวเพื่อชมการต่อสู้ด้วยตัวเอง เจ้าก็ทำตัวให้ดีๆก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะช่วยเจ้าได้!”
หลังจากที่จ้าวหยวนคุนกล่าวจบ จ้าวเมิ่งอี้ผู้นำตระกูลของราชวงศ์ชางหลางที่นั่งอยู่ข้างๆเขา ก็ได้ผงกหัวให้กับ จ้าวถิงอวี่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
จ้าวถิงอวี่ก็ได้มีสีหน้าไม่ดีขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ โดยมีความไม่พอใจปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กล้าที่จะทักท้วงมติของเหล่าผู้อาวุโส แต่ความไม่พอใจในใจของเขาก็ทำให้ควบคุมเอาไว้ไม่ได้ “ทำไมล่ะ? หรือว่าท่านผู้อาวุโสอู๋หมิงจะไม่พอใจข้า? ตั้งแต่ที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์มา มีวันไหนบ้างที่ข้าไม่ได้ทำเพื่อราชวงศ์ชางหลาง แล้วทำไมถึงได้ยอมรับคำขออันไร้เหตุผลของจ้าวฉินอีก?”
จ้าวหนานซานที่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่นั้น เมื่อเห็นท่าทีของจ้าวถิงอวี่แล้วก็ได้ชี้ไปที่เขาและตะโกน “เจ้ายังจะกล้าถามอีกเหรอว่าทำไม? ตั้งแต่ที่ประมุขอารามวิถีสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นมา อำนาจของราชวงศ์ชางหลางนั้นต้องตกต่ำลงมากขนาดไหน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรับผิดชอบหรืออย่างไร? แล้วไหนจะตงหมิงอวี้ก็ได้ถูกสังหารที่ชานเมืองหลวงเมื่อคราวที่แล้วอีก เจียงเหยียนสนมของเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เจ้าไม่รู้สึกอับอายบ้างหรือยังไง? ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ราชวงศ์ชางหลางของเราได้รับนักโทษกองทัพอี้เหรินมาจากสำนักยุทธ์หงส์เพลิงมาไว้วังหลวงอีก ทำไมเจ้าถึงไม่ส่งยอดฝีมือมาเฝ้าให้มากกว่านี้และสุดท้ายก็ปล่อยพวกเขาหนีรอดไปจนได้อีก? ความผิดทั้งหมดนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเราไม่พอใจเจ้าอีกงั้นเหรอ? ช่างโง่เขลาเหลือเกินที่มาถามพวกข้าอีกว่าทำไมพวกข้าถึงได้ให้เปิดศึกชิงบัลลังก์ขึ้น”
จ้าวหนานซานนั้นนึกถึงตอนที่พวกเขาได้ตามล่าเย่เย่จนออกไปจากวังหลวงเมื่อคราวก่อนจนไปถูกขังเป็นเวลา 2 วันนั้น มันยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ตลอด จ้าวถิงอวี่เองก็ได้ตามสืบอยู่เป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบตัวตนที่แท้จริงของชายชุดดำหรือเย่เย่ในวันนั้น จ้าวหนานซานจึงได้ระบายความไม่พอใจทั้งหมดไปที่จ้าวถิงอวี่ โดยไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
จ้าวถิงอวี่นั้นยังเต็มไปด้วยความไม่พอใจในดวงตาของเขา แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
ถึงแม้ว่าในความคิดของเขานั้น ผู้ที่เป็นคนผิดจริงๆในเรื่องของการแหกคุกเมื่อคราวก่อนนั้นจะไม่ใช่ความผิดของเขาก็ตาม แต่จ้าวถิงอวี่ก็ไม่กล้าที่จะไปล่วงเกินจ้าวหนานซาน เขาจึงทำได้แค่เก็บเอาความขุ่นเคืองและความไม่พอใจเอาไว้ในใจของเขา
หลังจากที่รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ จ้าวถิงอวี่ก็ได้ไม่คิดที่จะอยู่ที่เขตต้องห้ามต่อ หลังจากที่กล่าวลา 3 ผู้อาวุโสแล้ว เขาก็ได้รีบออกไปจากสถานที่ฝึกวิชาของพวกเขาแล้วกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อเตรียมตัวรับมือศึกชิงบัลลังก์ที่กำลังจะมาถึง
จ้าวหยวนคุนที่เห็นว่าจ้าวถิงอวี่ได้ออกไปแล้วก็ได้หันไปพูดกับจ้าวหนานซานพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้าไม่น่าไปโทษเขาสำหรับความผิดพลาดทั้งหมดเลยนะ อย่างไรเสียเขาก็ยังหนุ่มและยังต้องการการขัดเกลาอยู่!”
จ้าวหนานซานก็ได้ถอนหายใจออกมาหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น แล้วก็ได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง “ข้าเข้าใจดีว่าเมื่อสักครู่ข้าหุนหันพลันแล่นมากไปหน่อย ทำให้น้ำเสียงของเขารุนแรงไป แต่มันก็เป็นความจริงที่โต้แย้งไม่ได้ว่าชื่อเสียงของราชวงศ์ชางหลางของเรานั้นตกต่ำลงไปจริงๆ หรือว่าพวกเราจะแก่กันไปแล้วจริงๆ?”
