ระบบเติมเงินข้ามภพ - ตอนที่ 252 ท้าดวล
บทที่ 242 ท้าดวล
เหมือนกับจะเข้าใจในสิ่งที่ไป๋จ้านอวิ๋นต้องการจะสื่อ ไป๋ซีก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆหลังจากที่เช็ดน้ำตา
ราวกับถูกปลุกใจ ดวงตาของเขาได้กลับมามีความหวังอีกครั้ง แล้วเขาก็ได้พูดกับเหล่าคนของกองทัพอี้เหรินและตระกูลไป๋ด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “การช่วยเหลือครั้งนี้ล้มเหลว เป็นเพราะข้าไป๋ซีประมาทเกินไป! แต่กำลังรบของกองทัพอี้เหรินเราไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะเป็นท่านหัวหน้าเหยียนลี่หยางก็ดีหรือจะท่านประมุขหอวิถีสวรรค์ก็ดี พวกเขาล้วนแล้วแต่ประเมินความสามารถไม่ได้ทั้งนั้น! หากว่าพวกเรายังไม่ละทิ้งซึ่งความหวัง ข้ามั่นใจว่าพวกท่านก็คงไม่ละทิ้งพวกเราเช่นกัน!”
“ใช่แล้ว ข้าเชื่อในตัวท่านประมุขหอ!”
“กองทัพอี้เหรินจงเจริญ!”
“ท่านหัวหน้าจะต้องมาช่วยพวกเราแน่!”
“ท่านประมุขหอจงเจริญ!”
คนของกองทัพอี้เหรินที่มากับไป๋ซีนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งนัก ในเวลานี้พวกเขาต่างก็ถูกปลุกใจโดยไป๋ซี แล้วพวกเขาก็ได้พลันราวกับเกิดใหม่
เมื่อเห็นภาพนี้แล้วเหล่าคนในตระกูลไป๋เองก็มีไฟขึ้นมาเช่นกัน ไป๋จงผูก็ได้เป็นผู้นำ เขาลุกขึ้นยืนและพูดกับคนตระกูลไป๋ “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอดีต ในเวลานี้พวกเราตระกูลไป๋และกองทัพอี้เหรินต่างก็เป็นเหมือนตั๊กแตนถูกมัดด้วยเชือกเส้นเดียวกันแล้ว มีเพียงพวกเราต้องร่วมมือกันถึงจะมีโอกาสรอดจากที่นี่ไปได้ จากนี้ไปตระกูลไป๋จะไม่มีปัญหาอะไรกันกองทัพอี้เหรินอีก”
ในฐานะนายน้อยแห่งตระกูลไป๋แล้ว คำพูดของไป๋จงผูนั้นมีน้ำหนักมาก นอกจากนี้ผู้นำของเหล่ากองทัพอี้เหรินเองก็คือไป๋ซี ดังนั้นเหล่าคนในตระกูลไป๋จึงเห็นด้วยกับการร่วมมือกับกองทัพอี้เหรินอย่างรวดเร็ว และรอคำสั่งของไป๋ซีร่วมกัน
อีกทางด้านหนึ่ง ข่าวเรื่องที่ตระกูลไป๋ในเมืองซีเฉิงได้ถูกจับโดยอารามชิงหมิงเพราะความข้องเกี่ยวกับกองทัพอี้เหรินนั้นก็ได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว และตำหนักเสียงสวรรค์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการรวบรวมข้อมูลข่าวสารมากที่สุดในบรรดากองกำลังต่างๆ ก็ได้รับทราบข่าวนี้ก่อนใคร แต่ทว่าสิ่งที่เซี่ยงเฟยหลินให้ความสนใจมากที่สุดนั้นหาใช่ตระกูลไป๋ไม่ หลังจากที่ทราบข่าวนี้แล้วเขาก็ได้ลากสังขารที่บาดเจ็บของเขาไปที่หอใบหยก (เย่หยู) และทันทีที่เขาพบกับเย่เย่เขาก็ได้พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง “ท่านประมุขเย่ ดูเหมือนซูเหลียนหยูจะเจอปัญหาเข้าแล้วล่ะ”
“ว่าไงนะ?”
