ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 429 มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้า
อันหลินพูดอย่างสงสัยว่า “แล้วต่อไปล่ะ”
สวีเสี่ยวหลานย้อนความทรงจำ ใบหน้าฉายความเคารพเลื่อมใส “ศิษย์พี่ซ่างกวนอี้เข้มแข็งมาก เข้มแข็งมากจริงๆ…นางเผชิญกับการเสียดสีและตำหนิด่าทอของลูกศิษย์วัยหนุ่มสาวได้ด้วยรอยยิ้ม ต่อให้จะไม่น่าฟังแค่ไหนนางก็ไม่โต้แย้ง นางพยายามบำเพ็ญเพียรด้วยตัวเองภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีอาจารย์ นางพยายามอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ถูกทอดทิ้งถูกกีดกัน…”
“นางไม่มีวาสนากับสำนักวิหคชาดแต่กำเนิด เป็นร่างกายที่ผลักไสพลังเพลิง แม้แต่วิชาควบคุมไฟที่ง่ายที่สุดก็ใช้ไม่ได้ เรื่องนี้ถูกลูกศิษย์คนอื่นหัวเราะเยาะอยู่นาน แต่นางไม่ถอดใจ ยืนหยัดบำเพ็ญเพียรไม่ย่อท้อ อ่านตำราวิชายุทธ์มากมาย สุดท้ายใช้ร่างกายที่พิเศษนั่นหยั่งรู้วิชาน้ำแข็งที่ทรงพลังยิ่ง”
“มีคนบอกให้นางไปจากสำนักวิหคชาด ไปยังวังน้ำแข็งของแดนจิ่วโจวจะเติบโตได้ดียิ่งกว่า แต่นางปฏิเสธ นางบอกว่าสำนักวิหคชาดเป็นสถานที่ที่ให้ชีวิตครั้งที่สองกับนาง นางยอมใช้ทั้งชีวิตเฝ้ารักษาสำนักนี้”
“ต่อมา ครั้งหนึ่งที่ลูกศิษย์ของสำนักออกไปเก็บประสบการณ์ นางกับลูกศิษย์คนอื่นเจอกับสัตว์ปราณระดับแปลงจิต คนอื่นๆ วิ่งหนีพลางโทษว่าดวงซวยของศิษย์พี่ซ่างกวนอี้ชักนำสัตว์ปราณตัวนี้มา เมื่อเจอกับคำก่นด่าและกล่าวโทษ ศิษย์พี่ซ่างกวนอี้ไม่พูดไม่จา แต่อาศัยพลังยุทธ์ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายมุ่งหน้าไปขัดขวางตามลำพัง…ศึกนั้นหากไม่ได้ผู้อาวุโสไปถึงทันการ เกรงว่าศิษย์พี่คงตายไปแล้ว…”
“และเพราะเรื่องในครั้งนั้น คนส่วนใหญ่ในสำนักจึงเปลี่ยนมุมมองที่เคยมีต่อศิษย์พี่ซ่างกวนอี้ แม้นางจะเป็นตัวประหลาด ดวงซวยเช่นเดิม แถมยังเผลอทำคนอื่นเคราะห์ร้ายไปด้วยเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครตำหนิกล่าวโทษนางอีกแล้ว เพราะทุกคนล้วนรู้ดีว่านางรักสำนักนี้มากแค่ไหน นางพยายามอยู่กับลูกศิษย์คนอื่นมากเพียงใด”
“ศิษย์พี่ซ่างกวนอี้ไม่เคยตำหนิสิ่งใดเลย เพื่อไม่ให้คนอื่นๆ พลอยซวยไปกับนางด้วย นางจะจงใจรักษาระยะห่างกับคนอื่น ยามที่คนอื่นๆ ประสบวิกฤต นางจะลงมืออย่างไม่ลังเล จนบัดนี้ นางเป็นที่เคารพของลูกศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักแล้ว เติบโตอย่างทุกวันนี้ได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”
อันหลินนิ่งเงียบฟังสวีเสี่ยวหลานเล่า
จนตอนนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจซ่างกวนอี้อย่างแท้จริง มันเป็นประวัติความขมขื่นตั้งแต่ต้นยันจบ
ซ่างกวนอี้ต้องเข้มแข็งขนาดไหน จึงจะดำรงอยู่ในชีวิตที่สิ้นหวังได้สมบุกสมบัน ฟังดูเหมือนง่าย แต่ทำขึ้นมาจริงๆ แล้วยากเย็นแสนเข็ญ
