ระบบเติมเงินข้ามภพ - ตอนที่ 65 งานชุมนุมหลิงหยวน
บทที่ 65
งานชุมนุมหลิงหยวน
เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว แม้ซูฉีเจี่ยจะยังมีความสงสัยอยู่ภายในใจอีกมาก แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมันมากนัก หลังจากที่นั่งลงไป เขาก็โยนยาสลายแผลกายออกและเริ่มสกัดพลังจากยาโดยปราศจากข้อกังขาใดๆ
เพราะซูฉีเจี่ยมั่นใจว่าเย่เย่นั้นไม่คิดจะทำร้ายเขาแน่ๆ เช่นนั้นแล้วเขาจึงเด็ดขาดในการตัดสินใจครั้งนี้ เย่เย่เองก็พยักหน้าให้ด้วยความพึงพอใจและนั่งลงไปข้างๆเพื่อคอยสังเกตสถานการณ์อยู่เงียบๆ
ถึงแม้ว่ายาสลายแผลกายนั้นจะใช้เหรียญจักรวาลมากถึง 502 เหรียญ แต่เมื่อเทียบกับการที่จะได้จ้าววรยุทธ์ฝีมือดีกลับมาคนหนึ่งแล้ว เขาก็คิดว่ามันเป็นราคาที่คุ้มค่าที่จะยอมจ่าย เพราะยังไงเสียซูฉีเจี่ยแต่เดิมก็เคยเป็นถึงผู้มีชื่อเสียงในหลิงเฉิงแห่งนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่อาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายถูกรักษาหายได้ และได้ความสามารถของเขากลับคืนมา เมื่อนั้นก็จะถือว่าการลงทุนในครั้งนี้คุ้มค่า
แต่เดิมแล้วในระบบนั้นมีเหรียญจักรวาลอยู่ 5002 เหรียญ ในตอนนี้มันเหลือ 3800 เหรียญแล้ว เย่เย่ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องประหยัดเงินไว้บ้าง เพราะถึงแม้ว่าหอการค้าหยูเย่จะผ่านจุดที่ยากทรหดมาแล้วก็ตาม รวมไปถึงมีเหรียญทองไหลเวียนมาให้เย่เย่สามารถมีโอกาสเติมเงินเข้าระบบเรื่อยๆ และทำให้เย่เย่สามารถเสริมความแข็งแกร่งของตนเองได้เรื่อยๆโดยที่มีเงินไหลเวียนตลอด แต่ยังไงเสียหากไม่เก็บเงินไว้บ้างเลย อนาคตก็อาจจะเจอปัญหาอีกก็เป็นได้
นอกจากนั้นแล้วเย่เย่ยังวางแผนที่จะนำเหรียญจักรวาลจำนวนมากไปแลกเปลี่ยนเอาของล้ำค่าออกมาเพื่อที่จะขยับขยายตัวหอการค้าแห่งนี้และสร้างชื่อเสียงให้มากกว่าเดิมอีกด้วย เพราะจุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่เพียงแค่ทำให้หอการค้าขนาดเล็กรุ่งเรืองเท่านั้น แต่เขาตั้งใจจะสร้างหอการค้ามหึมาให้ชื่อกระฉ่อนไปทั่วหลิงเฉิงเลย
อีกฟากหนึ่งทางด้านซูฉีเจี่ยที่รู้สึกได้ถึงคลื่นอันเกิดจากยาสลายแผลกายที่กินเข้าไป ขณะที่ตัวเขากำลังกระตุ้นคลื่นพลังชีวิตในตัว มันก็ทำให้เขาตกใจได้ตลอด คลื่นชีวิตที่นำพาพลังอันมาจากเม็ดยานั้นค่อยๆเคลื่อนที่ไปรอบตัวเขา และมันพยายามรักษาบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ภายในมาหลายปี