จ้าวเมิ่งอี้ที่นั่งอยู่ข้างๆเขาที่เหมือนจะรู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว แต่เขาก็ได้รีบปรับอารมณ์ของเขาแล้วให้ความสนใจกับศึกชิงบัลลังก์ที่กำลังจะมาถึงแทน “มันสายเกินไปแล้วที่จะมาพูดอะไรอีก เรามาคิดกันก่อนดีกว่าว่าจะฟื้นชื่อเสียงของราชวงศ์ชางหลางอย่างไรดี จริงด้วยสิ ศึกชิงบัลลังก์นั้นเราไม่ควรที่จะเผยแพร่ให้ออกไป เพราะผลกระทบที่ตามมานั้นจะส่งผลไปทั้งราชวงศ์ชางหลางเป็นแน่ พวกเราจะยอมรับฮ่องเต้องค์ใหม่และเปลี่ยนราชวงศ์ได้งั้นเหรอ?”
จ้าวหนานซานกับจ้าวหยวนคุนก็ได้หันมามองกันเองหลังจากที่ได้ยินคำถามนี้ ซึ่งหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะจ้าวหนานซานก็ได้ค่อยๆตอบจ้าวเมิ่งอี้ “ข้าว่าจากความหมายของผู้อาวุโสอู๋หมิงแล้ว หลังเป้าหมายหลังของการดวลครั้งนี้คือทดสอบว่าจ้าวฉินนั้นมียอดฝีมือที่อยู่ในระดับราชันย์เทพหรือไม่ ถ้าหากผู้ที่ช่วยจ้าวฉินนั้นมีพลังอยู่ในระดับราชันย์เทพจริงๆ งานแรกของพวกเราผู้อาวุโสชางหลางคือจัดการสยบเขา ส่วนเรื่องที่ว่าจะสถาปนาฮ่องเต้องค์ใหม่หรือไม่นั้นค่อยฟังการตัดสินใจของผู้อาวุโสอู๋หมิงเอาอีกทีก็แล้วกัน!”
แล้วจ้าวหยวนคุนกับจ้าวเมิ่งอี้ก็ได้ผงกหัวรับอย่างเงียบๆหลังจากที่ได้ฟัง ด้วยความเชื่อถือและสนับสนุนจ้าวอู๋หมิงอย่างเห็นได้ชัด
ที่ราชวงศ์ชางหลางนั้นสามารถรักษาสถานะมาได้จนถึงทุกวันนี้นั้น สามารถพูดได้ว่าเป็นเพราะการลงทุนลงแรงของ จ้าวอู๋หมิงทั้งนั้น
ดังนั้นไม่ว่าผลของศึกชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ชางหลางนั้นผลจะออกมาเช่นไร ตราบเท่าที่จ้าวอู๋หมิงยังคงดูแลราชวงศ์ชางหลางอยู่ หัวใจของเหล่าราชวงศ์ชางหลางก็จะไม่มีวันสั่นคลอน
ด้วยพลังและความลึกลับของผู้อาวุโสอู๋หมิงนั้นได้สลักลึกในหัวใจของเหล่าราชวงศ์ชางหลางทุกคน แล้วเป้าหมายหลักของจ้าวฉินในการเปิดศึกชิงบัลลังก์นั้นก็เพื่อที่จะได้รับการยอมรับและการสนับสนุนจากผู้อาวุโสอู๋หมิง หากว่าเย่เย่นั้นสามารถเอาชนะจ้าวถิงอวี่ให้เขาได้ จ้าวฉินก็จะมีความมั่นใจมากพอที่จะต่อรองให้ผู้อาวุโสอู๋หมิงนั้นสนับสนุนเขาขึ้นบัลลังก์ และเมื่อเวลานั้นมาถึงไม่ว่าจ้าวถิงอวี่นั้นจะมีอำนาจมากขนาดไหนในพระราชสำนัก ก็จะไม่สามารถหยุดยั้งความรุ่งเรืองของเขาได้
ซึ่งในขณะที่จ้าวฉินได้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมอยู่นั้น ผู้ที่เขาต้องพึ่งพามากที่สุดอย่างเย่เย่ในที่สุดก็ได้เข้ามาในเมืองหลวง
แต่ในเวลานี้เย่เย่นั้นไม่เพียงแต่จะไม่ใส่เกราะสวรรค์นภาทมิฬแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเขาแต่เป็นชายวัยกลางคนที่ไหว้หนวดเฟิ้มแทน
“ท่านคือท่านประธานเย่อย่างนั้นเหรอ?”
ในขณะที่จ้าวฉินกำลังยืนยันว่าชายหนวดคนนี้ใช่เย่เย่ที่เขารออยู่หรือไม่นั้น เขาก็ได้ถามเย่เย่ด้วยน้ำเสียงที่สงสัย
“ฝ่าบาทถึงแม้ว่าข้าจะตกลงกับท่านว่าจะสู้เพื่อท่านในศึกชิงบัลลังก์ แต่ข้าก็ไม่ได้สัญญากับท่านว่าจะปรากฏตัวในฐานะเย่เย่ เพราะศึกชิงบัลลังก์นั้นมันมีอิทธิพลมากเกินไป ข้าไม่ต้องการที่จะเอาหอการค้าใบหยกเข้าไปเอี่ยวด้วย มันจะเป็นการง่ายกว่าถ้าข้ามาด้วยแบบนี้ จากนี้ไปท่านเรียกข้าว่าหลี่โม่ก็แล้วกัน ส่วนเรื่องอื่นๆก็ให้ดำเนินไปตามเดิม”
หลังจากที่เย่เย่อธิบายให้จ้าวฉินฟังแล้ว เขาก็ได้มาเข้าร่วมกับจ้าวฉินโดยใช้ชื่อปลอมว่าหลี่โม่