ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 270 ค่าชดเชย
บทที่ 270
ค่าชดเชย
จางเหวินก็ได้มองดูแววตาที่เฉลียวฉลาดในดวงตาของ เย่เย่ ราวกับว่ามันสามารถมองทะลุตัวเขาได้ เขาจึงได้เลิกปิดบังแล้วกล่าวกับเย่เย่ออกไปอย่างจริงจัง “ข้าจะบอกความจริงให้ก็ได้ เหตุผลที่ทำไมข้าถึงตั้งใจที่จะกลับไปที่เมืองยงเฉิงในเวลานี้นั้นไม่ใช่เพื่อไปหาทางช่วยผู้คนออกมาจากเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ข้าตั้งใจที่จะไปช่วยประมุขอารามวิถีสวรรค์กับกองทัพอี้เหริน”
แล้วก็ได้มีความตกใจปรากฏในดวงตาของทุกคน แต่โดยไม่รอให้พวกเขาได้ถาม จางเหวินก็ได้อธิบายต่อทันที “ในคราวก่อนที่ 6 สำนักใหญ่มาบุกเมืองหลิงเฉิงของเราล้มเหลวนั้น ตามหลักแล้วมันเป็นความดีความชอบของประมุขอารามวิถีสวรรค์กับผู้นำกองทัพอี้เหริน เพราะถ้าหากพวกเขาไม่โผล่มาทันการแล้วล่ะก็ บางทีตัวข้าจางเหวินคงตายไปแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อยากออกจากหอการค้าใบหยกและไปเข้าร่วมกับกองทัพอี้เหรินก็ตาม แต่ข้าก็อยากจะช่วยพวกเขาในยามที่พวกเขามีปัญหา นอกจากนี้เมืองยงเฉิงก็เป็นบ้านเกิดของข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงอยากกลับไปไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าจึงอยากให้ท่านประธานกับผู้อาวุโสทุกท่านเข้าใจข้าด้วย!”
จากนั้นจางเหวินก็ได้คุกเข่าลงและก้มหัวให้อย่างจริงจัง เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วเหล่าผู้จัดการระดับสูงคนอื่นๆในหอการค้าใบหยกต่างก็พากันเงียบและล้มเลิกความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมเขาต่ออย่างชัดเจน
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะคิดว่าจางเหวินนั้นเป็นคนที่หัวแข็งและไม่รู้จักยืดหยุ่นอะไรอย่างนี้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจความดื้อรั้นที่ยึดมั่นในการตอบแทนบุญคุณของเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเองก็ได้พูดในสิ่งที่พวกเขาอยากจะพูดกันไปหมดแล้ว ถ้าหากจางเหวินนั้นยังยืนที่จะกลับไปที่เมืองยงเฉิงเพื่อช่วยกองทัพ อี้เหรินอยู่ดี พวกเขาก็ทำได้แค่ภาวนาในเขาโชคดีเท่านั้น
แต่ทว่าเย่เย่นั้นมีแผนที่จะช่วยคนในเมืองยงเฉิงอยู่แล้ว จึงไม่อาจปล่อยให้จางเหวินกลับไปที่เมืองยงเฉิงซึ่งอาจจะส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงกับแผนการนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่เห็นด้วยกับคำขอของจางเหวินในทันที
“หอการค้าใบหยกของเราไม่ใช่ที่ ที่นึกจะมาก็มาหรืออยากจะไปก็ไปตามใจชอบ! ถ้าหากเจ้ายังยืนยันที่จะออกไปจากหอการค้าจริงๆ เจ้าก็ต้องผ่านข้าไปก่อน ถ้าหากเจ้าทำร้ายข้าได้แม้แต่ปลายเส้นผม ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปทันที! ถ้าหากเจ้าทำไม่ได้ก็อยู่ที่หลิงเฉิงและฝึกวิชาต่อไป เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้หอการค้าใบหยกของเราเสียชื่อเสียงหลังจากที่เจ้าออกไป!”