สิ่งนี้มันเกินกว่าจินตนาการที่ซูฉีเจี่ยวาดฝันไว้จริงๆ มันเป็นพลังที่ไม่คาดฝันมาก่อนเลย แม้การกลั่นพลังชีวิตของเขาจะไม่ได้แย่ลงตามสภาพร่างกาย แต่พลังในการรักษาของยาสลายแผลกายนี่ก็นับว่าเร็วมากๆ ในตอนนี้ เหมือนว่าซูฉีเจี่ยเกือบจะได้พลังที่เคยห่างหายไปนานกลับมาแล้ว
เขาแทบจะเก็บความตื่นเต้นไม่ได้แล้วหลังจากที่ได้ลิ้มลองพลังระดับนี้ หากไม่ใช่ว่าต้องสกัดพลังของยาสลายแผลกายต่อ เขาอาจจะลุกพรวดขึ้นมาแล้วตะโกนก้องด้วยความดีใจไปแล้วก็ได้
ทว่า เขาก็ตระหนักได้ว่าเรื่องนี้มันยังไม่จบ เพราะยาสลายแผลกายนั้นไม่หลงเหลือร่องรอยบาดเจ็บเก่าของเขาเอาไว้เลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นปัญหาคอขวดติดค้างเขามาอยู่หลายปี ไม่คิดเลยจริงๆว่ามันจะแก้ให้หายได้เร็วเช่นนี้หลังเจอกับเย่เย่
ในขณะเดียวกัน เย่เย่ก็คอยเฝ้าระวังคลื่นผันผวนของพลังแห่งโลกและสวรรค์ที่ล่องลอยอยู่รอบๆตัวของอีกฝ่าย ซึ่งตอนนั้นเอง เย่เย่ก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดใจตรงหน้านั้น นั่นก็เพราะต้นกำเนิดความแปรผันของคลื่นพลังแห่งโลกและสวรรค์ไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่คือตัวของซูฉีเจี่ยที่กำลังจะเข้าสู่ระดับเทพยุทธ์อีกครั้งนั่นแหละ
ซูฉีเจี่ยไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยออกไป ในทันทีที่อาการบาดเจ็บหายไปจนหมด เขาก็เริ่มตั้งลมหายใจใหม่ แล้วก็พบว่าลมหายใจของเขามันเสถียรมากขึ้น จากนั้นพลังแห่งโลกและสวรรค์ก็หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขา เพราะเขานั้นต้องทนทุกข์อยู่กับการก้าวข้ามขั้นไม่ได้อยู่นานหลายปี มันเลยทำให้ตัวเขาอยู่ในระดับสุดยอดของจ้าววรยุทธ์มาโดยตลอดเวลา
และเพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 ที่เขากำลังจะก้าวขึ้นเป็นเทพยุทธ์อีกครั้ง ดังนั้นแล้วเขาจึงมีประสบการณ์ในการควบคุมคลื่นพลังที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกาย มันเลยทำให้ความเร็วในการพัฒนาวรยุทธ์ในกายของเขามันเร็วขึ้นเป็นอย่างมาก เร็วชนิดที่จ้าววรยุทธ์คนอื่นเทียบไม่ติดเลย ไหนจะมีเย่เย่คอยคุมคลื่นพลังรอบๆตัวให้เสถียรก่อนจะเข้ามาในร่างกายเขาอีก มันเลยยิ่งทำให้ไม่นานหลังจากฟื้นตัวจากบาดแผล การกลับเป็นเทพยุทธ์ก็อยู่เพียงแค่เอื้อมแล้ว
ไม่นานนักหลังจากที่วรยุทธ์ของซูฉีเจี่ยกลับขึ้นเป็นระดับเทพยุทธ์แล้ว เขาก็ลุกพรวดขึ้นมาและโค้งหัวให้เย่เย่ด้วยความจริงใจ
“ข้าต้องขอขอบพระคุณท่านมากๆจริงๆของรับ! ข้า ซูฉีเจี่ย ผู้นี้ จะจดจำความมีพระคุณของท่านที่ได้ช่วยข้าไว้ในครั้งนี้ไปตลอดชีวิต! ในอนาคต ไม่ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟขนาดไหน ข้าก็จะอุทิศชีวิตนี้เพื่อท่านโดยเฉพาะ!”
