ระบบเติมเงินข้ามภพ - ตอนที่ 258 ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก
บทที่ 258
ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก
ดวงตาของเหยียนลี่หยางนั้นเยือกเย็นและน้ำเสียงของเขาก็หนักแน่น ราวกับว่าเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว
ในฐานะผู้สืบทอดอารามวิถีสวรรค์แล้ว เหยียนลี่หยางนั้นผ่านประสบการณ์ที่หมดหนทางและความตายมาแล้วมากมาย ที่เขายังสามารถมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ได้ก็เพราะการเสียสละที่เขาต้องยอมเสียไปจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งเหยียนลี่หยางนั้นไม่เคยที่จะหยุดก้าวเดินเลย
แต่เย่เย่นั้นต่างออกไป เพราะตัวเขานั้นไม่เคยคิดว่ากองทัพอี้เหรินนั้นเป็นลูกน้องของเขาเลย และตัวเขาก็รู้สึกซาบซึ้งในการช่วยเหลือของกองทัพอี้เหรินหลายต่อหลายหน เมื่อกองทัพอี้เหรินนั้นตกอยู่ในความลำบาก เย่เย่ก็คิดว่ามันถึงคราวของเขาแล้วที่จะต้องช่วยเหลือพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นซูเหลียนหยูนั้นก็ยังถูกลากเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่วนตัวหรือส่วนรวม เย่เย่ก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาตายได้
“ต่อให้พวกเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ข้าก็ไม่อาจละทิ้งพวกเขาได้! เมื่อใดที่ข้าพบว่าไป๋ซีกับคนอื่นๆนั้นมาถึงเมืองหลวง ข้าจะหาทางช่วยพวกเขาให้ได้!”
เย่เย่นั้นไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเหยียนลี่หยาง ต่อให้เหยียนลี่หยางนั้นไม่ร่วมมือกับเขา เย่เย่ก็จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยไป๋ซีกับซูเหลียนหยูให้ได้
เมื่อเห็นว่าเย่เย่นั้นดื้อรั้น เหยียนลี่หยางก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวดขึ้นมา
เขากล่าวกับเย่เย่ด้วยความรู้สึกชิงชังเล็กน้อย “อย่างไหนที่เสียสละมากกว่ากันแน่หากเทียบกับการละทิ้งโอกาสที่จะได้โค่นล้มทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว? หรือในใจของเจ้า เห็นแก่ความรักสมัยเด็กของเจ้าสำคัญกว่าทุกสิ่งกัน?”
เมื่อเย่เย่ได้ยินที่เหยียนลี่หยางกล่าว ก็หาได้มีความอับอายบนใบหน้าของเขาไม่ กลับกันเขาได้จ้องไปที่เหยียนลี่หยางอย่างเคร่งขรึมและตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “การโค่นล้มทัณฑ์สวรรค์นั้นมันอยู่ในใจข้าและมันก็เพื่อสนองความต้องการของข้าด้วย! ข้าไม่คิดหรอกว่าการกระทำของข้านั้นจะต้องให้คนอื่นมาเข้าใจ ดังนั้นในใจของข้านั้นไม่มีความแตกต่างระหว่างส่วนรวมและส่วนตัวอยู่แล้ว”
เหยียนลี่หยางก็ได้ตกใจไปชั่วขณะหนึ่ง และตัวของเขาก็ได้ตกอยู่ในความเงียบ เขาไม่ได้โต้แย้งอะไรเย่เย่อีกราวกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดของเย่เย่
เย่เย่นั้นก็ไม่ได้สนใจเขาอีกและออกไปจากหอใบหยกเพื่อไปยังตำหนักเสียงสวรรค์ เขาคิดที่จะไปขอให้เซี่ยงเฟยหลินนั้นใช้พลังทั้งหมดของตำหนักเสียงสวรรค์นั้นช่วยเขาตามสืบหาที่อยู่ของไป๋ซีและซูเหลียนหยูให้ที หากว่าพวกเขามาที่เมืองหลวงเย่เย่ก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยพวกเขา
ส่วนเรื่องของประกาศสงครามของ 6 สำนักใหญ่นั้น เย่เย่นั้นยังไม่สามารถคิดหาหนทางใดๆได้เลยในขณะนี้ เขาทำได้แค่ขอให้เสวี่ยหยูช่วยไปเตือนสวี่ซือเจี๋ยและคนอื่นๆให้เตรียมตัวให้พร้อม ถ้าหากจี้เชียนเหยี่ยนั้นคิดที่จะถล่มหลิงเฉิงใน 1 เดือนหลังจากนี้จริง เย่เย่คงทำได้เพียงสู้กับพวกเขาอย่างสุดความสามารถเท่านั้น