เย่เย่ก็ได้เสนอเงื่อนไขมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แล้วจากนั้นก็ได้จ้องเขม็งไปที่จางเหวินราวกับว่าไม่ปล่อยให้เขาหนีไปได้ง่ายๆ
แต่ความแน่วแน่ของจางเหวินที่จะกลับไปที่เมืองยงเฉิงนั้นหนักแน่นนัก และเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในความสามารถของตัวเองด้วย ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินเงื่อนไขของเย่เย่แล้ว ตัวเขานั้นไม่เพียงแต่จะไม่ถอยแต่ยังก้มหัวให้กับเย่เย่ อย่างกระตือรือร้นแล้วพูดอย่างจริงจัง “ถ้าเช่นนั้น ก็ได้โปรดช่วยชี้แนะด้วย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง จางเหวินก็ได้พุ่งเข้าไปหาเย่เย่ด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วสวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่ก็ได้ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้แล้วถอยออกมาเพื่อให้มีช่องว่างขึ้นมาสำหรับทั้งคู่
เย่เย่ก็ได้ยืนอยู่เฉย ในขณะที่จางเหวินได้บุกเข้ามาหาเขา เขาก็ได้พลันยกมือขึ้นมา แล้วผลักจางเหวินออกไปเบาๆ
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะผนึกพลังยุทธ์ของตัวเองเอาไว้ให้อยู่ในระดับเดียวกันจางเหวิน ลำพังประสบการณ์ต่อสู้ของเขาก็มากพอที่จะมองเห็นจุดบอดของจางเหวินได้ในทันที ในขณะที่เขายื่นมือออกมาเขาก็ได้ขัดการโจมตีของจางเหวินและทำให้ จางเหวินต้องถอยออกไปสายตาของเขาได้จับจ้องมาที่เย่เย่ด้วยดวงตาที่เอาจริงเอาจัง
“ท่านประธาน ข้าขอล่วงเกิน!”
ถึงแม้ว่าจางเหวินจะพลาดท่า แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายจากท่วงท่าของเย่เย่ ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมแทนที่จะลดลง
หลังจากที่เขาตะโกนบอกเย่เย่ จางเหวินก็ได้ชักกระบี่ทลายเมฆาของเขาออกมา แล้วแทงเขาไปที่เย่เย่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“ทำลาย!”
เย่เย่ตะโกนออกมาแล้วทั้งตัวของเขาก็เหมือนกับเสือร้ายที่ลงมาจากเขาทะยานเข้าใส่จางเหวิน ซึ่งอำนาจคุกคามนั้นเหี้ยมโหดอย่างสุดๆ
ถึงแม้ว่าจางเหวินนั้นจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แต่เพราะเย่เย่นั้นได้แผ่แรงกดดันใส่เขามากเกินไป ทำให้ตัวเขาต้องเปลี่ยนจากรุกเป็นรับการโจมตีของเย่เย่ที่อยู่ตรงหน้าเขา
แก๊ง!
หมัดของเย่เย่ก็ได้ทุบไปที่กระบี่ทลายเมฆาและมีเสียงโลหะกระทบกันดังออกมาอย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าจางเหวินนั้นจะไม่บาดเจ็บ แต่ตัวเขาก็ได้ถูกผลักให้ถอยออกมาซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยแรงผลักที่เกิดจากหมัดของเย่เย่ แล้วเย่เย่ก็ได้อาศัยโอกาสนี้บุกเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว หมายที่จะยึดกระบี่ออกมาจากมือของจางเหวินและบังคับให้เขาต้องยอมแพ้ แต่จางเหวินเองก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ในชั่วขณะที่เย่เย่กำลังรุกไล่เขาหมายจะเอาชนะอยู่นั้นก็ได้พลันมีแสงส่องออกมาจากดวงตาของเขา ราวกับว่าได้ปลดปล่อยเอาความสามารถทั้งหมดของเขาออกมา แล้วเขาก็ได้เลิกถอยและใช้กระบี่ทลายเมฆาแทงเข้าไปที่เย่เย่ด้วยมุมที่ไม่แน่นอนอย่างสุดๆ
“อะไรกัน!”