เขากล่าวคำสาบานด้วยความกตัญญูต่อหน้าเย่เย่ ซึ่ง เย่เย่ก็ประคองเขาเอาไว้และพูดด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย “ยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้กลับไปเป็นเทพยุทธ์อีกครั้งแล้ว! ไว้เดี๋ยวพลังของเจ้าเสถียรกว่านี้ ข้าจะให้ยาวิเศษเจ้าเพิ่มเพื่อช่วยฝึกฝนให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต เพราะงั้นแล้วตอนนี้กลับไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ!”
ซูฉีเจี่ยพยักหน้าสำนึกบุญคุณก่อนจะถอยออกจากห้องของเย่เย่เพื่อกลับไปทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้หอการค้า หยูเย่ดังเดิม
“เอาล่ะ คราวนี้ก็มาเตรียมตัวสำหรับงานชุมนุม หลิงหยวนต่อ!”
เหตุผลที่เย่เย่เลือกที่จะช่วยซูฉีเจี่ยตอนนี้ก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้ใครก็ตามย่างกรายเข้ามาภายในที่ของเขาได้ในช่วงที่กำลังมีงานชุมนุมหลิงหยวน นอกจากนั้นแล้ว ในตอนนี้ซูฉีเจี่ยยังสวมเกราะเหล็กดำอยู่ด้วย ดังนั้นเย่เย่จึงมั่นใจว่าเทพยุทธ์ที่มีฝีมืออย่างซูฉีเจี่ยและเกราะเหล็กดำนั้นจะไม่ทำให้เขาต้องกังวลในยามที่ไม่อยู่หอการค้าแน่ๆ
งานชุมนุมหลิงหยวนที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆนี้ เย่เย่ไม่ได้วางแผนที่จะเข้าร่วมงานเพื่อดักทางศิษย์ของปราการหลิงหยวนเท่านั้น แต่ทั้งนี้เขายังตั้งใจที่จะทำให้ชื่อเสียงของหอการค้าหยูเย่แพร่กระจายออกไปอีกด้วย
ถึงแม้ว่าสถานการณ์ภายในหอการค้าหยูเย่นั้นจะถือว่าดีกว่าหอการค้าขนาดเล็กแห่งอื่นๆก็จริง แต่มันก็ยังมีช่องว่างอีกมากที่อยู่ระหว่างเขาและหอการค้าขนาดกลางและใหญ่ อย่างน้อยๆการออกงานครั้งนี้ เขาก็ขอให้มีคนในหลิงเฉิงรู้จักหอการค้าหยูเย่เพิ่มขึ้นอีกสักนิดสักหน่อยก็ยังดี
เย่เย่มองว่าถ้าสามารถชนะในงานชุมนุมหลิงหยวนได้ เขาก็จะได้ของล้ำค่ามาเก็บไว้ในหอการค้าหยูเย่ แบบนี้มันก็จะยิ่งทำให้ชื่อเสียงของหอการค้าแพร่สะพัดไปไกลกว่าเดิม เพราะเหตุนี้ก่อนที่งานชุมนุมหลิงหยวนจะเริ่ม เย่เย่จึงแลกเอาอาวุธและอุปกรณ์บางอย่างมาเก็บไว้ในกล่องที่ห้องของเขาก่อนและกลับไปฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธต่อ
เมื่อวันงานชุมนุมหลิงหยวนถูกจัดขึ้น เย่เย่ก็ฝึกฝนฝ่ามือคลื่นพิโรธระดับสูงสำเร็จ เขาขอให้เสี่ยวหยูส่งใครสักคนมาแบกกล่องในห้องของเขาไปยังใจกลางเมืองหลิงเฉิงกับเขาด้วย ซึ่งเขาก็ได้กลุ่มคนมีพละกำลังมากมายกลุ่มหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าคนของตระกูลใหญ่ๆมาช่วยแบกของไปยังยังงานชุมนุมหลิงหยวนในวันนี้
“นายน้อยเจ้าคะ อะไรอยู่ในกล่องงั้นเหรอ?”
