ระบบเติมเงินข้ามภพ - บทที่ 269 แตกแยก
บทที่ 269
แตกแยก
แล้วคนคุ้มกันที่ยืนอยู่ข้างนอกก็ได้เดินเข้ามาข้างในห้องและไปหาจ้าวฉินกับหวงจิ้งเฟิง เห็นได้ชัดว่าจะมาเชิญพวกเขาออกไป ซึ่งจ้าวฉินกับหวงจิ้งเฟิงนั้นก็ได้รู้สึกเสียหน้าอย่างมาก แต่พวกเขาก็ได้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆและเดินออกจากห้องไปด้วยความยุ่งยากใจ
หลังจากนั้นหวงจิ้งเฟิงก็ได้เดินมาหาเย่เย่ ตัวเขานั้นคิดที่จะบอกลาเย่เย่ แล้วค่อยกลับไปคิดหาทางอื่นที่จะเกลี้ยกล่อม เย่เย่ในภายหลังอีกที แต่ทว่าจ้าวฉินนั้นกลับกัดฟันแน่นแล้วหันหน้ามาจากนั้นก็ได้ก้มหัวให้เย่เย่แล้วกล่าว “ท่านประธานเย่ ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะรู้อยู่แล้วว่าทัณฑ์สวรรค์นั้นได้เข้าควบคุมเมืองยงเฉิงเอาไว้และข่มขู่ให้ประมุขอารามวิถีสวรรค์ปรากฏตัวออกมา ถึงแม้ว่าข้าจะรู้อยู่แล้วว่าผู้คนในแผ่นดินชางหลางส่วนใหญ่นั้นไม่อยากที่จะมายุ่งกับเรื่องของความขัดแย้งภายในเช่นนี้ แต่ท่านประธานเย่นั้นมีกะใจที่จะนิ่งดูดายมองดูผู้คนเป็นล้านในเมือง ยงเฉิงต้องถูกกำจัดอย่างโหดเหี้ยมโดยทัณฑ์สวรรค์ได้จริงๆเหรอ?”
เมื่อเขาเห็นว่าผลประโยชน์ไม่ทำให้เย่เย่สนใจได้ เขาจึงได้ฝากความหวังเอาไว้กับความสงสารของเย่เย่
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะยอมร่วมมือกับพวกเขาในการช่วยคนออกมาจากวังหลวงในครั้งก่อนก็จริง แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือซูเหลียนหยูนั้นไปข้องเกี่ยวกับตระกูลไป๋ที่ถูกขังอยู่ในคุกด้วย หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวมาจากหวงจิ้งเฟิงแล้ว จ้าวฉินก็ได้เชื่อว่าเย่เย่นั้นจะต้องเห็นใจตระกูลไป๋และกองทัพอี้เหริน หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนที่แล้งน้ำใจเป็นแน่ จ้าวฉินจึงได้ล้มเลิกแผนการที่ตั้งใจเอาไว้ก่อนหน้าที่จะล่อเย่เย่ให้มาร่วมลงเรือผลประโยชน์ด้วยกัน กลับกันเขาก็ได้พุ่งเป้าไปที่หัวใจของเย่เย่และหวังว่าจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิดได้
อย่างที่คาดเอาไว้หลังจากที่เย่เย่ได้ยินที่จ้าวฉินกล่าว สายตาของเขาก็ได้ปรากฏซึ่งความตกใจและถามเขากลับไป “หรือว่าที่ท่านดูรีบร้อนนัก ก็เพราะท่านวางแผนที่จะใช้พลังของราชวงศ์ชางหลางหยุดการกระทำที่โหดร้ายของทัณฑ์สวรรค์?”
จ้าวฉินก็ได้เผยซึ่งความลำบากใจที่มุมปากของเขาแล้วกล่าวกับเย่เย่อย่างไม่ปิดบัง “ต่อให้พวกเราทำสำเร็จ ลำพังอำนาจของราชวงศ์ชางหลางก็คงไม่อาจทำให้ทัณฑ์สวรรค์นั้นเปลี่ยนใจได้อยู่ดี แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถทำให้ราชวงศ์ ชางหลางนั้นไม่กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับทัณฑ์สวรรค์ และไม่ปล่อยให้จ้าวถิงอวี่ต้องฝังความเมตตาของราชวงศ์ชางหลางไป!”