เย่เย่ที่เพิ่งฟื้นจากการฝึกวิชา ก็ได้ตกใจกับข่าวที่เซี่ยงเฟยหลินนำมาทันที
เซี่ยงเฟยหลินที่เห็นสีหน้าของเย่เย่ก็รู้ว่าการที่เขามาที่นี่ไม่เสียเปล่าแล้ว เขาจึงได้รีบบอกกับเย่เย่ถึงรายละเอียดของข่าวที่เขาได้รู้มา แล้วจากนั้นก็รอฟังการตัดสินใจของเย่เย่โดยไม่พูดอะไรออกมา
เมื่อเทียบกับความกรุณาของเย่เย่ที่ช่วยชีวิตเขาในครั้งก่อนแล้ว เซี่ยงเฟยหลินคิดว่าการแจ้งข่าวของเขาในครั้งนี้นั้นมันเทียบกันไม่ได้เลย แต่ถึงอยากนั้นเขาก็ยังต้องการที่จะตอบแทนบุญคุณเย่เย่ทีละเล็กละน้อย และในขณะเดียวกันการร่วมมือกันระหว่างตำหนักเสียงสวรรค์กับหอใบหยกก็จะได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง และเมื่อใดที่ธุรกิจของหอใบหยกกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ตำหนักเสียงสวรรค์ก็จะได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
เย่เย่เงียบไปพักใหญ่ๆหลังจากที่ได้ยินข่าวจากเซี่ยงเฟิงหลิน แล้วดวงตาของเขาก็ได้ค่อยๆแสดงออกถึงความเย็นยะเยือก
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าเมื่อใดที่ทัณฑ์สวรรค์ออกมา กองกำลังทั้งหมดที่เกี่ยวของกับกองทัพอี้เหรินของราชวงศ์ชางหลางก็จะถูกกำจัด แต่เขาก็ไม่นึกว่าเรื่องนี้จะมีซูเหลียนหยูมาข้องเกี่ยวด้วย ถ้าหากเป็นเรื่องของกองกำลังอย่างเดียว เย่เย่ก็ไปขอให้กองทัพอี้เหรินส่งคนไปช่วยเหลือก็พอ แต่ทว่าในเมื่อมีซูเหลียนหยูเข้ามาด้วยเช่นนี้แล้ว เขาจึงได้คิดที่จะไปช่วยด้วยตัวเอง
“ขอบคุณเจ้าสำนักเซี่ยงมากที่มาแจ้งข่าวนี้ให้ เย่เย่ซาบซึ้งในบุญคุณมาก! แต่ทว่าเรื่องนี้มันข้องเกี่ยวกับกองทัพอี้เหรินมากเกินไป ขอให้เจ้าสำนักเซี่ยงจงอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากไปกว่านี้เลย!”
เย่เย่ก็ได้คารวะให้เซี่ยงเฟยหลินเพื่อแสดงความขอบคุณ แล้วจากนั้นก็ได้ไปหยิบปากกามาเขียนจดหมายเปิดผนึก เตรียมไว้ให้ลู่จุ้นคัดลอกตัวอักษรแล้วนำไปติดตามสถานที่ที่มีคนเยอะๆในเมืองหลวง
“ท่านประมุขหอเย่ นี่มันจะไม่บุ่มบ่ามเกินไปหน่อยเหรอ?”
