ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 312 ได้ปลาตัวใหญ่
ต้าไป๋ถูกอันหลินซัดจนเป็นหมาตาย
ภายใต้การวิงวอนร้องขอนับครั้งไม่ถ้วนของมัน ในที่สุดความคิดที่อยากจับมันกินของอันหลินก็หายไป
ทุกคนเห็นอันหลินกระปรี้กระเปร่าปานนี้ต่างก็โล่งใจ ใบหน้าฉายความปลื้มใจ
จัดการต้าไป๋ให้อยู่ในสภาพนี้ได้ ดูท่าทางอันหลินจะแข็งแรงมีชีวิตชีวาแล้ว!
ด้วยเหตุนี้มื้อค่ำของทุกคนจึงเปลี่ยนจากกินเนื้อสุนัขเป็นเนื้อวัว แถมยังจัดปิ้งย่างกลางแจ้งบนยอดเขายามราตรีอีกด้วย ทุกคนต่างก็สนุกสนานกันอย่างยิ่ง
รุ่งเช้าวันต่อมา เป็นวันที่สมาชิกทีมจะไปรวมตัวกันที่เขาฉางไป๋
ต้าไป๋ไม่มีป้ายหยก อันหลินจึงสั่งให้มันอยู่เฝ้าประตูเขาเป่ยอู้
ก่อนออกเดินทาง อันหลินยังโทรหาหลิวเชียนฮ่วน ถังซีเหมิน หูก้วน เหยาหมิงซี เถียนหลิงหลิงและพญางูขาว เตือนให้พวกเขามารวมตัวกันที่บ่อสวรรค์
จากนั้นเขาก็ขี่ก้อนอิฐลอยขึ้น มุ่งหน้าสู่เขาฉางไป๋พร้อมกับพวกสวีเสี่ยวหลาน
ณ เทือกเขาฉางไป๋
มนุษย์ที่สวมชุดคลุมสีแดงบดบังรูปร่างหน้าตากำลังโลดแล่นในผืนป่า
จู่ๆ ก็มีมนุษย์ชุดแดงคนหนึ่งหยุดฝีเท้าโดยพลัน
“ท่านดุค เป็นอะไรไป” หญิงชุดแดงอีกคนเอ่ยถาม
“มีหมาป่า” ชายที่ชื่อดุคกางแขนหนึ่งข้าง หอกโลหิตด้ามหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ
พลังปราณฟ้าดินถูกหอกโลหิตชักนำ แมกไม้ก็พลันเปี่ยมด้วยความเย็นยะเยือกคาวเลือดขึ้นมา
ขณะเดียวกัน กลิ่นอายแห่งความอันตรายก็เริ่มคืบคลานเข้ามาหาทั้งสามที่เป็นศูนย์กลางจากทุกสารทิศ เงาดำทะมึนก่อตัวรอบกาย ทุกเงาล้วนแฝงด้วยกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง
“เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดที่โสมม ไสหัวออกไปจากเทือกเขาแห่งนี้!” เสียงที่ทรงพลังดังขึ้น
หมาป่าตัวเขื่องขนาดสามจั้งตัวหนึ่งปรากฏตัวกลางฝูงหมาป่า นัยน์ตาสีทองจ้องทั้งสามที่ถูกล้อมเขม็ง ประดุจอสูรบรรพกาล เต็มไปด้วยความน่ายำเกรง
“เผ่าหมาป่าอนธการ ข้าจำได้ว่าถิ่นของพวกเจ้าคือธารน้ำแข็งไซบีเรียไม่ใช่หรือ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้พวกข้าออกไป” ดุคเอ่ยด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“ฮ่าๆ ๆ เทือกเขาฉางไป๋เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าหมาป่าอนธการมาแต่โบราณ อย่ามาพูดพล่ามกับข้า ให้เวลาพวกเจ้าสิบวินาที จะไปหรือตาย!” จ่าฝูงแสยะยิ้ม
ดุค “…”
เขาลูบชุดคลุมสีแดงเล็กน้อย “ท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว”
ครืน คลื่นโลหิตมหาศาลที่แฝงกลิ่นอายกัดกร่อนเสื่อมโทรมแผ่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหงทันใด ทุกแห่งหนที่มันผ่านพืชพรรณแห้งเหี่ยว แผ่นดินรกร้าง
“หึๆ…วันนี้ข้าจะกินพวกเจ้าเป็นยาบำรุงสักหน่อย!”
จ่าฝูงยิ้มชั่วร้าย บาเรียสายลมสีดำปกคลุมทั่วร่าง กรงเล็บสีนิลแหวกคลื่นโลหิต ปะทะกับหอกโลหิตของดุค
ตูม การปะทะอย่างแรงก่อเกิดพายุหมุน ทำให้ต้นไม้ในรัศมีร้อยจั้งเอนราบไปกับผิวดิน
สุดท้ายศึกสะท้านฟ้าครั้งนี้ก็ปะทุกลางพงไพรที่ห่างไกลไร้ผู้คน
ขณะเดียวกัน นินจาและองเมียวจิจากแดนอาทิตย์อุทัย นักรบกลายพันธุ์จากพญาอินทรี เผ่านักเวทที่ปลีกวิเวกต่างก็พากันลักลอบเข้ามาในเทือกเขาฉางไป๋ แอบจับตาดูอัญมณีแห่งเทือกเขาฉางไป๋แล้วเช่นกัน
การเคลื่อนตัวของพลังปราณฟ้าดินกว้างขวางเหลือเกิน ไม่เพียงทำให้นักพรตภายในแผ่นดินอลหม่าน แม้แต่เหล่านักพรตต่างชาติก็พากันเดินทางมาสำรวจ
นักพรตของแต่ละสำนักบำเพ็ญเซียนเคลื่อนไหวกันระนาว แถบเทือกเขาฉางไป๋กลายเป็นสมรภูมิรบของเหล่าอิทธิพลใหญ่ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
ขุมทรัพย์ยังไม่ปรากฏ สงครามก็เปิดฉากแล้ว
สำหรับนักพรตภายในประเทศแล้ว ขอแค่มีอิทธิพลต่างแดนโผล่มาที่นี่ ล้วนแต่ไม่มีเจตนาดี จะแย่งชิงขุมทรัพย์กับพวกเขา จึงสู้ทันทีที่เจอ!
และอิทธิพลระหว่างแต่ละประเทศก็คิดเช่นเดียวกัน แต่ปกติพวกเขามักจะยับยั้งชั่งใจ ดักซุ่ม ไม่มุทะลุเลือดร้อนเหมือนเผ่าหมาป่าอนธการ ปะทะตั้งแต่พบหน้ามีจำนวนน้อย
ในปากปล่องภูเขาไฟที่มีสิบหกยอดเขาห้อมล้อม มีทะเลสาบเขียวมรกตประดับอยู่ใจกลางขุนเขา
มันนี่แหละบ่อสวรรค์แห่งเขาฉางไป๋ที่มีชื่อกระฉ่อนทั้งในและนอกประเทศ
บัดนี้ด้วยการเคลื่อนไหวของพลังปราณฟ้าดิน บ่อสวรรค์เขาฉางไป๋ตกอยู่ในสภาวะปิดอย่างเป็นทางการ ระงับไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าเป็นอันขาด
บนเวหา พลันก็มีลำแสงสี่เส้นพุ่งลงจากฟ้า ทะยานลงริมบ่อสวรรค์
พวกเขาคืออันหลิน สวีเสี่ยวหลาน ซูเฉี่ยนอวิ๋นและเซวียนหยวนเฉิงที่มุ่งหน้ามาจากเขาเป่ยอู้นั่นเอง
“โอ้โฮ ทิวทัศน์ที่นี่งดงามไม่หยอก”
ซูเฉี่ยนอวิ๋นกะพริบดวงตาคู่งาม เอ่ยปากอุทาน
“อืม ทิวทัศน์ไม่เลวจริงๆ เรารอพวกเขาที่นี่แล้วกัน!” อันหลินปัดมือเล็กน้อยแล้วนำทุกคนนั่งลง
เซวียนหยวนเฉิงกวาดมองรอบข้างอย่างหวาดระแวง “มีนักพรตซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เยอะเลย”
“ไม่เป็นไร ความผิดปกติของเขาฉางไป๋ย่อมต้องดึงดูดนักพรตคนอื่นอยู่แล้ว ขอแค่พวกเขาไม่รบกวนพวกเราเป็นพอ” อันหลินกลับทำหน้าไม่ยี่หระ
“คนเยอะเกิดปัญหาได้ง่าย ข้าวางค่ายกลป้องกันบริเวณรอบๆ หน่อยดีกว่า” เซวียนหยวนเฉิงมีนิสัยค่อนข้างระแวดระวังจึงโพล่งขึ้นมาทันที
“ข้าเอาด้วย!” พรสวรรค์ทางด้านค่ายกลของสวีเสี่ยวหลานนับว่าไม่เลว ว่างเว้นไม่มีอะไรทำ จึงช่วยวางค่ายกลกับเซวียนหยวนเฉิงด้วย
จากนั้นก็เหลือแค่อันหลินกับซูเฉี่ยนอวิ๋นที่นั่งสบายอยู่อีกมุม
ซูเฉี่ยนอวิ๋นเงียบมาก เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว จึงนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ
อันหลินขี้เกียจสฤษฏ์กาย อย่างไรเสียทำไปก็ไร้ประโยชน์ จึงครุ่นคิดว่าจะลงไปจับปลากินในทะเลสาบ
บ่อสวรรค์เป็นแหล่งรวมตัวของพลังปราณ ปลาข้างในต้องสดอร่อยมากแน่ๆ ในฐานะคนชอบกินที่ได้มาตรฐานอย่างเขา ย่อมไม่พลาดโอกาสนี้อยู่แล้ว
ต๋อม อันหลินใช้พลังเซียนกั้นน้ำแล้วกระโดดลงทะเลสาบ
อันหลินดำลงน้ำ ดีดนิ้วต่อเนื่อง สามารถใช้ริ้วคลื่นโจมตีปลาที่แหวกว่ายใต้ทะเลสาบได้ทุกครั้ง จากนั้นก็ลากมันเข้ามาใกล้แล้วเก็บใส่แหวนมิติ
ยิ่งดำก็ยิ่งลึก หลังดำลงไปได้ร้อยเมตรแล้ว แสงจึงค่อนข้างมืดเป็นอย่างยิ่ง
เขาในตอนนี้แทบจะอาศัยเพียงสัมผัสทางพลังจิตโจมตีแล้ว
เอ๊ะ กลิ่นอายนี้ซ่อนเร้นมาก ปลาชนิดไหนกัน
ดวงตาของอันหลินลุกวาว นิ้วดีดไปยังบริเวณหนึ่งในความมืด
เสียงครวญครางดังทุ้มมาจากก้นทะเลสาบ
เขาตกใจระคนสงสัย เริ่มลากปลาที่ถูกคลื่นโจมตีเข้ามาใกล้ตัว
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จู่ๆ คลื่นก็ถูกพลังบางอย่างตัดจนขาดสะบั้น
พลันก็มีเสียง ‘บากะ[1]’ ดังมาจากความมืดมิด
อันหลิน “…”
เขาดีดนิ้วพร้อมกันทั้งสิบนิ้ว ริ้วคลื่นหลายเส้นกลายเป็นตาข่าย พุ่งไปทางที่มาของเสียง
มีเสียงร้องดังทุ้มแว่วมาอีกครา นิ้วของอันหลินไม่หยุดเคลื่อนไหว ลากเงาดำเข้ามาหาตัว
“บากะยาโร!”
เสียงตวาดดังมาจากความมืด
“โอ๊ะ ผีญี่ปุ่นงั้นเหรอ! อยากตายหรือไง!” นัยน์ตาของอันหลินฉายความดุดัน
ดาบที่แฝงจิตสังหารในความมืดแหวกน้ำมาหมายฟันหน้าอกของอันหลิน
ใบหน้าของอันหลินเรียบเฉย อาศัยความรู้สึกหลบหลีกดาบเล่มนั้นได้อย่างง่ายดาย ปลายนิ้วระเบิดสายฟ้าที่ทรงพลัง
ทันใดนั้น ก้นทะเลสาบอันมืดมนก็มีสายฟ้าคำราม แสงสีน้ำเงินกระจายไปทั่วทุกสารทิศพร้อมกับพลังงานที่น่ากลัว
ริมบ่อสวรรค์ สวีเสี่ยวหลานกับเซวียนหยวนเฉิงที่กำลังวางค่ายกลเห็นปลาลอยหงายท้องเต็มผิวทะเลสาบ…
ตูม ร่างหนึ่งพุ่งออกจากน้ำ เป็นอันหลินที่ลงไปจับปลาในทะเลสาบนั่นเอง
“ฮ่าๆ ๆ ข้าได้ปลาตัวใหญ่มา!”
เขาหัวเราะร่า โยนชายที่น้ำลายฟูมปาก ใบหน้าดำเกรียมลงบนพื้น
“โอ้โฮ สหายอันหลิน นี่มันปลาอะไรกัน ช่างเหมือนมนุษย์เสียจริง” ซูเฉี่ยนอวิ๋นมองชายหนุ่มที่เหมือนปลาตายอึ้งๆ อุทานด้วยความแปลกใจ
อันหลิน “…สหายซู ปลาใหญ่เป็นคำเปรียบเปรย เขาเป็นมนุษย์นี่แหละ เป็นนินจาแดนอาทิตย์อุทัย!”
“ที่นี่มีนินจาด้วยหรือ ได้ยินว่าวิชาของพวกเขาน่าสนใจมากเหมือนกัน” สวีเสี่ยวหลานก็เดินเข้ามาและพูดด้วยความอยากรู้
อันหลินพยักหน้า “เขาดักซุ่มอยู่ก้นทะเลสาบต้องมีแผนการอะไรเป็นแน่ ข้าตั้งใจว่าพอเขาฟื้นจะสอบปากคำถามข้อมูลหน่อย”
ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มที่ใบหน้าดำเมี่ยมก็ลืมตา
“พวกแกเป็นใคร เราไม่มีความแค้นต่อกัน จับฉันมาทำไม (ภาษาญี่ปุ่น)”
สวีเสี่ยวหลานกับซูเฉี่ยนอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ มองอันหลิน ราวกับกำลังถามว่า ชายคนนี้พูดว่าอะไร
มุมปากของอันหลินกระตุกยิกๆ “แกพูดภาษาจีนได้ไหม”
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! ไม่งั้นหากสุดยอดนินจาระดับโจนิน[2] ฮาตาเกะ คาคาชิมาละก็ พวกแกตายแน่ (ภาษาญี่ปุ่น)” ชายหนุ่มตะโกนลั่น
สวีเสี่ยวหลานทนไม่ไหวแล้ว “อันหลิน เมื่อครู่เขาพูดอะไรน่ะ”
อันหลินอึดอัดใจ เธอถามฉัน จะให้ฉันไปถามใคร
แต่จะพูดว่าฟังไม่รู้เรื่องไม่ได้หรอกมั้ง ทั้งๆ ที่บอกว่าจะเค้นถามข้อมูล ตอนนี้กลับมาพูดว่าฟังไม่รู้เรื่อง เขาจะขายขี้หน้ามาก
อันหลินเกาจมูกแล้วพูดว่า “เขาบอกว่า ต่อให้ต้องตายเขาก็ไม่ยอมบอกว่าพวกเขามีแผนการอะไร”
“บากะยาโร! รีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” นินจาคนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้อันหลินฟังออกแล้ว จึงแปลว่า “เขาด่าว่าพวกเราโง่ แถมยังบอกว่าจะฆ่าจะแกงหรือทำอะไรก็เชิญ!”
สวีเสี่ยวหลานกับซูเฉี่ยนอวิ๋นพยักหน้า จ้องนินจาคนนั้นอย่างถมึงทึง
ชายคนนั้นชะงักไป เห็นอันหลินชักกระบี่พิชิตมารออกมาแล้วเชือดที่ลำคอของเขา…
เลือดสาดกระจาย รอยแผลปรากฏบนลำคอของเขา ตายอย่างไม่ทราบสาเหตุด้วยประการฉะนี้…
สุดท้ายร่างของชายหนุ่มก็ถูกอันหลินโยนลงบ่อสวรรค์อีกครั้ง
ดังคำที่กล่าวว่า มาทางไหน กลับไปทางนั้น…
[1] บากะ ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง โง่ หรือ คนโง่
[2] โจนิน เป็นนินจาที่มีความเชี่ยวชาญในวิชานินจาต่างๆ ทุกด้าน มักจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหน่วยย่อยในการปฏิบัติภารกิจ นอกจากนี้ ยังมีโจนินพิเศษ ที่เป็นโจนินที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