เพราะเย่เย่ไม่ได้บอกกล่าวเสี่ยวหยูมากนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นแล้วนางจึงค่อนข้างสงสัยมากๆเลยว่าเย่เย่นั้นขนสิ่งใดมาด้วย ไม่เพียงแค่นางเท่านั้น เพราะแม้แต่เหล่าคนที่แบกกล่องนี้ให้เย่เย่เองก็ยังสงสัยเลยว่าเย่เย่จะตอบอะไร
“ไม่ต้องห่วง ไว้พวกเจ้าจะได้รู้เองในภายหลัง”
เย่เย่ผลิยิ้มที่ดูลึกลับขึ้นมาบนใบหน้า เขาเดินนำกลุ่มคนเหล่านี้และรีบตรงไปยังสถานที่จัดงานชุมนุมหลิงหยวนอย่างไม่รอช้า
สถานที่จัดงานชุมนุมหลิงหยวนนั้นคือบริเวณกลางเมืองหลิงเฉิง ที่เป็นจัตรัสขนาดใหญ่
ถึงผู้ที่จัดการงานนี้หลักๆจะเป็นคนจากปราการ หลิงหยวน แต่เหล่ากรรมการทั้งหลายในงานประลองนั้นจะเป็นเหล่าเทพยุทธ์และจ้าววรยุทธ์ที่เป็นที่นับหน้าถือตาจากภายใน หลิงเฉิง ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันข้อครหาที่พาดพิงถึงความไม่ยุติธรรมอันอาจจะเกิดจากการให้ศิษย์ในปราการหลิงหยวนมาเป็นผู้ตัดสินได้
เมื่อเย่เย่มาถึงพร้อมกับเสี่ยวหยูและคนอื่นๆ ณ ที่จัดงานนั้นก็มีผู้คนอยู่แล้วมากมายนับไม่ถ้วนจนที่แห่งนั้นดูมีชีวิตชีวาแบบสุดๆ บางคนก็เป็นผู้เข้าประลอง แต่คนส่วนใหญ่ที่มานั้นล้วนแต่เป็นผู้ชมเสียมากกว่า
จัตุรัสแห่งนี้มีเวทีประลองอยู่มากมายถูกจัดเตรียมเอาไว้และแตะละสนามประลองก็มีกรรมการนั่งประจำอยู่ที่ด้านข้างคอยชมการแข่งขันอยู่แล้ว เห็นดังนั้นเย่เย่จึงเดินไปลงทะเบียนเข้างานเช่นเดียวกับคนอื่นๆ การแข่งขันจะเป็นแบบผู้ชนะก็ได้เข้าสู่รอบถัดไปเรื่อยๆ
งานชุมนุมหลิงหยวนนี้จะแบ่งผู้เข้าร่วมการประลองออกเป็นรอบแรกและรอบสุดท้าย โดยในส่วนของรอบแรกนั้นจะแบ่งออกเป็นอีก 3 รอบย่อย ซึ่งในวันนี้ถือเป็นการประลองครั้งแรก
หลังจากที่มองป้ายประกาศภายในสถานที่จัดงานแล้ว เย่เย่ก็พบว่าเขานั้นต้องแข่งถึง 5 รอบในวันนี้เลย แถมคู่ต่อสู้ของเขาเองต่างก็ล้วนเป็นเหล่าคนมีชื่อเสียงในงานชุมนุมนี้กันทั้งหมดเลยด้วย
“โฮ่ ไม่คาดคิดเลยแฮะ”
ถึงแม้ว่าเหล่ากรรมการที่มาคอยตัดสินการประลองแต่ละรอบในงานชุมนุมหลิงหยวนนั้นจะไม่ได้มาจากปราการ หลิงหยวนก็จริง แต่การจัดคู่ต่อสู้ในแต่ละรอบก็ยังเป็นฝีมือของปราการหลิงหยวนอยู่ดี
การที่คู่ต่อสู้ทั้ง 5 คนในรอบแรกของเย่เย่นั้นมีแต่คนที่มีชื่อเสียงนั้น มันแสดงให้เห็นว่าพวกปราการหลิงหยวนนั้นคอยจับตามองเย่เย่อยู่ตลอดและต้องการที่จะกำจัดเขาไปตั้งแต่รอบแรกของการประลองเลย
