ระบบเติมเงินข้ามภพ - ทที่ 363 การโจมตีสวนกลับแห่งความตาย
บทที่ 363
การโจมตีสวนกลับแห่งความตาย
พอเงาฝ่ามือหายไปผู้อาวุโสเป่ยซาน และผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบนิ่ง ราวกับว่าตัวเขานั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทว่ายิ่งเขาสงบนิ่งมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เย่เย่กับคนอื่นๆต้องรู้สึกขนหัวลุกและสายตาก็ได้จับจ้องไปที่ ผู้อาวุโสเป่ยซานด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
ผ่านการเผชิญหน้ากันหนึ่งต่อหนึ่งเมื่อสักครู่นี้ เย่เย่กับคนอื่นๆที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆนั้นที่รู้สึกทึ่งกับพลังของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นอยู่แล้วนั้น แต่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ภายใต้การโจมตีของผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้ทำให้สัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นถูกจัดการและบาดเจ็บสาหัสอย่างง่ายดาย ซึ่งจากตรงนี้ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความทรงพลังของผู้อาวุโสเป่ยซานดี
“โฮก!”
สัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นดูจะกลัวการถูกสังหารอย่างเห็นได้ชัด และก็รู้ด้วยว่าต่อให้มันสู้อย่างเต็มที่ ตัวมันก็ไม่สามารถที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสเป่ยซานได้
หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบวนท่าของ ฝ่ายตรงข้ามแล้ว สัตว์อสูรเพลิงสิ้นก็ได้หมดไฟที่จะสู้กับผู้อาวุโสเป่ยซานต่อ แล้วพลันหนีออกไปอีกทางทันทีที่มันตั้งสติได้
ซู่ม!
ความเร็วของมันนั้นรวดเร็วปานสายฟ้า แม้ว่ามันจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดฝีมือระดับราชันย์เทพไล่ตามทันได้
แต่ทว่าผู้อาวุโสเป่ยซานที่คาดการณ์เช่นนี้เอาไว้อยู่แล้วนั้น เมื่อเห็นสัตว์อสูรเพลิงสิ้นพุ่งออกไป ตัวเขาก็ได้พลันปรากฏอยู่ตรงหน้ามันและซัดฝ่ามือใส่สัตว์อสูรเพลิงสิ้นอีกหน
เงาฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกหน ราวกับตาข่ายสวรรค์โผล่มาปิดกั้นทางหลบหนีของสัตว์อสูรเพลิงสิ้น
ตุบๆๆๆๆ!
ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นจะเลี้ยวหลบได้ทันการ แต่มันก็ยังถูกการโจมตีของฝ่ามือพันกรไปบางส่วนอยู่ดี แล้วอาการบาดเจ็บที่ตัวของมันก็ได้เลวร้ายหนักกว่าเดิม
“โฮก!”
มันคำรามออกมาด้วยความโศกเศร้าและโกรธแค้น แล้วก็ได้รีบหันหลังกลับแล้วหนีออกไปอีกทางทันที
แต่ทว่าไม่ว่ามันจะหนีไปทางไหน ผู้อาวุโสเป่ยซานก็จะไปโผล่ตรงหน้าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นและทำให้มันถอยกลับมาทุกครั้งไป และในแต่ละครั้งก็ได้ทำให้อาการบาดเจ็บของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นแย่ลงเรื่อยๆ
“เจ้าสัตว์อสูร ยอมรับชะตากรรมของเจ้าเสียเถอะ!”
ความอดทนของผู้อาวุโสเป่ยซานเองก็เหมือนจะหมดแล้ว หลังจากที่ทำให้สัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังแล้ว ตัวเขาก็ได้ใช้โอกาสนี้โจมตีซ้ำเข้าไปอีก และในขณะที่กำลังบุกเข้าไปหาสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้น เขาก็ได้เหวี่ยงหมัดออกไปอย่างสุดกำลังของเขา
ตูม!
พลังปราณฟ้าดินในอากาศทั่วทั้งบริเวณภูเขาเหยียนเป่ยนั้นก็ได้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง เกิดเป็นพายุหมุนที่มองเห็นได้หมุนวนอยู่รอบๆหมัดของผู้อาวุโสเป่ยซาน ถ้าหากว่าหมัดนี้ถูกสัตว์อสูรเพลิงสิ้นเข้าไปจังๆแล้ว ก็เดาได้เลยว่ามันคงจะหมดสิทธิ์ลุกขึ้นมายืนได้อีก แล้วมันจะต้องตายอยู่ที่พื้นที่ต้องห้ามของตระกูลเหยียนไปตลอดกาลและกลายเป็นเพียงซากศพเย็นๆ
“โฮก!”