เซี่ยงเฟยหลินก็ได้ตกใจเมื่อเขาเห็นเนื้อความในจดหมายเปิดผนึก เขาจึงได้พูดกับเย่เย่อย่างไม่อยากจะเชื่อ
เย่เย่ก็ได้ส่ายหัวของเขาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “มันไม่มีหนทางอื่นแล้ว! เพราะนอกจากราชวงศ์ชางหลางกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว 6สำนักใหญ่จะไม่มาสนใจกับเรื่องของขุมกำลังอื่นๆแน่ ถ้าหากจะต้องการให้พวกเขายอมประนีประนอมแล้วล่ะก็ ก็มีแต่จะต้องพูดกันด้วยกำลังเท่านั้น!”
ในขณะที่เขากำลังเขียนอยู่ก็ได้ตอบเซี่ยงเฟยหลินไปด้วย
และเนื้อหาในจดหมายฉบับนี้คือจดหมายท้าสู้กับเหยียนซ่งเจ้าสำนักอารามชิงหมิงอย่างเป็นทางการ
ถ้าหากเหยียนซ่งไม่ส่งซูเหลียนยูมาในเวลา 10 วัน เย่เย่จะไปที่อารามชิงหมิงเพื่อขอสู้กับเหยียนซ่งแบบตายกันไปข้าง
ภาษาในการเขียนนั้นแข็งกร้าวมากและเขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรต่อให้อีกฝ่ายเป็นถึงยอดยุทธ์ที่อยู่ในระดับราชันย์เทพก็ตาม เซี่ยงเฟยหลินก็ได้รู้สึกตัวชาขึ้นมาหลังจากที่ได้อ่าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยเรื่องที่จดหมายจะสะเทือนยุทธจักรขนาดไหนเมื่อจดหมายฉบับนี้ถูกเผยแพร่ออกไป
“ท่านประมุขเย่ ท่านมั่นใจจริงๆเหรอ?”
ถึงแม้ว่าจากความเข้าใจของเซี่ยงเฟยหลินแล้วจะคิดเย่เย่นั้นบุ่มบ่าม แต่ในความเป็นจริงก็รู้ดีว่าเขาไม่เคยลงมือทำอะไรที่เขาไม่มั่นใจมาก่อน ดังนั้นหลังจากที่หายตกใจแล้วไม่นานนักเขาก็รับรู้ได้ถึงความตั้งมั่นของเย่เย่และถามด้วยน้ำเสียงที่บอกไม่ถูก
เย่เย่ก็ไม่ได้ตอบอะไรเขา แต่ก็มีแสงปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แล้วเขาก็ได้พูดกับเซียงเฟยหลินด้วยความมั่นใจ “เหตุผลที่ว่าทำไม 6 สำนักใหญ่ถึงได้มีอำนาจเหนือกว่าราชวงศ์ชางหลางนั้น เป็นเพราะแต่ละสำนักนั้นมีผู้ที่บรรลุราชันย์เทพอยู่หนึ่งคนจริงหรือไม่นั้น? ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเรื่องนี้ก็จะถูกเปิดเผยแล้ว!”
สีหน้าของเซี่ยงเฟยหลิงก็บ่งบอกว่าเขาตกใจมากกับเรื่องนี้
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เซี่ยงเฟยหลินก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้และก้มให้เย่เย่อย่างจริงจังแล้วกล่าว “เซียวเฟยหลินยินดีที่จะนำตำหนักเสียงสวรรค์ไปช่วยท่านประมุขหอเย่ด้วย! ไม่ว่าท่านประมุขหอเย่จะแพ้หรือชนะก็ตาม ตำหนักเสียงสวรรค์ก็จะขอรุกหรือถอยไปพร้อมประมุขหอเย่ด้วย!”