น้ำเสียงของเขานั้นหนักแน่นมาก และมองเห็นความแน่วแน่ที่ไม่โอนอ่อนง่ายๆในดวงตาของเขา ซึ่งทำให้เย่เย่นั้นมอง จ้าวฉินเปลี่ยนไปทันที เมื่อเห็นว่าท่าทีของเย่เย่นั้นเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว หวงจิ้งเฟิงก็ได้รีบตีเหล็กขณะยังร้อนแล้วก้มหัวให้กับเย่เย่อย่างเคร่งขรึมอีกหน “ท่านประธานเย่ ได้โปรดช่วยพวกเราเพื่อผู้คนในเมืองยงเฉิงด้วย และรวมถึงผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินชางหลางด้วย! ข้าขอรับรองว่าถ้าหากพวกเราทำสำเร็จ ความพยายามของท่านประธานเย่ในวันนี้จะต้องไปสูญเปล่าแน่!”
จ้าวฉินกับหวงจิ้งเฟิงก็ได้ก้มหัวให้เย่เย่อย่างจริงจังพร้อมกัน ทั้งสองคนนั้นยังคงก้มหัวโดยไม่รอฟังคำตอบของเย่เย่ ปล่อยให้คนคุ้มที่เพิ่งเข้ามาในห้องถึงกับทำอะไรไม่ถูก
“เจ้าออกไปก่อน! ตรงนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
เย่เย่ก็ได้ออกคำสั่งคนคุ้มกัน แล้วพอเหลือกันอยู่แค่ 3 คนในห้องแล้ว เย่เย่ก็ได้ประคองพวกเขาขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะสู้เพื่อท่าน แต่ตัวข้านั้นไม่ต้องหอการค้าใบหยกนั้นต้องมาข้องเกี่ยวด้วย!”
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะยังไม่เชื่อในคำพูดของพวกเขาเสียทั้งหมด แต่ท่าทีของเขาก็ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนกับตอนแรกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ดีแผ่นดินชางหลางก็ยังจำเป็นต้องมีฮ่องเต้ขึ้นปกครองอยู่ดี หากเทียบกับฮ่องเต้เหิงหวังที่เป็นศัตรูกับเขาแล้ว จ้าวฉินนั้นก็ยังดีกว่าในสายตาของเขา นอกจากนี้เมื่อใดที่ราชวงศ์ชางหลางนั้นตกอยู่ในความขัดแย้งภายใน พวกเขาก็จะได้ไม่มีเวลามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของประมุขอารามวิถีสวรรค์และกองทัพ อี้เหรินได้อีก ซึ่งมันก็จะเป็นประโยชน์และปลอดภัยขึ้นสำหรับเขาด้วย จึงได้ตัดสินใจที่จะยอมรับคำขอของพวกเขา
“ไม่มีปัญหา! ขอเพียงท่านประธานเย่ยอมที่จะมาเป็นเรี่ยวแรงให้ พวกเรายอมทุกข้อแม้เลย!”
เมื่อจ้าวฉินได้ยินว่าเย่เย่ยอมทำตามคำขอแล้ว ดวงตาของเขาก็ได้เผยซึ่งความตื่นเต้นขึ้นมา แล้วเขาก็ได้รีบพา หวงจิ้งเฟิงก้มหัวให้เย่เย่เพื่อขอบคุณ
เย่เย่ก็ได้ประคองพวกเขาขึ้นมาแล้วรีบหารือกับพวกเขาเรื่องของแผนการโดยละเอียด โดยในตอนที่จ้าวฉินกับหวงจิ้งเฟิงออกไปจากหอการค้าใบหยกด้วยสีหน้าที่พอใจนั้น พวกเขาก็ได้ตกลงเรื่องของเวลาที่ชัดเจนในการเริ่มศึกชิงบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว
“ภายใน 20 วันงั้นเหรอ? หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี!”