กระนั้นเย่เย่ที่เตรียมตัวสำหรับวันนี้มาอย่างดีก็ไม่ได้เกรงกลัวคู่ต่อสู้ตามที่อีกฝ่ายหวังไว้เลย เขาไม่ได้ต้องการเป็นผู้ชนะในการประลองในวันนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จุดประสงค์หลักๆนั้นก็แค่เพื่อขัดขวางศิษย์จากปราการหลิงหยวนและปั่นป่วนไม่ให้งานนี้จบลงด้วยดีเฉยๆ บางทีพวกปราการหลิงหยวนเองก็อาจจะเดาจุดประสงค์ของเย่เย่ออกก็ได้ เพราะงั้นภายใน 5 คนที่อยู่ในรอบแรกนี้จึงไม่มีศิษย์ของปราการหลิงหยวนโผล่มาเป็นคู่ต่อสู้เลย
*โหม่ง!*
ท่ามกลางความวุ่นวายและเอะอะของสถานที่จัดงาน เสียงฆ้องก็ดังขึ้นทำให้ทุกๆคนสงบลง
ชายชราในชุดจีนสีเขียวคนหนึ่งปรากฏขึ้น ณ สนามประลองกลาง เขาเป็นตัวแทนของเหล่าคณะกรรมการที่มาทำหน้าที่ในงานชุมนุมหลิงหยวนครั้งนี้ รวมถึงยังเป็นหัวหน้าของเหล่ากรรมการทุกคนอีกด้วย ชายชราผู้นี้เริ่มจากการพูดถึงกฎต่างๆให้ฟังก่อนจะเริ่มประกาศรายการประลองของแต่ละเวที
ยามที่ชื่อของเหล่าผู้มีชื่อเสียงแห่งหลิงเฉิง เสียงหวีดร้องแสดงความตื่นเต้นก็ดังขึ้นมาจากรอบสนามจนภาพที่เคยสงบนั้นกลับมาดูวายป่วงอีกครั้งหนึ่ง
ครั้นเมื่อถึงคราวประกาศชื่อของเย่เย่ ถึงแม้ตัวเขาจะได้รับเสียงโห่ร้องยินดีมาจากทางฝั่งที่สนับสนุนเขา แต่ถ้าเทียบกับคนอื่นที่มาจาก 5 ฝ่ายใหญ่ก็ถือว่าน้อยมากๆ
“รอบแรกของสนามประลองที่ 5 เย่เย่ ปะทะ หงกวงเต๋า!”
หลังจากที่ชายชราคนเดิมนั้นประกาศทุกอย่างที่จำเป็นเสร็จแล้ว เขาก็เริ่มประกาศคู่ประลองของแต่ละสนามตามที่ได้เขียนไว้ในใบประกาศ เมื่อเขาอ่านชื่อคู่ประลองของเย่เย่และคนอื่นๆ เสียงจุกจิกก็ดังขึ้นมาจากทางเหล่าคนดูที่เริ่มจะคาดหวังกับการงานชุมนุมหลิงหยวนครั้งนี้แล้วว่าจะต้องสนุกอย่างแน่นอน
เพราะหงกวงเต๋านั้นถือเป็นศิษย์ชื่อดังมาจากประตูเพลิงสวรรค์ นอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่บอกว่าจะสั่งสอนบทเรียนให้แก่เย่เย่มาพักใหญ่ๆแล้วด้วย เมื่อเทียบกันแล้วกับเย่เย่ที่เพิ่งจะเริ่มมามีชื่อเสียงในหลิงเฉิงภายหลัง หงกวงเต๋านั้นดูจะมีอิทธิพลกับหลิงเฉิงมากกว่าอีกระดับหนึ่ง ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่มีข้อกังขาเลย โดยเฉพาะในสายตาของผู้ที่ไม่ได้รู้รายละเอียดฝั่งเย่เย่ พวกเขามองว่าการประลองรอบนี้นั้นชัยชนะอยู่ในมือหงกวงเต๋าตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเริ่มการประลองรอบแรก ผู้เข้าประลองทั้งสองก็เดินขึ้นเวที ซึ่งเย่เย่นั้นก็ยังรู้สึกอยู่ตลอดว่าพวกปราการหลิงหยวนนั้นไม่ได้ซ่อนท่าทีที่มีต่อเย่เย่แต่อย่างไร กระนั้นแล้วเย่เย่ก็ยังคงเผยรอยยิ้มน้อยๆราวกับว่าไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะใช้กลยุทธ์ไหนมาสยบเขา
“นายน้อย สู้เขานะเจ้าคะ!”