เย่เย่ก็ได้ตกใจอย่างมากกับท่าทีของจางเหวิน และไม่คิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะตอบโต้กลับมาในช่วงสุดท้ายอย่างนั้น ในเวลานี้กระบี่ทลายเมฆาของจางเหวินนั้นได้พุ่งเข้ามายังหน้าอกของเย่เย่และสายเกินไปที่เย่เย่จะหลบได้
ในช่วงเวลาคับขันนั้นเอง เย่เย่ก็ได้ปลุกเอาพลังของวิญญาณมังกรออกมา แล้วตัวของเขาที่เหมือนเสือก็ได้กลายเป็นมังกรทันที ทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วก็ได้เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
เขาได้ยื่นสองนิ้วออกไปคีบกระบี่ทลายเมฆาของ จางเหวินอย่างแน่นหนา และไม่ว่าจางเหวินนั้นพยายามที่จะทำให้กระบี่หลุดออกมามากเพียงใด เขาก็ยังยืนนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ยอมแพ้เสีย!”
เย่เย่ที่คิดว่าการต่อสู้นี้น่าจะจบแล้วนั้น แต่ไฟสู้ของ จางเหวินนั้นกลับเหนือกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ในขณะที่เขากำลังบอกให้อีกฝ่ายยอมแพ้อยู่นั้นเอง จางเหวินก็ได้ยอมสละกระบี่สวรรค์เมฆา แล้วนิ้วชี้กับนิ้วกลางขวาของเขาก็ได้แนบชิดติดกันแล้ววาดกระบี่นิ้วไปที่คอของเย่เย่
ในใจของเย่เย่ได้พลันร้องเตือนออกมาว่าแย่แล้ว แต่ทว่าเพราะการสวนกลับของจางเหวินนั้นเร็วมากเกินไป มันจึงสายเกินไปแล้วที่เขาจะปัดป้องได้ทันการ
แต่ภายใต้สถานการณ์ที่สิ้นหวัง เย่เย่จึงทำได้แค่เพียงปล่อยกระบี่เมฆาที่เขาคีบเอาไว้ออกมา!
“ขาด!”
แต่ทว่าการโจมตีเมื่อสักครู่ของจางเหวินนั้นเป็นแค่ กลลวง เป้าหมายที่แท้จริงของเขานั้นเป็นกระบี่ทลายเมฆาในมือของเย่เย่ ซึ่งในขณะที่เย่เย่ได้ปล่อยกระบี่เมฆาและถอยออกมานั้น จางเหวินก็ได้รีบคว้ากระบี่เมฆาทันทีและฉวยโอกาสโจมตี เย่เย่ทันที
ฟิ้ว!
กระบี่ทลายเมฆาก็ได้พุ่งทะยานลงมาจากฟ้าราวกับสายฟ้าฟาดลงตรงหน้าเย่เย่ ซึ่งเต็มไปด้วยพลังที่ไม่ยอมแพ้
แม้แต่เย่เย่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีสายตาชื่นชมในวิธีการต่อสู้ของจางเหวิน แต่ทว่ามันไม่ได้หมายความว่าจางเหวินนั้นชนะแล้ว อย่างไรเสียเย่เย่นั้นก็มีพลังยุทธ์ที่มากกว่าจางเหวินมากมายนัก แม้ว่าเขาจะบีบพลังตัวเองให้อยู่ในระดับเดียวกันกับจางเหวินแล้วก็ตาม เขาก็ยังได้เปรียบกว่าจางเหวินอย่างเทียบไม่ติด
ในขณะที่กระบี่ทลายเมฆาของจางเหวินกำลังพุ่งเข้ามาหาเย่เย่อยู่นั้นเอง เย่เย่ก็ไม่ได้ตั้งรับแต่อย่างใด เพราะตัวเขานั้นพอจะเดาทิศทางการโจมตีของจางเหวินได้โดยอาศัยการรับรู้ถึงพลังฟ้าดินของเขา แล้วเขาก็ได้หลบไปด้านข้างอย่างช้าๆและหลบการฟันของกระบี่ทลายเมฆาอย่างคาดไม่ถึง
ตุบ!