“เฮ้อ เมื่อก่อนเห็นนักพรตบางคนอยู่ดีไม่ว่าดีจะพลิกสวรรค์ ทำลายล้างสวรรค์ ทำเหมือนสวรรค์ติดหนี้พวกเขาอย่างไรอย่างนั้น แต่ถ้าบอกว่าศิษย์พี่ซ่างกวนอี้จะพลิกสวรรค์ ข้ากลับคิดว่าปกติธรรมดายิ่งนัก เพราะสวรรค์ไม่เป็นมิตรกับศิษย์พี่ซ่างกวนอี้เอาเสียเลย…” อันหลินรำพันเบาๆ
“นั่นสิ มีครั้งหนึ่งข้าไปเด็ดสมุนไพรกับศิษย์พี่ ทั้งๆ ที่บนท้องฟ้ามีเมฆดำเพียงก้อนสองก้อน แต่จู่ๆ ก็มีสายฟ้าฟาดใส่พวกเรา เจ้าว่ามันเรื่องอะไรกันล่ะ…” สวีเสี่ยวหลานส่ายหน้าอย่างระอาใจ
ตอนนี้เมื่อคิดย้อนไปก็ดูจะสนุกสนาน ครู่ต่อมา นางก็อดแย้มสรวลไม่ได้
อันหลิน “…”
อันหลินหวนคิดถึงประสบการณ์ที่รบเคียงไหล่กับซ่างกวนอี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าหญิงคนนี้น่าสนใจ
จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“เสี่ยวหลาน ข้ามีของขวัญชิ้นหนึ่งอยากให้เจ้า!” อันหลินเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน
สวีเสี่ยวหลานทำหน้าหวาดระแวง “เจ้าจะทำอะไรน่ะ ข้ารับโดยที่ไม่มีความชอบไม่ได้นะ”
“เจ้าให้โอกาสข้าได้หล่อหลอมเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ความดีความชอบหรือ ไม่ต้องห่วง มันเป็นแค่สร้อยคอที่ข้าได้มาจากคุกวิหคชาด” อันหลินหยิบวัตถุทรงหยดน้ำสีแดงออกจากแหวนมิติ
มันถูกอันหลินร้อยด้วยสร้อยสีขาว แผ่คลื่นพลังเพลิงที่บริสุทธิ์และมหาศาล
มันคือเลือดอสูรที่อันหลินได้จากการสังหารหงส์ดำ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเลือดของอสูรหงส์ไฟที่ถูกจองจำในคุกวิหคชาด
สวีเสี่ยวหลานมองสร้อยคอเส้นนั้น มุมปากกระตุกยิกๆ “สร้อยคอที่เก็บมาได้หรือ ของพรรค์นี้แค่มองก็เป็นขุมทรัพย์บรรพกาล ล้ำค่ายิ่งนัก เจ้ามอบให้ข้าเช่นนี้ ข้าไม่มีหน้ารับจริงๆ!”
อันหลินพูดอย่างไม่ยี่หระว่า “แม้เจ้านี่จะแฝงด้วยเจตจำนงและพลังงานธาตุไฟที่บริสุทธิ์ยิ่ง ซ้ำยังมีการสืบทอดด้วย แต่ข้าไม่มีสายเลือดธาตุไฟ มันเป็นเหมือนของไม่มีค่าสำหรับข้า แต่เจ้ามีสายเลือดพญาหงส์ สามารถใช้เลือดหยดนี้ได้อย่างเต็มขีดจำกัด ฉะนั้นให้เจ้าจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
สวีเสี่ยวหลานเม้มปากที่นุ่มหยุ่นเงียบงำ
“มา ข้าจะใส่ให้” อันหลินถือสร้อยคออย่างเริงร่า ยื่นไปที่ลำคอของสวีเสี่ยวหลาน
นัยน์ตาของสวีเสี่ยวหลานกระจ่างใส ใบหน้าแดงเรื่อ ก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่มีท่าทีขัดขืนอันหลิน
สร้อยสีขาวแนบไปกับลำคออระหงที่ขาวผุดผ่องของนาง ส่องประกายแสงของดวงอาทิต์ หยดเลือดดุจหยาดน้ำตาอิงแอบผิวหนังขาวเป็นยองใย หยดเลือดคู่กับผิวที่เนียนเกลี้ยงเกลา ให้ความรู้สึกงดงามเป็นธรรมชาติ
อันหลินถามยิ้มๆ ว่า “ชอบไหม”
สวีเสี่ยวหลานไม่ตอบ แต่เงยหน้าขึ้นจ้องมองอันหลิน “งามหรือไม่”
อันหลินพยักหน้าจริงจัง “งาม!”