เย่เย่ก็ได้มองไปยังทิศทางที่พวกเขาจากไปพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ และรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบนไหล่ของเขามันเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว แต่ทว่าการเพิ่มแรงกดดันขึ้นมาแบบนี้ก็ดีกับเย่เย่เหมือนกัน มันทำให้เขาปรับสภาพพลังอย่างตั้งใจกว่าเดิมเพื่อจะได้บรรลุถึงขั้นราชันย์เทพให้ได้ หากว่าเขาสามารถบรรลุกลายเป็นราชันย์เทพได้สำเร็จแล้ว เย่เย่ก็จะมีความมั่นใจว่าจะจัดการเรื่องของศึกในราชวงศ์ชางหลางและคำขู่ของทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
ดังนั้นหลังจากที่หวงจิ้งเฟิงและจ้าวฉินจากไปแล้วนั้น เย่เย่ก็ได้ตั้งใจฝึกวิชาต่อ และเตรียมขั้นตอนสุดท้ายในการบรรลุเป็นราชันย์เทพ เขาได้วางแผนที่จะทำให้พลังปราณนั้นบริสุทธิ์ขึ้นมาในระดับหนึ่งก่อนแล้วทานยาข้ามฟากเข้าไปทันที แล้วเขาก็ได้เริ่มพยายามบรรลุขั้นให้ได้แต่ทว่าปัญหาคอขวดของการบรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพนั้นมันยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก เย่เย่นั้นไม่สามารถปรับสภาพพลังปราณของเขาให้อยู่ในระดับเหมาะสมตั้งแต่ต้นจนจบได้
หลังจากที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีก เย่เย่ก็ได้เลิกกินยาข้ามฟากเพื่อทำให้บรรลุขั้น อย่างไรเสียถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่สามารถบรรลุขึ้นเป็นราชันย์เทพได้ แต่เขาก็แค่ถอยกลับมาแค่ครึ่งทางเท่านั้น และพลังรบของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับราชันย์เทพเลย และพลังของเขาก็จะล้ำลึกหยั่งถึงมากขึ้นไปอีกหลังจากที่สวมชุดเกราะสวรรค์นภาทมิฬ
แต่ทว่าถ้าหากเย่เย่ล้มเหลวในการฝืนบรรลุขั้น มันก็จะส่งผลร้ายแรงกับพลังยุทธ์ของเขา ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เขายากที่จะรักษาระดับพลังของเขาแล้ว แต่มันยังจะทำให้เขาไม่สามารถรับมือกับการดวลและคำขู่ที่จะมาถึงนี้ด้วย ดังนั้นเย่เย่จึงได้ทำการปรับอารมณ์ของเขาหลังจากที่พยายามฝืนมาสักพักหนึ่ง แล้วจึงรอจนกระทั่งเขารวบรวมพลังกลับมาให้ได้มากพอก่อนที่จะพยายามบรรลุขั้นอีกหน
แต่ทว่าเย่เย่นั้นไม่ได้รีบบรรลุขั้นในทันที แต่เริ่มทำความเข้าใจกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณมังกรเสียก่อน
เพราะว่าตัวเขานั้นได้ใช้กระบวนท่ากลืนสวรรค์มาโดยตลอดและได้ทำการรวบรวมพลังปราณของเหล่าราชันย์เทพและยอดฝีมือมามากมาย และวิญญาณมังกรที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาเลยเป็นเวลานานแล้วก็ได้เริ่มพัฒนาอีกหน ไม่เพียงแต่เขามังกรบนหัวนั้นจะมีรูปร่างที่สมบูรณ์แล้ว แล้วก็ได้เริ่มมีน่องขาโผล่ออกมาจากส่วนท้องของวิญญาณมังกร และพลังมังกรนั้นก็ได้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆด้วย
ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวิญญาณมังกรนั้นได้เริ่มกลายร่างกลายเป็นวิญญาณมังกรเต็มตัวแล้ว เมื่อได้ที่ขาของมันงอกออกมาสมบูรณ์ วิญญาณมังกรของเขาก็จะเป็นมังกรที่สมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกวิชาของเย่เย่อย่างเทียบกันไม่ได้เลย
ไม่เพียงแค่นั้นแต่จู่ๆเย่เย่พลันรู้สึกได้ถึงพลังที่อธิบายไม่ได้กำลังไหลออกมาจากมือและเท้าของเขาหลังจากที่น่องทั้งสี่กำลังงอกออกมาจากท้องของวิญญาณมังกร ซึ่งเย่เย่เรียกมันว่าปราณมังกร ซึ่งแต่แรกวิญญาณมังกรนั้นจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่มันก็ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่เย่เย่ได้ดูดซับเอาพลังปราณของเหล่าราชันย์เทพมา