สัตว์อสูรเพลิงสิ้นที่หดหู่ในราวกับว่ามันยอมแพ้ที่จะหนีไปแล้วนั้น ในขณะที่ผู้อาวุโสเป่ยซานกำลังเดินไปหามันอยู่นั้นเอง มันก็ได้พุ่งเข้าไปหาเหยียนเจิ้นจงและคนอื่นๆที่อยู่ข้างๆเขา แล้วในขณะเดียวกันก็ได้เกิดการปะทุของพลังปราณในอากาศแล้วถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นยักษ์ เป็นเหมือนระเบิดที่กำลังจะระเบิด
“ไม่ มันกำลังจะระเบิดตัวเอง!”
“ผู้อาวุโสช่วยด้วย!”
“มันจบแล้วพวกเราตายแน่แล้ว!”
หลังจากที่เหยียนเจิ้นตงกับพรรคพวกเห็นสายตาบ้าคลั่งของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นแล้ว พวกเขาก็พลันเดาได้ว่าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ และรีบร้องขอให้ผู้อาวุโสเป่ยซานช่วยทันที
ถึงแม้ว่าเย่เย่กับเหยียนลี่หยางนั้นจะอยู่ห่างออกมาไกล แต่พวกเขาก็ยังกลัวพลังของการระเบิดตัวเองของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นอยู่ดี แล้วก็ได้รีบพากันถอยห่างออกจากสัตว์อสูรเพลิงสิ้น
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นกำลังจะระเบิดตัวเองอย่างที่คาดอยู่นั้นเอง ร่างของผู้อาวุโสเป่ยซานก็ได้หายไปในทันที เมื่อเขาโผล่มาอีกครั้งก็ได้โผล่มาจากข้างๆสัตว์อสูรเพลิงสิ้นแล้วใช้ฝ่ามือซัดเข้าไปทันที เงาฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาจากกระบวนท่าเทพพันกรนั้นก็ได้พากันห้อมล้อมสัตว์อสูรเพลิงสิ้นทันที อีกทั้งยังได้ทำการระงับการปะทุของพลังที่แผ่ออกมาจากสัตว์อสูรเพลิงสิ้น
“ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องเลือกฝ่าแนวป้องกันออกไป! แต่ต่อหน้าข้าแล้วเจ้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ระเบิดตัวเองหรอก!”
สีหน้าของผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นยังคงสงบนิ่งเช่นเคยและมีความดูหมิ่นปรากฏอยู่ในดวงตาของเขาในขณะที่จ้องไปที่สัตว์อสูรเพลิงสิ้น
แต่ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเขานั้นได้หยุดการระเบิดตัวเองของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นและได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นอยู่นั้นเอง ดวงตาสีแดงเลือดของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นนั้นก็ได้ปรากฏแววตาที่สงบนิ่งเหมือนมนุษย์ออกมา
ในขณะเดียวกันมันก็ได้ทุ่มพลังทั้งตัวของไปไว้ที่ขาหน้าของมันที่เดียว แล้วก็ได้ข่วนใส่ผู้อาวุโสเป่ยซานที่อยู่ใกล้ขาหน้าของมัน
ปึก!
ผู้อาวุโสเป่ยซานที่ไม่ทันได้ระวังตัวนั้นก็ได้ถูกโจมตีจนมีบาดแผลลึกที่หน้าอกของเขาด้วยกรงเล็บของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นทันที
ซู่!
เลือดสีแดงสดก็ได้ไหล่พุ่งออกมาจากบาดแผลทันที และย้อมขนของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นจนกลายเป็นสีแดง บรรยากาศแลดูเต็มไปด้วยความอำมหิตและสลดใจ
“อ๊าก! เจ้าสัตว์ร้ายตายเสียเถอะ!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นไม่คิดว่าตัวเขานั้นจะถูกหลอกโดยสัตว์อสูร หลังจากที่ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บและความโกรธ ตัวเขาก็ได้ซัดใส่สัตว์อสูรเพลิงสิ้นด้วยฝ่ามือของเขา
ตุบๆๆๆๆ!