เสียงให้กำลังใจของเสี่ยวหยูดังขึ้นมาจากข้างสนามประลองพร้อมกับโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้นให้กับเย่เย่ผู้ที่กำลังเดินขึ้นสนามประลองไป สีหน้าของนางนั้นดูเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจแบบสุดๆ
เย่เย่โบกมือให้นางเพื่อบอกนางว่าไว้ใจตนได้เลยก่อนจะหันกลับไปมองยังชายอีกคนที่เดินขึ้นมาจากอีกฝั่งของสนามประลอง
“เจ้าคือเย่เย่สินะ? ผู้ที่เคยขับไล่น้องชายของข้าอย่างเซียงเฉิงหลงออกจากบ้านเมื่อหลายวันก่อนใช่หรือเปล่า?”
ชายผู้มีนามว่าหงกวงเต๋านั้นคือชายที่มีอายุราวๆ 27-28 ปี หลังจากที่เขาเดินขึ้นมาบนเวทีประลองแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วมองเย่เย่และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยั่วยุกลายๆ
“หมอนั่นเว้าวอนเองนี่ ถ้าเจ้าอยากล้างแค้นให้เขาวันหลังก็มาด้วยกันเลยก็ได้นะ!”
เย่เย่รู้ว่าหงกวงเต๋านั้นเป็นคนมีชื่อเสียงจากประตูเพลิงสวรรค์ เขาและสำนักแห่งนี้เพิ่งจะกลายเป็นศัตรูกันก่อนงานชุมนุมหลิงหยวนเริ่มไม่กี่วันนี้เอง กระนั้นแล้วแววตาของเย่เย่ก็ยังไร้ซึ่งความหวาดกลัว แม้วรยุทธ์ของหงกวงตงนั้นจะอยู่ในระดับสุดยอดของเทพยุทธ์แล้วก็ตาม
“ข้าไม่สนว่าน้องชายของข้าจะทำอะไรลงไป แต่ในเมื่อเขาเป็นตัวแทนของประตูเพลิงสวรรค์ ถ้าหากเจ้าไม่ใจร้อนและลงมือทำอะไรเขา เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้! เพราะฉะนั้นข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าเองวันนี้ ให้มันรู้ซะบ้างว่าอย่าได้ดูหมิ่น 5 ฝ่ายใหญ่แห่งหลิงเฉิง!”
หงกวงเต๋านั้นได้ยินเรื่องของเย่เย่มาอย่างยาวนาน เขารู้ด้วยว่าเย่เย่นั้นเคยเอาชนะจินหยูและหลินหยูฉีได้แถมยังฆ่าหลินหยูฉีต่อหน้าจินหยูอีกด้วย
อย่างไรก็ตามหงกวงเต๋านั้นได้เข้าสู่ระดับสุดยอดของเทพยุทธ์มานานกว่าจินหยู เขาจึงเชื่อว่าความแข็งแกร่งของจินหยูนั้นไม่สามารถเทียบเขาติดได้แน่ๆ เพราะงั้นเขาจึงไม่เกรงกลัวอะไรในเย่เย่ทั้งนั้น