หลังจากที่ทดลองดูหลายๆหนแล้ว เย่เย่ก็พบว่าปราณมังกรนั้นไม่เพียงแต่จะสามารถใช้เป็นพลังสู้กับศัตรูได้แล้ว แต่ยังมีความสามารถในการฟื้นฟูบาดแผลอีกด้วย ซึ่งการค้นพบนี้ทำให้เย่เย่นั้นดีใจอย่างมาก เพราะมันจะไม่เพียงแต่เป็นไพ่ตายใหม่ของเขาแล้วแต่ยังสามารถทำให้เขาสงบและมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือราชันย์เทพหลังจากนี้ ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องกังวลว่าจะแพ้ให้กับยอดฝีมือราชันย์เทพง่ายๆอีกต่อไปแล้วด้วย
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เย่เย่นั้นไม่ได้ฝึกวิชาต่อเลย แต่เขาได้ทำความคุ้นเคยกับวิชาการใช้ปราณมังกรนี้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาออกมาจากในห้องก็พบว่ายังพอมีเวลาเหลืออีกหน่อยก่อนที่จะถึงวันที่เย่เย่กับเหยียนลี่หยางตกลงกันเอาไว้ในอีกครึ่งเดือนให้หลัง
ในช่วงไม่กี่วันมานี้เย่เย่นั้นไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองต้องรู้สึกตึงเครียดอีกแล้ว แต่ได้ตัดสินใจที่จะผ่อนคลายตัวเองลงและจัดการธุระของหอการค้าใบหยกบ้าง
ซูเหลียนหยูกับเสวี่ยหยูก็ได้มาช่วยงานเย่เย่ในเมือง หลิงเฉิง ถึงแม้ว่าพวกนางจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแผนการของเย่เย่ แต่พวกนางก็ยังรู้สึกได้ถึงภาระในใจของเย่เย่นั้นได้มาถึงขีดสุดแล้ว และเวลาที่จะพักผ่อนและผ่อนคลายบ้างแล้ว ทั้งสองคนจึงได้ไม่นำหัวข้อหนักๆขึ้นมาพูดคุยต่อหน้าเย่เย่และแอบแบ่งเบาภาระในหอการค้าใบหยกและอยู่ร่วมกับเขาเดินเล่นในเมือง หลิงเฉิงเป็นช่วงๆ (*ผู้แต่งเขียนซูเหลียนหยูกลับมาอยู่กับเย่เย่แล้ว)
ภายใต้การเอาใจใส่ของทั้งสองคน สภาพของเย่เย่ก็ได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ และมีความรู้สึกได้รางๆ ว่าตัวเขากำลังถึงจุดเปลี่ยนของราชันย์เทพแล้ว แต่ทว่าตัวเขาก็ไม่ได้รีบปลีกตัวออกไปเพื่อพยายามบรรลุวิชาแต่ได้คิดที่จะปล่อยให้อะไรจะเกิดก็เกิดไปแทน และหลังจากนี้ตัวเขาก็มั่นใจว่าตัวเขานั้นกำลังเริ่มเข้าสู่การบรรลุขึ้นราชันย์เทพแล้ว
ในช่วงระหว่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่างในหอการค้าใบหยกนั้นเป็นไปอย่างปกติดี ซึ่งในขณะที่เย่เย่นั้นเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและพร้อมที่จะกลับมาเป็นพ่อค้าอีกครั้งอยู่นั้น จู่ๆก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในหอการค้าใบหยกที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจ จึงได้เดินไปหาสวี่ซื่อเจี๋ยและคนอื่นๆเพื่อจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ในห้องประชุมของหอการค้าใบหยกนั้นก่อนที่เย่เย่จะโผล่เข้ามา สวี่ซื่อเจี๋ยกับเจิ้งซวี่และสมาชิกอาวุโสคนอื่นๆก็ได้มารวมกันเพื่อโน้มน้าวศิษย์หนุ่มคนหนึ่งอยู่ แต่ทว่าชายหนุ่มคนนั้นกลับเหมือนไม่เข้าหัวของเขาเลยราวกับคนดื้อรั้น ไม่ว่าสวี่ซื่อเจี๋ยกับคนอื่นๆเกลี้ยกล่อมเขายังไง เขาก็ไม่เปลี่ยนความคิดเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเย่เย่เดินเข้ามาในห้องประชุมก็พบกับเหตุการณ์นี้เข้า คิ้วของเขาก็ได้ขมวดแน่แล้วเดินมาหาชายหนุ่มแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น “จางเหวินเจ้าคิดที่จะออกไปจากหอการค้าใบหยกเพื่อกลับไปที่เมืองยงเฉิงเพื่อช่วยคนในเมืองยงเฉิงด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ?”