คำพูดของเขานั้นกังวาน, หนักแน่นและเด็ดเดี่ยวมาก เพื่อให้ชัดเจนว่าตัวเขานั้นยินดีที่จะมอบชะตากรรมของตำหนักเสียงสวรรค์ให้กับเย่เย่ ถ้าหากเย่เย่ประสบความสำเร็จ ตำหนักเสียงสวรรค์ก็จะขอติดตามหอใบหยกไปด้วย ถ้าหากเย่เย่ล้มเหลว ตำหนักเสียงสวรรค์ก็ขอล่มสลายไปพร้อมกับเย่เย่และหอใบหยกด้วย ดังนั้นความมุ่งมั่นของเซี่ยงเฟยหลินนั้นถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าเย่เย่นั้นจะตกใจกับความเชื่อใจของเซี่ยงเฟยหลิน แต่ไม่นานนักเขาก็ได้แสดงสีหน้าชื่นชมออกมา เขาตบไหล่ของเซี่ยงเฟยหลินอย่างหนักหน่วงและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เชื่อในตัวข้าสิท่านเจ้าสำนักเซี่ยง แล้วท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอน!”
หลังจากที่ทั้งสองคนตกลงกันแล้ว เย่เย่ก็ไม่ได้มอบจดหมายเปิดผนึกให้กับลู่จุ้น แต่ให้เซี่ยงเฟยหลินเอาไปเผยแพร่ให้ทั่วทั้งอาณาจักรชางหลางโดยผ่านช่องทางของตำหนักเสียงสวรรค์แทน และไม่ชั่วขณะนั้นเองที่ทั่วทั้งแผ่นดินก็ต้องตกตะลึง และชื่อของเย่เย่ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาณาจักรชางหลาง
ถึงแม้ว่าจดหมายเปิดผนึกของเขานั้นจะเป็นจดหมายท้าสู้อย่างไม่เป็นทางการนัก แต่ถ้าหากอารามชิงหมิงไม่มอบซูเหลียนหยูให้กับเย่เย่แล้วก็จะส่งผลกระทบไปถึง 6 สำนักใหญ่ด้วย ไม่ว่าจะที่ลับหรือที่แจ้งแต่ศึกนี้ก็จะปะทุออกมาแล้ว จึงได้มีผู้คนมากมายมุ่งหน้าไปที่อารามชิงหมิงล่วงหน้าเพื่อรอชมศึกนี้
ในขณะที่จดหมายเปิดผนึกของเย่เย่นั้นได้เผยแพร่ออกไปทั่วทั้งอาณาจักรอยู่นั้นเอง เหยียนซ่งเจ้าสำนักอารามชิงหมิงนั้นก็กำลังพบปะกับเจ้าสำนักใหญ่ที่เหลืออีก 5 คนที่สำนักยุทธ์หงส์เพลิง
เพราะอารามชิงหมิงนั้นได้ส่งมอบไป๋ซีและพรรคพวกให้กับสำนักยุทธ์หงส์เพลิง จี้เชียนเหยี่ยเจ้าสำนักยุทธ์หงส์เพลิงก็ได้ยินดีอย่างมากและได้เชิญเจ้าสำนักใหญ่ทั้ง 6 ให้มารวมกันที่สำนักยุทธ์หงส์เพลิงเพื่อจัดงานแสดงความยินดีให้กับเหยียนซ่ง
ในขณะที่ผู้คนมากมายกำลังร่วมกินดื่มกันอย่างเต็มที่อยู่นั้นก็ได้มีลูกศิษย์ของสำนักยุทธ์หงส์เพลิงได้รีบวิ่งเข้ามาและพูดอะไรบางอย่างที่ข้างหูของจี้เชียนเหยี่ย แล้วสีหน้าของจี้เชียนเหยี่ยก็ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ แล้วเขาก็ได้จ้องไปที่เหยียนซ่งด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะสะบัดมือให้ลูกศิษย์ของเขาถอยกลับไป
“ท่านเจ้าสำนักเหยียนซ่ง ในครั้งนี้ท่านทำได้ดีมาก ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกเรา 6 สำนักใหญ่ได้แซงหน้าราชวงศ์ชางหลางแล้ว แต่ยังแซงหน้าทัณฑ์สวรรค์อีกด้วย ข้าซ่างกวานฟู่ขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”