ในขณะที่จางเหวินกำลังตกใจและดวงตาของเขากำลังเต็มไปด้วยความสับสนอยู่นั้นเอง เย่เย่ก็ได้เตะเขาออกไปนอกห้องประชุมของหอการค้าใบหยก แล้วร่างของจางเหวินก็ได้ตกไปยังลานกว้างด้านนอก
“ยังจะสู้ต่ออีกไหม?”
ในเมื่อการรับรู้ด้านพลังฟ้าดินของเย่เย่นั้นเหนือกว่า จางเหวินมากนัก จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะมองออกถึงวิธีต่อสู้ของจางเหวินตราบเท่าที่เขาตั้งสมาธิมองดู แต่จางเหวินนั้นกลับไม่สามารถมองเย่เย่ออกได้เลย จางเหวินจึงรู้สึกว่าทุกอย่างของเขานั้นล้วนถูกเย่เย่มองออกอยู่เพียงฝ่ายเดียว ทำให้หัวใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความกลัวและความน่าเกรงขามขึ้นมา เมื่อเผชิญต่อหน้าคำถามของเย่เย่แล้วเขาจึงทำได้แค่ก้มหัวให้อย่างหดหู่
“ความแข็งแกร่งของท่านประธานช่างล้ำลึกยิ่งนัก จางเหวินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านเลย!”
จางเหวินก็ได้เก็บกระบี่ทลายเมฆากลับเข้าฝัก แล้วก็ยืนและทำมือคารวะให้เย่เย่ด้วยความเคารพ และไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆในน้ำเสียงของเขา แต่ทว่าดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้และหดหู่ ราวกับยอมรับในชะตากรรมของเขา
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาแล้ว เย่เย่ก็ได้พลันเปลี่ยนอารมณ์และกล่าวสั่งสอนจางเหวินอย่างไม่สนใจ “ตัวเจ้านั้นมาเข้าร่วมหอการค้าใบหยกก็นานแล้ว แต่พลังยุทธ์ของเจ้ากลับยังอ่อนแอนัก ช่างเปล่าประโยชน์นักที่หอการค้าใบหยกจะเลี้ยงดูเจ้าเอาไว้ ออกไปเสียแล้วจากนี้ไป เจ้าห้ามเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ของหอการค้าใบหยกอีก!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ไม่ว่าจะจางเหวินก็ดีสวี่ซื่อเจี๋ยก็ดี ต่างก็มองไปที่เย่เย่ด้วยความตกใจ
นอกจากจะมีสีหน้าตกใจและอับอายบนใบหน้าของจางเหวินแล้วก็ยังมีความดีใจแฝงอยู่ด้วย ส่วนสวี่ซื่อเจี๋ยกับคนอื่นๆนั้นต่างก็รู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมเย่เย่ที่พยายามสู้กับจางเหวินเมื่อสักครู่นั้น สุดท้ายถึงได้ยอมปล่อยเขาให้ออกไปจากหอการค้าใบหยกได้
แต่ทว่าเย่เย่นั้นกลับไม่ได้อธิบายพวกเขา กลับกันเขาก็ได้เรียกรวมเหล่าลูกศิษย์หัวกะทิของหอการค้าใบหยกมาและประกาศมติไล่จางเหวินออกให้รู้โดยทั่วกัน
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะอยากเก็บจางเหวินเอาไว้มากเพียงใด แต่จากที่ต่อสู้กับจางเหวินเมื่อสักครู่นั้น เย่เย่ก็รู้สึกได้ถึงความมุ่งมั่นที่จะกลับไปยังยงเฉิงของฝ่ายตรงข้าม หากฝืนในบังคับให้เขาอยู่อาจทำให้เกิดความหดหู่ในจิตใจแล้วพลังยุทธ์ของเขาก็จะไม่ก้าวหน้าไปไหน ซึ่งเย่เย่ก็ไม่ต้องการที่จะเห็นจางเหวินนั้นต้องค่อยๆกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ เขาจึงได้ตัดสินใจยอมปล่อยเขาไป
หลังจากที่เขาได้ประกาศมติไล่จางเหวินออกไปแล้ว เย่เย่ก็ได้หันหลังกลับไปที่ห้องของตัวเองแล้วพูดกับสวี่ซื่อเจี๋ยและเจิ้งซวี่ที่อยู่ข้างหลังเขา “ข้าได้ทำร้ายจางเหวินไประหว่างการต่อสู้เมื่อสักครู่ เจ้ามอบยาทองคำวิเศษจากในโกดังให้เขาไปเป็นค่าชดเชย จะปล่อยให้คนอื่นมาว่าหอการค้าของเราขี้เหนียวไม่ได้!”