“ขอโทษด้วยขอรับท่านประธาน! ยงเฉิงนั้นเป็นบ้านเกิดของจางเหวิน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีญาติของเขาเหลือในเมืองนั้นแล้วก็ตาม แต่จางเหวินก็ไม่อาจนิ่งดูดายปล่อยให้เมืองยงเฉิงถูกทำลายโดยพวกทัณฑ์สวรรค์ได้! ได้โปรดช่วยแก้ไขเรื่องนี้ทีเถอะขอรับ!”
ยงเฉิงนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองในแผ่นดินชางหลาง และมีประชากรมากกว่าเมื่องหลิงเฉิงและเมืองอื่นๆในแผ่นดินชางหลางหลายเท่าตัวนัก ดังนั้นจึงมีศิษย์มากมายในหอการค้าใบหยกที่มาจากเมืองยงเฉิง ซึ่งถ้าหากพวกเขาเป็นลูกศิษย์ธรรมดาๆของหอการค้าแล้วล่ะก็ สวี่ซื่อเจี๋ยกับคนอื่นๆก็คงจะปล่อยให้พวกเขาไปหลังจากที่เกลี้ยกล่อมแล้ว แต่จางเหวินนั้นเป็นคนที่โดดเด่นมากที่สุดในเมื่อหอการค้านอกจากเฉินเซียน สวี่ซื่อเจี๋ยและเจิ้งซวีนั้นไม่อยากเห็นเขากลับไปตายจึงได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจ
แต่ทว่าจางเหวินนั้นได้ตัดสินใจแน่วแน่ไปแล้วและไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาอย่างไร เขาก็จะไม่ล้มเลิกความคิดที่จะไปเลย ยิ่งไปกว่านั้นเพราะตัวเขาไม่ต้องการให้การกระทำของเขานั้นส่งผลมาถึงหอการค้าใบหยก ก่อนที่เขาจะกลับไปที่เมืองยงเฉิง จางเหวินก็ได้ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างระหว่างเขากับหอการค้าใบหยกออก และตั้งใจที่จะแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว ท่ามกลางความไม่รู้จะทำเช่นไรดีของเหล่าผู้จัดการระดับสูงของหอการค้าใบหยก สวี่ซื่อเจี๋ยจึงได้รายงานเรื่องนี้ให้เย่เย่ทราบและให้เย่เย่ตัดสินใจด้วยตัวเอง
เย่เย่นั้นเคยได้ยินชื่อของจางเหวินมาก่อนและรู้สึกประทับใจในตัวเขาระดับหนึ่ง และเขาก็รู้ด้วยว่าจางเหวินนั้นเป็นตัวตนที่สำคัญของหอการค้าใบหยกด้วย ในเวลานี้เมื่อเขาได้ยินว่าจางเหวินนั้นจะออกไปจากหอการค้าแล้ว เย่เย่ก็ได้ตกใจและในขณะเดียวกันก็ได้หวังว่าจางเหวินนั้นจะเปลี่ยนใจและอยู่ที่หอการค้าต่อเพื่อเพิ่มพูนพลังยุทธ์ของเขา
“มีลูกศิษย์ในหอการค้าอีกมากมายที่มาจากเมืองยงเฉิง และยังมีบางคนที่ยังมีญาติสนิทที่ยังติดอยู่ในเมืองยงเฉิง แต่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าต่อให้พวกเขากลับไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ข้าไม่เชื่อว่าเจ้านั้นจะมองไม่เข้าใจถึงจุดนี้”
เย่เย่ก็ได้มองไปที่สีหน้าที่หนักแน่นและชัดเจนของจางเหวิน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่เข้าใจถึงความจริงในข้อนี้ แต่ทว่าเขายังตั้งใจที่จะออกไปจากเมืองหลิงเฉิงอยู่ดี จึงเป็นไปได้ว่าน่าจะมีเหตุผลอื่นอยู่ แต่เขาไม่สามารถที่จะบอกต่อหน้าสวี่ซื่อเจี๋ยและคนอื่นๆได้