อีกทางด้านหนึ่ง ผลจากการประกาศสงครามของ จี้เชียนเหยี่ยนั้นก็ได้ทำให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงในแผ่นดินชางหลาง ผู้คนในเมืองหลิงเฉิงนั้นต่างก็ตกอยู่ในความกลัว มีบางคนที่เริ่มจัดเก็บข้าวของเตรียมอพยพออกไปจากเมืองเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกลากไปยุ่งเกี่ยวกับศึกในอีก 1 เดือนหลังจากนี้
แต่ทว่าเหล่าสมาชิกของหอการค้าใบหยกนั้นกลับยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ เพราะการที่เย่เย่สังหารเหยียนซ่งเจ้าสำนักอารามชิงหมิงไม่นานมานี้นั้น ทำให้พวกเขาไม่หวาดกลัวราชันย์เทพนักในตอนแรก
แต่ทว่าก็ยังมีสมาชิกของหอการค้าบางคนที่ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มหาศาลได้อยู่ คนพวกนี้นั้นเป็นพวกที่มีสติมากกว่าสมาชิกคนอื่นๆของหอการค้า พวกเขานั้นรู้ดีว่าถึงแม้หอการค้าใบหยกในปัจจุบันนั้นจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ก็ยังเปล่าประโยชน์ที่จะไปเทียบกับ 6 สำนักใหญ่ได้อยู่ดี หากพลังยุทธ์ของเย่เย่นั้นไม่สูงขึ้นไปอีก หอการค้าใบหยกนั้นคงไม่อาจที่จะต่อต้าน จี้เชียนเหยี่ยเพียงคนเดียวได้ ยิ่งเป็น 6 สำนักใหญ่มาพร้อมกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง
สวี่ซือเจี๋ย, เจิ้งซวี่และคนอื่นๆเมื่อได้รับจดหมายจากเสวี่ยหยูแล้ว ก็ได้พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาความมั่นคงของกองกำลังและรอการกลับมาของเย่เย่ แต่ในขณะที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆนั้นความไม่สบายใจในหอการค้าใบหยกนั้นก็ได้ค่อยๆแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ แม้แต่สวี่ซือเจี๋ยกับเจิ้งซวี่นั้นก็ไม่อาจที่จะควบคุมได้
พวกเฉินเซียนทั้ง 5 คนที่หายไปจากหอการค้าใบหยกเงียบๆนั้นตอนแรกที่ได้ทราบข่าวว่าเย่เย่นั้นสังหารเหยียนซ่งได้ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงสำนักดาราเที่ยงธรรม พวกเขาเองก็ได้หยุดการเดินทางชั่วคราวด้วยความยินดี และไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะเดินทางเพื่อไปท้าสู้กับจั่วซิ่วที่สำนักดาราเที่ยงธรรมกันต่อดีหรือไม่
ซึ่งลี่เฉียนเฟิงนั้นคิดว่านี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่พวกเขาทั้ง 5 คนจะได้ออกมา ต่อให้พวกเขาไม่ไปที่สำนักดาราเที่ยงธรรม พวกเขาก็ควรที่จะใช้โอกาสนี้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตัดสินใจเดินทางไปรอบๆ พรมแดนระหว่างหอการค้าใบหยกและสำนักดาราเที่ยงธรรม และใช้ทุกโอกาสในการพัฒนาความสามารถในการต่อสู้จริงของพวกเขา
และในขณะที่ทั้ง 5 คนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มากพอและคิดที่จะกลับหลิงเฉินนั้นเอง 6 สำนักใหญ่ก็ได้ประกาศทำสงครามกับหอการค้าใบหยก และทำให้เหล่าสหายในหอการค้าของพวกเขาต้องรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้ง 5 คนจึงได้หันหน้ามามองกันเองและตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปที่สำนักดาราเที่ยงธรรมกันต่ออย่างไม่ลังเล และตัดสินใจที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเพิ่มพูดความแข็งแกร่งของหอการค้าใบหยก
สองวันต่อมา ชายหญิงทั้ง 5 คนก็ได้มาถึงหน้าประตูสำนักดาราเที่ยงธรรม!