หลังจากที่เย่เย่พูดจบแล้วเขาก็ได้เดินออกห้องประชุมไป แล้วเหล่าศิษย์ทั้งหมดของหอการค้าใบหยกที่ได้ยินเข้าต่างก็มองไปที่จางเหวินด้วยความอิจฉา
เพราะยาทองคำวิเศษนั้นเป็นยาระดับสูงสุดในชั้นเทพอสูรที่หอการค้าใบหยกนั้นได้ซื้อมาจากนักปรุงยาเมื่อสองวันก่อน ซึ่งช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้ดีกว่ายาที่เย่เย่นั้นแลกมาจากระบบเติมเงินอเนกประสงค์เสียอีก ซึ่งเป็นเพราะว่าโอกาสสำเร็จในการผลิตยาชนิดนี้นั้นต่ำมาก ทำให้มีอยู่เพียงแค่น้อยนิดและในหอการค้าใบหยกนั้นก็มียานี้เพียงแค่ขวดเดียว ทำให้เหล่าศิษย์ในระดับเทพอสูรนั้นต่างก็ฝันถึงยาทองคำวิเศษนี้แต่เพราะราคาของยานี้สูงมากเกินไป ลำพังยอดฝีมือในระดับเทพอสูรทั่วๆไปนั้นไม่อาจหาซื้อได้เลย
ในเวลานี้เย่เย่ได้ประกาศชื่อผู้ที่เป็นเจ้าของยาทองคำวิเศษนี้แล้ว ทำให้ลูกศิษย์คนอื่นๆต้องมองจางเหวินด้วยความอิจฉาและถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ส่วนจางเหวินเองก็ตกใจเมื่อได้ยินที่เย่เย่กล่าว ดวงตาของเขานั้นตกใจและดีใจพร้อมๆกัน เขาได้ก้มหัวให้อย่างจริงใจไปยังทิศทางที่เย่เย่จากไป ราวกับเขาเข้าใจแล้วว่าเย่เย่นั้นเป็นห่วงเขามากขนาดไหน
อีกทางด้านหนึ่งสวี่ซื่อเจี๋ยกับคนอื่นๆก็ได้ค่อยๆพากันรู้สึกตัวได้ และเข้าใจได้ถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเย่เย่ถึงได้ไล่ จางเหวินออก ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นไม่ค่อยจะเต็มใจ แต่ในเมื่อ เย่เย่ได้ตัดสินใจไปแล้ว คนอื่นๆก็ทำได้แค่ทำตามเท่านั้น
หลังจากที่สวี่ซื่อเจี๋ยได้มอบยาทองคำวิเศษให้จางเหวินไปแล้ว เขาก็ได้แอบมอบตั๋วทองคำให้เป็นการส่วนตัวด้วย และจากนั้นก็ปล่อยให้เขาเดินไปตามทางของตัวเอง หลังจากที่ จางเหวินได้เดินออกไปจากหน้าประตูหอการค้าใบหยกแล้ว เขาก็ได้หันกลับมามองหอการค้าอยู่อีกพักใหญ่ๆ จนกระทั่งเริ่มค่ำก็ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแล้วจากนั้นก็ได้หันหลังให้แล้วรีบมุ่งหน้าไปยังทางออกของเมืองหลิงเฉิง
หลังจากที่เย่เย่จัดการกับเรื่องของจางเหวินเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้กลับไปที่ห้องเพื่อฝึกวิชาอย่างเงียบๆอีกครั้ง ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่นานนักที่เหยียนลี่หยางจะมาที่หลิงเฉิงอีกครั้งเพื่อมาหาเขา