ซ่างกวานฟู่เจ้าสำนักไร้ตัวตนนั้น ไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของจี้เชียนเหยี่ยและยังคงดื่มฉลองให้กับเหยียนซ่ง
พวกเขานั้นต่างก็กระวนกระวายกันหลังจากที่พวกเขาได้รับคำสั่งมาจากทัณฑ์สวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทัพอี้เหรินมาเป็นเวลานานมากแล้วเช่นกัน แล้วในเวลานี้ก็ได้มีกองทัพอี้เหรินบุกมาอารามชิงหมิงทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งอก พวกเขาจึงได้ขอบคุณเหยียนซ่งกัน
จูหยวนคงจากสำนักสวรรค์บูรพาเองก็ได้มองไปที่เหยียนซ่งอย่างอิจฉา และสงสัยว่าทำไมคนที่ทำคุณงามความดีถึงได้ไม่ใช่สำนักสวรรค์บูรพาของเขาบ้าง เพราะตั้งแต่วันที่ล่มสลายของสำนักวิถีสวรรค์กับสำนักเมฆาครามนั้น สถานะของพวกเขา 4 สำนักใหญ่ที่เหลือก็ต้องเผชิญกับความยากลำบาก และพวกเขานั้นก็มักอยู่ต่ำกว่าสำนักยุทธ์หงส์เพลิงและสำนักไร้ตัวตนเสมอในยุทธจักร
ดังนั้นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของทั้ง 4 สำนักใหญ่ที่เหลือนั้นคือการเพิ่มพูนสถานะของตัวเอง อย่างน้อยๆก็ให้เท่ากับสำนักไร้ตัวตนที่เป็นรองแค่เพียงสำนักยุทธ์หงส์เพลิง แต่ในเวลานี้อารามชิงหมิงนั้นกลับทำได้สำเร็จ ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรที่อีก 3 สำนักที่เหลือจะมีโอกาสนั้นบ้าง
“ท่านเจ้าสำนักซ่างกวานกล่าวชมเกินไปแล้ว! ก็แค่ปลาซิวปลาสร้อยไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย!”
เหยียนซ่งเจ้าสำนักอารามชิงหมิงนั้นเมื่อถูกชมโดยซ่างกวานฟูแล้ว ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขานั้นจะถ่อมตัว แต่ความหยิ่งผยองนั้นก็ได้ปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเขาโดยจี้เชียนเหยี่ยนี้ นอกจากจี้เชียนเหยี่ยเจ้าสำนักยุทธ์หงส์เพลิงแล้ว เหยียนซ่งก็ถือว่าเป็นตัวเอกของงานเลี้ยงนี้ซึ่งทำให้เหยียนซ่งนั้นรู้สึกภูมิใจอย่างมาก
แต่ทว่าความอิ่มอกอิ่มใจของเขานั้นก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก ซึ่งเขาก็ได้ถูกขัดด้วยคำพูดของจี้เชียนเหยี่ย
“ท่านเจ้าสำนักเหยียนซ่ง ข้าไม่รู้ว่าข้าควรจะแจ้งข่าวนี้แก่ท่านดีหรือไม่?”
ทันทีที่จี้เชียนเหยี่ยเปิดปาก คนอื่นๆก็ได้พลันเงียบลงและคอยฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่เหยียนซ่งก็ได้รีบเก็บอาการและกล่าวจี้เชียนเหยี่ยด้วยความเคารพ “ท่านเจ้าสำนักจี้ ข้าไม่เป็นไรเชิญท่านพูดมาได้เลย!”