และการต่อสู้ก็ได้อุบัติขึ้นทันที!
และในขณะเดียวกันกับที่เฉินเซียนกับพรรคพวกกำลังถล่มสำนักดาราเที่ยงธรรมนั้น แม่นางมู่หรงกับคนอื่นๆที่อยู่ไกลออกไปถึงนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้นก็กำลังตกอยู่ภายใต้การขัดแย้งที่รุนแรง
“ท่านผู้นำ ผู้ส่งสารของจ้าวฉินนั้นก็ได้มาหาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ก็น่าจะเพียงพอที่จะเห็นถึงความจริงใจของเขาแล้ว ถ้าหากสำนักลำนำแห่งขุนเขาของเราไม่ใช้โอกาสนี้แล่นเรือทวนน้ำแล้วล่ะก็ พวกเราคงได้หายไปจากแผ่นดินชางหลางไปตลอดกาลเป็นแน่!”
ณ ห้องโถงใหญ่ของนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้น ลั่วเฟิงเฉิงก็ได้มองมาที่ผู้นำเมิ่งเทียนฉี่อย่างเอาจริงเอาจัง และหวังให้เขานั้นยอมตกลงกับคำเชิญชวนของจ้าวฉินในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักของนิกายลำนำแห่งขุนเขาเพื่อช่วยให้จ้าวฉินได้ขึ้นครองบัลลังก์
เพราะแม้ว่าฮ่องเต้คนปัจจุบันนั้นจะไม่สืบสาวเอาเรื่องพวกเขาในอดีตที่สนับสนุนขั้วตรงข้ามของเขา แต่เขาก็ไม่ปล่อยให้นิกายลำนำแห่งขุนเขาของพวกเขานั้นได้ผงาดขึ้นมาอีกหนแน่ โดยเฉพาะตอนที่หวงจิ้งเฟิงที่หนีการไล่ล่าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมาได้นั้นก็ได้มาเข้าร่วมอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจ้าวฉินด้วยแล้ว ลั่วเฟิงเฉินจึงได้มองเห็นโอกาสและไม่คิดที่จะยอมนั่งอยู่เฉยๆจนตายอีกต่อไป และลุกขึ้นมาเร่งเร้าให้เมิ่งเทียนฉี่นั้นเข้าร่วมกับจ้าวฉินเพื่อโค่นล้มบังลังก์
แต่ทว่านับตั้งแต่ก่อตั้งมา นิกายลำนำแห่งขุนเขานั้นได้ยึดถือการรักษาความสงบสุขของแผ่นดินเป็นหน้าที่ของพวกเขามาโดยตลอด และไม่เคยที่จะลงมือทำอะไรที่เป็นการขัดต่อพระราชสำนักเลย ดังนั้นเมิ่งเทียนฉี่นั้นจึงลังเลอย่างมาก
ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงเมิ่งเทียนฉี่ แต่ยังรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสของนิกายลำนำแห่งขุนเขาที่เป็นพวกหัวโบราณนั้นรู้สึกรังเกียจข้อเสนอของลั่วเฟิงเฉินอย่างมาก
“ลั่วเฟิงเฉินเจ้าคิดที่จะผลักนิกายลำนำแห่งขุนเขาของเราตกลงสู่เหวแห่งการทำลายหรือยังไง? เหตุผลที่ว่าทำไมนิกายลำนำแห่งขุนเขาของเรานั้นสามารถคงอยู่มาได้อย่างยาวนานนั้นก็เพราะนิกายของเรานั้นคอยทำหน้าที่รักษาความสงบสุขของแผ่นดินมาโดยตลอดและไม่เคยไปเข้าร่วมกับการขัดแย้งใดๆ เพราะถ้าหากพวกเราทำลงไปจริงๆพวกเราคงได้ถูกกล่าวหาว่าไม่น่าเชื่อถือและลำเอียงเป็นแน่ เจ้าคิดที่จะทำให้นิกายลำนำแห่งขุนเขาของเราต้องแปดเปื้อนหรืออย่างไร?”