แล้วเสียงทุบรัวเป็นชุดก็ได้ดังมาอีกระลอก แต่ในคราวนี้เสียงดังกว่าคราวก่อนเสียอีก และยังผสมผสานไปด้วยเสียงกระดูกหักของสัตว์อสูรเพลิงสิ้น ทำเอาผมทุกเส้นของเย่เย่กับคนอื่นนั้นต้องตั้งชัน
ตูม
หลังจากที่การโจมตีสวนกลับโดนผู้อาวุโสเป่ยซาน สัตว์อสูรเพลิงสิ้นก็ไม่สามารถทำอะไรต่อได้อีก และถูกสังหารด้วยการระดมหมัดด้วยความโกรธของผู้อาวุโสเป่ยซาน จนกระทั่งร่างใหญ่โตของมันก็ได้ล้มลงไปกระแทกกับพื้นจนเกิดเป็นหลุมที่พื้น
แล้วการต่อสู้ก็ได้จบลง แต่ก็ไม่มีใครเลยที่มีสีหน้ายินดีออกมา ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่ตึงเครียดอย่างสุดๆในดวงตาของเขา
โดยเฉพาะพวกเหยียนเจิ้นตง หลังจากที่เห็นบาดแผลลึกที่หน้าอกของผู้อาวุโสเป่ยซานแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าแล้วว่าผลของการกระทำนี้มันคุ้มค่าหรือไม่
อย่างไรเสียผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นก็เป็นเหมือนกับเสาค้ำทะเลของตระกูลเหยียน อาการบาดเจ็บของเขานั้นคือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของทั้งตระกูลเหยียน ต่อให้ตระกูลเหยียนได้แก่นภายในของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นมา และปรุงยาจนได้ยาอุษาชาดมาฝึกจนได้ยอดฝีมือจักรพรรดิเทพคนใหม่ก็ตามที แต่ก็ไม่อาจที่จะทดแทนกับการสูญเสียนี้ของตระกูลเหยียนได้
แต่ทว่าเมื่อเรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ต่อให้พวกเขานั้นรู้สึกเสียใจแต่มันก็สายไปเสียแล้ว
“รีบชำแหละเอาแก่นภายในของสัตว์อสูรเพลิงสิ้นออกมา แล้วเอาไปให้ปรมาจารย์ปรุงยาทำยาให้ ส่วนคนอื่นๆก็รีบไปเอายารักษาที่ดีที่สุดในตระกูลเหยียนมาให้ผู้อาวุโสทานเร็ว และทำให้มั่นใจว่าผู้อาวุโสนั้นจะหายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็วที่สุด!”
หลังจากที่เหยียนเจิ้นตงถอนหายใจ เขาก็ได้รีบสั่งการให้คนในระดับสูงของตระกูลเหยียนที่เหลือทันที ซึ่งทำให้ทุกคนในตระกูลเหยียนที่กำลังตกใจก็ได้สติคืนมาทันที
แล้วทั้งตระกูลเหยียนก็ได้เริ่มออกวิ่งอย่างสุดกำลังทันที มีส่วนหนึ่งที่วุ่นวายอยู่กับการปรุงยา และคนส่วนใหญ่ก็ได้พยายามค้นหาวิธีรักษาผู้อาวุโสเป่ยซานอย่างรวดเร็ว เหยียนเจิ้นตงก็ได้ออกคำสั่งปิดปากผู้คนที่มาคอยดูการต่อสู้นี้ทุกคน และสั่งห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้เผยแพร่เรื่องของผู้อาวุโสบาดเจ็บออกไป เพื่อกันไม่ให้มีความเสี่ยงที่คาดไม่ถึงมาสู่ตระกูลเหยียน
เย่เย่เองก็ได้สัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป แต่สายตาของเขาก็ได้มองไปที่ผู้อาวุโสเป่ยซานด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก
จริงๆแล้วแม้แต่ตัวเย่เย่เองก็ไม่รู้สึกตัว หลังจากที่ผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นได้แสดงตัวออกมาว่าตัวเขานั้นไม่ชอบเขาอย่างชัดเจนแล้ว เย่เย่ก็ได้เห็นผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นเป็นภัยกับตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ในหัวของเขานั้นปรากฏภาพที่ผู้อาวุโสเป่ยซานได้รับบาดเจ็บโดยสัตว์อสูรเพลิงสิ้นอยู่หลายหน ในขณะเดียวกันตัวเขาก็ได้รู้สึกตกใจกับความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรเพลิงสิ้น แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงความคิดของคนอื่นรางๆ
รวมถึงเหยียนลี่หยาง ไม่มีใครเลยในตระกูลเหยียนที่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ของเย่เย่
เหตุผลหนึ่งก็เพราะพวกเขานั้นกำลังยุ่งอยู่กับการฟื้นคืนความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเป่ยซาน และอีกเหตุผลหนึ่งคือพวกเขานั้นต่างก็หมดแรงจากงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลที่กำลังจะมาถึง
และเพราะตระกูลเหยียนก็ได้ประกาศเรื่องของงานประลองยุทธ์ประจำตระกูลไปแล้ว และตัวเขาเองก็ได้เชิญเหล่าผู้นำของขุมกำลังต่างๆที่สนิทกับตระกูลเหยียนมาชมงานประลองนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวเขานั้นจะสามารถล้มเลิกงานหรือเลื่อนงานประลองยุทธ์ประจำปีของตระกูลเหยียนออกไปได้
นอกจากนี้ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสเป่ยซานนั้นจะได้รับบาดเจ็บ แต่ตระกูลเหยียนเองก็มียารักษาอยู่มากมาย จึงไม่มีปัญหาอะไรในการฟื้นคืนความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเป่ยซานมาได้ถึง 80% ในระยะเวลาสั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นอูฐผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ด้วยวรยุทธ์ของผู้อาวุโสเป่ยซานที่อยู่ในระดับสูงสุดจักรพรรดิเทพแล้ว ต่อให้ได้รับบาดเจ็บยอดฝีมือระดับจักรพรรดิเทพทั่วๆไปก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นตระกูลเหยียนจึงไม่ได้กังวลว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่องานประลองยุทธ์ประจำตระกูลมากนัก
สองวันให้หลัง ด้วยการร่วมมือกันของตระกูลเหยียน งานประลองยุทธ์ประจำปีของตระกูลเหยียนนั้นก็ได้ถูกจัดขึ้นตามกำหนดการ ที่ลานกว้างในจวนเจ้าเมืองเหยียนเป่ย
ส่วนเรื่องของรางวัล ยาอุษาชาดก็ได้ถูกปรุงขึ้นสำเร็จ และแม้แต่ผู้อาวุโสเป่ยซานที่ได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ก็ได้ฟื้นคืนมาส่วนใหญ่แล้ว ซึ่งเขาก็ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนและคิดที่จะคอยควบคุมดูแลงานประลองยุทธ์นี้ด้วยตัวเอง
นอกจากเหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียนแล้วที่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานประลองยุทธ์แล้ว เหล่าแขกที่ได้รับเชิญและจอมยุทธ์ทั่วไปในเมืองเหยียนเป่ยนั้นก็ได้อยู่ล้อมรอบลานกว้างของจวนเจ้าเมือง ซึ่งทุกคนนั้นต่างก็คาดหวังงานประลองยุทธ์ประจำปีในครั้งนี้ ซึ่งจะเห็นได้จากความกลัวเกรงและความกระตือรือร้นในดวงตาของพวกเขาที่มองไปที่เมืองเป่ยซาน
ซึ่งเย่เย่เองก็ได้อยู่ในบรรดาแขกที่ได้รับเชิญมาโดยตระกูลเหยียน จึงได้อยู่ไม่ไกลจากเวทีในลานกว้างมากนัก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตื่นเต้นเรื่องของรางวัลยาอุษาชาดหรือผู้อาวุโสเป่ยซานเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เขาเองก็ได้คาดหวังอย่างมากกับการชนะเลิศในงานประลองยุทธ์นี้ของเหยียนลี่หยาง ซึ่งหลังจากที่เอาชนะได้ยาอุษาชาดมาแล้ว ตัวเขาก็ได้บรรลุขึ้นเป็นจักรพรรดิเทพได้
ดังนั้นก่อนที่ผู้อาวุโสเป่ยซานจะประกาศเริ่มงานประลองยุทธ์นี้ เย่เย่นั้นก็เหมือนกับแขกคนอื่นๆ ต่างก็พากันกลั้นหายใจและเฝ้ารอให้เปิดงานประลองยุทธ์ประจำปีในครั้งนี้อย่างเป็นทางการ
“ขอยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาร่วมงานประลองยุทธ์ประจำปีของตระกูลเหยียนในครั้งนี้ ซึ่งกฎของงานประลองนี้ก็เหมือนเดิมเช่นเคย ซึ่งก็เป็นไปตามกฎของการดวล และใครที่ชนะเลิศได้ ก็จะได้รับยาอุษาชาดเป็นของรางวัล เอาล่ะเลิกพูดพร่ำทำเพลง ข้าขอประกาศเริ่มงานประลองยุทธ์ประจำปีของตระกูลเหยียนอย่างเป็นทางการได้!”
ผู้อาวุโสเป่ยซานที่มาควบคุมดูแลงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้ด้วยตัว ก็ได้พูดเพียงแค่ไม่กี่คำแล้วจากนั้นก็ประกาศเริ่มงานประลองยุทธ์อย่างเป็นทางการ
ฮือฮา!
แล้วก็ได้มีเสียงโห่ร้องอย่างกระตือรือร้นดังขึ้นมาจากทั่วทั้งลานกว้าง ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความกระตือรือร้นในหัวใจของทุกคนที่ถูกจุดขึ้นมาโดยผู้อาวุโสเป่ยซาน
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะรู้นานแล้วเรื่องที่ว่าของรางวัลของงานประลองยุทธ์ในครั้งนี้เป็นยาอุษาชาด แต่ในเวลานี้เมื่อได้รับการยืนยันจากปากของผู้อาวุโสเป่ยซานเองแล้ว เหล่าผู้มาชมก็ยังเผยให้เห็นซึ่งความอิจฉาบนใบหน้าของพวกเขาอยู่ดี
ภายใต้สายตาจับตามองของเหล่าผู้ชม เหล่ารุ่นเยาว์ของตระกูลเหยียนที่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมงานประลองนี้ก็ได้เดินออกมาจากฝูงชนอย่างช้าๆ พวกเขานั้นเดินนำมาโดยเหยียนเทียนหรานและเหยียนลี่หยางเข้ามาในสนามประลองที่อยู่ตรงกลางลานกว้าง จากนั้นเหยียนเทียนหลานก็ได้เหาะขึ้นมาบนเวทีก่อนใคร แล้วดวงตาของเขาก็ได้มองไปที่รุ่นเยาว์ตระกูลเหยียนคนอื่นๆที่อยู่ด้านล่างของเวทีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการยั่วโมโห
“งานประลองยุทธ์ในปีนี้ก็ยังเป็นโลกของข้าอยู่ดี ถ้าหากพวกเจ้าไม่พอใจ ก็เชิญขึ้นมาบนเวทีเพื่อสู้กับข้าได้เลย!”
กฎของการประลองนั้นคือแชมป์จะต้องยอมรับคำท้าของผู้ท้าชิง ถ้าหากว่าแพ้ก็จะต้องลงจากเวทีทันที แล้วผู้ที่ชนะก็จะกลายเป็นแชมป์คนต่อไป ถ้าหากความแข็งแกร่งของแชมป์นั้นเป็นที่ยอมรับของทุกคนและไม่มีใครกล้าที่จะท้าชิงอีก เมื่อนั้นผู้ที่เป็นแชมป์คนสุดท้ายก็จะกลายเป็นผู้ชนะเลิศงานประลองนี้
กฎนี้ทั้งง่ายและลวกๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ปกติ กฎนี้ก็เพียงพอที่จะใช้คัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเหล่าผู้เยาว์ของตระกูลเหยียน ถ้าหากว่ามียอดฝีมือที่เป็นที่รู้จักคนใดในเหล่าผู้เยาว์ของตระกูลเหยียนที่ไม่คิดที่จะขึ้นไปท้าชิงแล้ว ผู้อาวุโสเป่ยซานที่คอยดูแลการประลองยุทธ์นั้นก็มิสิทธิ์ที่จะตัดสินใจสั่งให้คนคนนั้นขึ้นไปบนเวทีเพื่อต่อสู้ได้ ซึ่งการตัดสินใจนี้จะถูกจัดให้เป็นการต่อสู้ที่พิเศษแยกออกมาทีหลัง
ซึ่งหลังจากที่ผู้อาวุโสเป่ยซานบอกว่าจะให้ยาอุษาชาดเป็นของรางวัลนั้น เหล่ารุ่นเยาว์ในตระกูลเหยียนรวมถึง เหยียนลี่หยางต่างก็มุ่งมั่นที่จะเข้าร่วมประลองยุทธ์ในครั้งนี้ ดังนั้นโอกาสที่จะมีการต่อสู้พิเศษนี้จึงไม่สูงนัก