สวีเสี่ยวหลานเบือนหน้าไปอีกทาง สุ้มเสียงดุจวารินชโลมจิตใจ “เช่นนั้นก็ชอบ”
บรรยากาศคลุมเครืออบอวลทั่วอากาศ เคล้าคลอด้วยเสียงนกร้องกังวานเป็นระยะๆ
ลิงโลดใจ และใจสั่นสะท้าน
อันหลินยื่นมือไปกุมมือข้างกายช้าๆ สัมผัสได้ว่ามือขาวผ่องของสวีเสี่ยวหลานสั่นระริกครู่หนึ่ง แต่ไม่ปฏิเสธ
อันหลินยังรู้สึกถึงความอบอุ่นและอ่อนนุ่มของฝ่ามือ ความรู้สึกเช่นนั้นชวนให้ใจสั่นหวั่นไหว!
ในตอนนั้นเอง ลมอ่อน แสงแดดอบอุ่นและเจิดจ้า
“ฮึ่ย เจ้าอย่าคิดว่าสร้อยเส้นเดียวจะซื้อข้าได้…ข้าแค่เห็นเจ้านั่นกลัวความสูงอยู่ตรงนั้น เลยให้เจ้ากุมมือ” สวีเสี่ยวหลานเอ่ยด้วยเสียงที่นุ่มละมุน
อันหลินชะงัก กะพริบตาปริบๆ พูดอย่างไม่ยอมว่า “งั้นอาการกลัวอย่างอื่นของข้า กุมมือเจ้าได้หรือไม่”
สวีเสี่ยวหลานขำพรืด “เจ้ายังกลัวอะไรอีก”
“ข้ากลัวความมืด เวลาเดินในตอนกลางคืนข้ากลัวสุดๆ อ้อ ข้ากลัวพระอาทิตย์ด้วย แค่เจอก็หงอยแล้ว กลัว…” อันหลินพูดเป็นตุเป็นตะ
สวีเสี่ยวหลาน “…”
“จริงสิ ในเมื่อเจ้าให้ของขวัญข้าแล้ว งั้นข้าจะตอบแทนด้วยแล้วกัน เจ้าห้ามปฏิเสธข้าเด็ดขาด” สวีเสี่ยวหลานขยิบตาให้อันหลินอย่างซุกซน
อันหลินพยักหน้าตอบรับ แต่ในใจกลับกระวนกระวาย
สวีเสี่ยวหลานหยิบประคำเพลิงเก้าสวรรค์ที่มีริ้วเพลิงโอบล้อมออกจากแหวนมิติ วางลงกลางฝ่ามืออันหลิน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงเจ้าจะไม่มีสายเลือดธาตุไฟ แต่เจ้าใช้พลังของเพลิงเทวะทั้งสี่ได้ ต่อสู้โดยใช้อาวุธเซียนนี้ จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม…บอกแล้วนะ ของขวัญชิ้นนี้เจ้าต้องรับไว้!”
อันหลินมองประคำสีทองแดงในมืออึ้งๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ประคำเพลิงเก้าสวรรค์เป็นศาสตราวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก่อนตายของตงฟางหมิง เป็นอาวุธเซียนชั้นสูง ประมาณค่าไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าสวีเสี่ยวหลานจะมอบให้ง่ายๆ แบบนี้ ทำให้อันหลินนึกเสียดายที่รับปากว่าจะรับของขวัญชิ้นนี้
“เสี่ยวหลาน เจ้าดีกับข้าจริงๆ” อันหลินกุมประคำเพลิงเก้าสวรรค์แล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“เจ้าก็ไม่ได้แย่กับข้า…”
เสียงไพเราะเสนาะหูดึงขึ้นข้างหู ทำให้หัวใจอบอุ่น ดั่งเมฆขาวที่แผ่กระจายบนฟากฟ้า