ผู้อาวุโสหัวโบราณคนหนึ่งเมื่อได้ยินข้อเสนอของ ลั่วเฟิงเฉินแล้วก็ได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปที่เขาและพูดอย่างรุนแรง
พวกเขาถือว่าชื่อเสียงของนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งนั้น และพวกเขาจึงได้พยายามป้องกันไม่ให้เมิ่งเทียนฉี่นั้นยอมตกลงตามข้อเสนอของจ้าวฉิน
แม่นางมู่หรงนั้นก็ได้มองดูอย่างกระวนกระวายใจ แต่นางนั้นไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรที่จะพูดอะไรออกไปได้ ถึงแม้ว่านางนั้นจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของลั่วเฟิงเฉินมากก็ตามที และแม่นางมู่หรงเองก็รู้ดีว่าท่านอาจารย์ของนางเมิ่งเทียนฉี่นั้นก็เป็นพวกอนุรักษนิยมเช่นกัน นางจึงไม่รู้ว่าจะจะเกลี้ยกล่อมอาจารย์ของนางเช่นไรดีเหมือนกัน
และอย่างที่ผู้อาวุโสหัวโบราณคนนั้นกล่าว ถ้าหากนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้นเข้าร่วมกับจ้าวฉินและตัดสินใจที่จะโค่นล้มฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจริงๆ ชื่อเสียงของนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้นคงได้ถูกทำลายโดยไม่ว่าผลที่ตามมานั้นจะเป็นเช่นไรอย่างแน่นอน และนี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เมิ่งเทียนฉี่อยากจะเห็นด้วย
มู่หรงนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าหากนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้นไม่ทำอะไรเลย ในอนาคตพวกเขาไม่เพียงแต่จะตกต่ำแล้ว แต่ยังกลายเป็นชิ้นปลาบนเขียงของคนอื่นโดยไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายอีกด้วย มู่หรงนั้นเชื่อว่ามีเพียงแต่พวกเขาต้องแข็งแกร่งขึ้นมาเท่านั้นพวกเขาจึงจะมีความสามารถเพียงพอที่จะทำตามความคิดของตัวเองได้สำเร็จ ถ้าหากควบคุมความเป็นความตายด้วยพลังของตัวเองไม่ได้แล้ว จะมีชื่อเสียงมากขนาดไหนในแผ่นดินชางหลางก็เปล่าประโยชน์
แล้วทั้งสองฝ่ายก็ได้โต้เถียงกันอย่างต่อเนื่อง และ เมิ่งเทียนฉี่ที่นั่งอยู่ตรงกลางของห้องโถงใหญ่นั้นก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้ การที่เขาสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำของนิกายได้นั้น เพราะตัวเขานั้นสามารถมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ซึ่งตัวเมิ่งเทียนฉี่นั้นก็ไม่อยากที่จะให้ชื่อเสียงของนิกายนั้นต้องมาพังทลายด้วยน้ำมือของเขา ตัวเขาจึงไม่สามารถที่จะให้คำตอบกับจ้าวฉินอย่างชัดเจนได้
ในขณะที่พวกเขากำลังโต้เถียงกันเรื่องของอนาคตนิกายลำนำแห่งขุนเขากันอยู่นั้น จู่ๆก็ได้มีแขกไม่รับเชิญจำนวนหนึ่งร่อนลงมาจากท้องฟ้าแล้วเดินวางท่าใหญ่โตมาหาพวกเขา
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? ถึงได้กล้าบุกรุกเข้ามาในเขตของนิกายลำนำแห่งขุนเขา!”
ถึงแม้ว่าจะมีอาคมป้องกันภูผาของนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้นจะไม่ได้เปิดใช้งาน แต่การที่คนเหล่านี้สามารถเล็ดลอดการคุ้มกันที่วางเอาไว้หน้าทางเข้านิกายมาได้แสดงให้เห็นพลังยุทธ์ของคนเหล่านี้ไม่ธรรมดา มู่หรงจึงได้รีบเรียกลูกศิษย์ของนิกายให้มาคอยคุ้มกันเมิ่งเทียนฉี่หลังจากที่ตะโกนถามพวกเขา
“ท่านคือเมิ่งเทียนฉี่ ผู้นำนิกายลำนำแห่งขุนเขาสินะ? พวกเราคือลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์หงส์เพลิง หลังจากการตกลงกันระหว่าง 6 สำนักใหญ่กับราชวงศ์ชางหลางแล้ว อนาคตของนิกายลำนำแห่งขุนเขาจะต้องตกเป็นของพวกเราสำนักยุทธ์หงส์เพลิง ในเวลานี้พวกท่านออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษข้าที่ไม่สุภาพก็แล้วกัน!”