ในขณะเดียวกันคนอื่นๆที่อยู่ในงานต่างก็เห็นว่ามีลูกศิษย์สำนักยุทธ์หงส์เพลิงเข้ามาเพื่อสักครู่และแอบเดากันอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ทว่าจี้เชียนเหยี่ยนั้นกลับไม่พูดอะไรออกมา และพวกเขาก็ไม่กล้าถามด้วยพวกเขาจึงได้ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร
“ในบรรดาผู้คนที่เจ้าจับมาในครั้งนี้มีผู้หญิงที่ชื่อว่าซูเหลียนหยูอยู่ด้วย นางเป็นภรรยาของประมุขหอใบหยกในเมืองหลวงและยังเป็นอดีตผู้จัดการของหอการค้าใบหยกสาขาตะวันตกเฉียงใต้อีกด้วย เมื่อสักครู่นี้เย่เย่ประมุขหอใบหยกนั้นก็ได้ประกาศออกไปทั่วทั้งแผ่นดินแล้วว่า ให้เจ้าส่งคนคนนั้นคืนมาภายใน 10 วัน ไม่อย่างนั้นเขาจะทำลายอารามชิงหมิงของเจ้า!”
จี้เชียนเหยี่ยก็ได้แจ้งข่าวที่เขาได้ทราบมาจากลูกศิษย์ของเขาเมื่อสักครู่แก่เหยียนซ่งไปตามจริง แล้วจากนั้นก็มองดูท่าทีของเขาโดยไม่พูดอะไรออกมา
จี้เชียนเหยี่ยนั้นไม่สนใจคำขู่ของเย่เย่อยู่แล้ว แต่ทว่าความแข็งแกร่งของเหยียนซ่งนั้นไม่เท่ากับเขาและอารามชิงหมิงนั้นก็ไม่ใหญ่เท่าสำนักยุทธ์หงส์เพลิงด้วย ถ้าหากเหยียนซ่งยอมทำตามคำขู่ของเย่เย่แล้วล่ะก็มันจะเป็นอันตรายอย่างมากกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทั้ง 6 สำนักใหญ่ แน่นอนว่าจี้เชียนเหยี่ยนั้นย่อมไม่ต้องการให้เหยียนซ่งนั้นส่งคนไปเด็ดขาด แต่ตัวเขาก็ไม่อาจที่จะแสดงความคิดเห็นของเขาออกไปตรงๆได้ เขาจึงได้วางแผนที่จะดูก่อนว่าเหยียนซ่งนั้นคิดที่จะทำเช่นไรกับเรื่องนี้ก่อน
“หึ! ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของหอใบหยกอะไรนี่มาก่อนเลย! ถ้าหากเย่เย่อะไรนั่นอยากที่จะสู้กับข้านักก็ให้เขามาเลย แล้ว 10 วันให้หลัง ข้าจะฆ่าเขาในอารามชิงหมิงอย่างเปิดเผยเอง เพื่อรักษาความยิ่งใหญ่ของทั้ง 6 สำนักใหญ่เอาไว้!”
ตอนแรกเหยียนซ่งก็ได้ตกใจไปชั่วขณะตอนที่ได้ยินข่าวจากจี้เชียนเหยี่ย แล้วจากนั้นเขาก็ได้พูดให้คนอื่นฟังอย่างดูถูก
ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของอารามชิงหมิงนั้นจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับเมื่อก่อนแล้ว แต่เหยียนซ่งเองนั้นก็เป็นยอดยุทธ์ในระดับราชันย์เทพ จะให้เขาไปกลัวคนที่ไร้ชื่อเสียงอย่างเย่เย่ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเหยียนซ่งก็ไม่เชื่อว่าจี้เชียนเหยี่ยนนั้นจะยอมอยู่เฉยๆและปล่อยให้ 6 สำนักต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของเย่เย่แน่ ดังนั้นเหยียนซ่งจึงได้ตัดสินใจที่จะสู้กับเย่เย่โดยปราศจากความลังเล และในอีก 10 วันให้หลัง เขาก็จะทำให้เย่เย่นั้นหายไปตลอดกาลที่อารามชิงหมิง