ชายคนที่เป็นหัวหน้านั้นไว้หนวดทรงกางปีกนกและมีใบหน้าที่อำมหิตนัก ก็ได้ปลดปล่อยพลังกดดันในระดับจอมเทพขั้นสุดของเขาออกมาทันทีหลังจากที่ประกาศให้คนของนิกายลำนำแห่งขุนเขาได้รับรู้
ด้านหลังเขายังมียอดยุทธ์อีก 3 คนที่อยู่ในระดับจอมเทพขั้นสุดก็ได้ปลดปล่อยพลังกดดันออกมาเช่นกันและได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่ของนิกาย
ในบรรดาคนที่อยู่ในนิกายลำนำแห่งขุนเขานั้น นอกจากเมิ่งเทียนฉี่แล้วสีหน้าของทุกคนก็ได้เปลี่ยนไปทันที และร่างกายของพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะยืนตรงๆ ได้ ซึ่งนอกจากความโกรธแล้วก็ยังแสดงออกถึงความไร้พลังในดวงตาของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะต่อต้านอีกฝ่ายได้เลย
“บ้าจริง! ทำไม 6 สำนักใหญ่กับราชวงศ์ชางหลางถึงได้ตัดสินใจเรื่องของเจ้าของบ่อแห่งการจุติใหม่กันเองเช่นนี้? ไม่มีใครที่สามารถเอาสมบัติของนิกายลำนำแห่งขุนเขาของพวกเราไปไม่ได้ทั้งนั้น!”
ก่อนหน้านี้ก็มี 7บุรุษแห่งชางหลางที่ร่วมมือกันมาโจมตีนิกายลำนำแห่งขุนเขาเพื่อที่จะชิงเอาสถานที่ที่สำคัญที่สุดที่นิกายอาศัยอยู่ไป ถึงแม้ว่าหลังจากการปรากฏตัวของเจ้าสำนักของอารามวิถีสวรรค์จะกลายเป็นที่สนใจของ 8 สำนักใหญ่เดิมและราชวงศ์ชางหลางก็ตามที แต่ทว่าพวกเขาก็ยังไม่ลืมเรื่องของบ่อแห่งการจุติใหม่ของนิกายอยู่ดี
ดังนั้นในตอนที่จี้เชียนเหยี่ยขอสิ่งของจากราชวงศ์ชางหลางนั้นจึงได้เน้นย้ำเรื่องของบ่อแห่งการจุติใหม่เป็นข้อต่อรองของเขา และตั้งใจที่จะเป็นเจ้าของคนใหม่ของบ่อแห่งการจุติใหม่นี้ ซึ่งหลังจากที่ทางราชวงศ์ชางหลางยอมตัดสินใจทำตามคำขอของจี้เชียนเหยี่ยแล้ว ตอนนี้บ่อแห่งการจุติใหม่ก็ได้ตกเป็นของสำนักยุทธ์หงส์เพลิงแล้ว โดยไม่มีใครที่สนความคิดเห็นของนิกายลำนำแห่งขุนเขาเลย
นี่คือความเป็นจริงที่โหดร้ายของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ถึงเมิ่งเทียนฉี่กับคนอื่นๆจะไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่อาจที่จะขัดขืนได้เลย!
“ด้วยการร่วมมือของพวกข้าแค่ 4 คน พวกเจ้านิกายลำนำแห่งขุนเขาก็ไม่อาจต้านทานได้แล้ว! ในเวลานี้เห็นแก่หน้าพวกท่านข้าจะปล่อยไป แต่ถ้าหากทำให้พวกข้าโมโหขึ้นมาเมื่อไร ก็อย่าได้หวังว่าจะรอดไปจากที่นี่เลย!”
ชายที่มีหนวดทรงกางปีกนกนั้นก็ไม่ได้เห็นท่าทีของ เมิ่งเทียนฉี่อยู่ในสายตาของเขาเลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ยังมี 6 สำนักใหญ่หนุนหลังพวกเขาเลย ลำพังพวกเขาที่เป็นยอดยุทธ์ระดับจอมเทพ 4 คนก็สามารถทำให้นิกายลำนำแห่งขุนเขาราบเป็นหน้ากลองได้แล้ว ท่าทีของชายผู้ไว้หนวดทรงกางปีกนกนั้นจึงได้แข็งกร้าวกว่าเมิ่งเทียนฉี่มาก หลังจากที่พูดจบเขาก็ได้เดินหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่เมิ่งเทียนฉี่กับคนอื่นๆด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก