ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 142 มาเที่ยวสำนักวิหคชาดกันหน่อย
เขตหนานหลิง แคว้นไป๋หัวมีต้นไม้ใหญ่สูงร่วมหมื่นเมตร ยอดไม้กว้างหลายลี้อยู่ต้นหนึ่ง
บนยอดไม้ ศาลาพลับพลาตั้งกระจัดกระจาย เป็นทัศนียภาพของดินแดนเซียนสถิตชัดๆ อันที่จริงมันก็คือที่ตั้งของสำนักวิหคชาดที่มีชื่อกระฉ่อนไปทั่วแดนนั่นเอง
“โอ้โฮ ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่จังเลย!”
เมื่ออันหลินที่กำลังขี่สุนัขเหินเวหาเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นนี้ ก็อดอุทานไม่ได้
พวกเขาเริ่มเหาะไปใกล้ยอดไม้ที่สูงทะมึนทึนทึบแล้ว หออันวิจิตรงดงามเหลือคณานับตั้งอยู่เหนือยอดไม้ ฉาบด้วยแสงตะวันเจิดจ้า เปล่งแสงระยิบระยับ
“หึ! เกลียดบ้านเรือนพวกนี้เสียจริง ขวางการสังเคราะห์แสงของท่านปู่ต้นไม้หมดเลย!” เสี่ยวหงชะโงกหัวออกจากกระเป๋าของอันหลิน พูดด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
เรื่องที่พืชคิดไม่เหมือนที่พวกเขาคิดจริงๆ ด้วย
อันหลินจ้องต้นไม้ต้นใหญ่ ท่าทางยังดูมีชีวิตชีวา แตกกิ่งก้านสาขาเขียวชอุ่ม
สำนักวิหคชาดเล่นสนุกบนยอดไม้ร่วมหมื่นปีแล้ว ไม่สิ! เล่นไฟมานับหมื่นปีแล้วต่างหาก…ก็ไม่เห็นว่าท่านปู่ต้นไม้จะมีจุดไหนไม่แข็งแรงเลยนี่นา
เขาส่ายหน้าอย่างระอา ไม่สนใจเรื่องนี้อีก ขี่ต้าไป๋เหาะขึ้นด้านบนต่อไป
เสาสีแดงเพลิงสองต้นตั้งตระหง่าน ตรงกลางเป็นลวดลายของหงส์อาบเปลวเพลิงตัวหนึ่ง
“หยุด พวกเจ้ามาทำอะไร”
องครักษ์ที่สวมชุดสีแดงขวางพวกอันหลินไว้
อันหลินกำลังจะอ้าปากพูด ก็เห็นต้าไป๋คาบป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นหนึ่งออกมา
เมื่อองครักษ์เห็นป้ายอาญาสิทธิ์สีหน้าก็เปลี่ยนไป ทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วยกมือขึ้นคารวะแทบจะในเวลาเดียวกัน “ยินดีต้อนรับใต้เท้า!”
ต้าไป๋พยักหน้านิ่งๆ แบกอันหลินเดินอาดๆ เข้าไปข้างใน
“สุดยอด! ต้าไป๋ เจ้ากลายเป็นใต้เท้าของสำนักวิหคชาดตั้งแต่เมื่อใด” อันหลินลูบหัวของต้าไป๋พลางถามด้วยความแปลกใจ
ต้าไป๋ยิ้มกริ่ม “ข้าเคยมาสำนักวิหคชาดกับท่านพ่อตอนเด็ก ผู้เฒ่าจูอะไรนั่นจึงให้ป้ายอาญาสิทธิ์เช่นนี้กับพวกข้า บอกว่าถือป้ายอาญาสิทธิ์ สามารถเข้าออกสำนักได้อย่างอิสระ ไม่คิดว่าจะได้ใช้”
อันหลินกระจ่างแก่ใจ สำนักสัตว์เทพเป็นสี่สำนักใหญ่ของแดนจิ่วโจวเช่นเดียวกับสำนักวิหคชาด ไปมาหาสู่กันก็เป็นเรื่องธรรมดา
จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินเตร็ดเตร่ในสำนักวิหคชาด
“พี่อัน เจ้ารู้สึกไหมว่า ตลอดทางที่เดินมา พวกเราได้รับความสนใจสูงมากทีเดียว!” ต้าไป๋พูดอย่างอิ่มเอมใจ
“เจ้าว่าเป็นเพราะข้าหล่อเกินไป หรือเป็นเพราะเจ้าเท่เกินไป” อันหลินลูบคาง ทำท่าทางครุ่นคิด
“ข้าคิดว่าทั้งคู่” ต้าไป๋เชิดศีรษะอย่างผยอง เผยรอยยิ้มชั่วร้ายกับเหล่าลูกศิษย์สำนักวิหคชาดที่พากันชำเลืองมอง
ขณะนั้นเอง มีลูกศิษย์ผู้ชายอีกสองคนของสำนักเดินผ่าน
เมื่อพวกเขาเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายของต้าไป๋ มุมปากก็กระตุก รีบก้าวฉับๆ เดินเลี่ยงไป
จากนั้น ชายคนหนึ่งในนั้นก็กระซิบเสียงเบาว่า “ชายคนนั้นมาจากแห่งหนใด ถึงได้นั่งบนหลังของสุนัขประหลาดตัวนี้ ช่างน่าขันเหลือเกิน”
ชายอีกคนส่ายหน้ากลั้นขำเล็กน้อย “เจ้าคิดว่านี่ตลกแล้วหรือ เจ้าไม่สังเกตลิงตัวน้อยบนไหล่เขาหรือ ลิงตัวนั้นต่างหากที่น่าขัน…”
ณ ระเบียงแห่งหนึ่งในเขตต้องห้ามของสำนัก
ผู้หญิงสวมชุดสีเขียวอ่อนกำลังหลับตาทำสมาธิ
นางชูนิ้วเรียวยาวขาวปลอดออกมา สัมผัสลูกไฟที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างแผ่งเบา พลังไฟอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งไหลผ่านปลายนิ้วเข้าไปในร่างกาย ละลายแล้วแปรผัน
“เสี่ยวหลาน ฮ่าๆ เมื่อครู่ข้าเจอคนประหลาดคนหนึ่งระหว่างทาง! เอ้อ ไม่สิ สองต่างหาก!” จู่ๆ ก็มีเสียงไพเราะเสนาะหูดังขึ้นในเขตต้องห้าม
เห็นหญิงสาวสวมชุดสีม่วง รูปโฉมงดงามคนหนึ่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามา
ผู้หญิงที่กำลังทำสมาธิในเขตต้องห้ามคือสวีเสี่ยวหลานนั่นเอง เมื่อนางได้ฟังก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับยิ้มบางๆ “ศิษย์พี่หลานเยียน รักษาภาพพจน์หน่อย เอาแต่ตะโกนโหวกเหวกในเขตต้องห้าม ทำให้ผู้อาวุโสท่านนั้นตกใจเช่นนี้ เดี๋ยวท่านก็ถูกขังอีกหรอก”
หลานเยียนได้ฟังก็หน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังพูดอย่างตื่นเต้นเช่นเดิมว่า “เจ้าลองเดาสิว่า เมื่อครู่ข้าเห็นอะไร”
สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านเห็นคนประหลาดสองคน!”
“ใช่ๆ เจ้าคู่หูประหลาดนั่นตลกเหลือเกิน ฮ่าๆ ๆ…”
มือข้างหนึ่งของหลานเยียนเท้าสะเอว อีกข้างกุมท้อง หัวเราะจนตัวโยน
สวีเสี่ยวหลานกลอกตา ศิษย์พี่คนนี้มีข้อดีที่เป็นเหมือนข้อเสียอยู่ประการหนึ่ง นั่นก็คือเส้นตื้นเกินไป เมื่อก่อนเห็นเต่าตัวหนึ่งนอนแอ้งแม้งพลิกตัวไม่ได้ นางก็หัวเราะได้ตั้งค่อนวัน
สวีเสี่ยวหลานจึงไม่ได้สนใจกับคำว่าประหลาดที่หลานเยียนพูดมากนัก ก็แค่ศิษย์บางคนเดินๆ อยู่แล้วหกคะเมน ใครสักคนฝึกวิชาอัคคีแล้วเผาตัวเองบ้างละ ไม่มีอะไรน่าขันหรอก
หลานเยียนตบไหล่สวีเสี่ยวหลานปุๆ หยุดหัวเราะได้ครู่หนึ่ง สงบสติอารมณ์แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “มีชายคนหนึ่งกำลังขี่สุนัขสีขาวตัวหนึ่งเดินเตร่ในสำนักของเรา เจ้าไม่เห็นท่าทางของพวกเขา ดูสดใสทีเดียว ข้าโตมาป่านนี้ เพิ่งเคยเห็นคนขี่สุนัขครั้งแรก ฮ่าๆ ๆ…”
สวีเสี่ยวหลานเบะปาก “หากสักวันท่านเห็นคนขี่หมูเดินเหิน คิดว่าท่านคงหัวเราะตายแน่ ‘หัวเราะจนตาย’ จริงๆ!”
แต่ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด คำว่า ‘ขี่สุนัข’ เอาแต่วนเวียนอยู่ในหัวนาง ทำให้บางอย่างผุดวาบขึ้นในใจ
สวีเสี่ยวหลานทำหน้าสงสัย “ศิษย์พี่หลานเยียน ตัวประหลาดที่ท่านว่ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร”“อืม…ผู้ชายหน้าตาใช้ได้ ส่วนสุนัข…ขนขาวมาก น่ารักมากเช่นกัน อ้อ จริงด้วย! บนไหล่เขามีวานรอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง ตลกมากเช่นกัน ฮ่าๆ ๆ…”
เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ สะกิดต่อมฮาของศิษย์พี่ท่านนี้เข้าอีกแล้ว นางเริ่มหัวเราะอย่างไม่มียางอายขึ้นมาอีกครั้ง
สุนัขสีขาว วานรอัปลักษณ์หรือ
เป็นไปได้สูงว่าเขามาแล้วแน่ๆ!
สวีเสี่ยวหลานคว้ามือของหลานเยียนไว้อย่างตื่นเต้นดีใจ “ไป! พาข้าไปหาพวกเขาหน่อย”
หลานเยียนชะงัก “เอ๊ะ ศิษย์น้อง เจ้าไม่สนใจเรื่องแบบนี้ไม่ใช่หรือ ไยวันนี้ถึงกระตือรือร้นเช่นนี้ล่ะ แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้ากำลังอยากย้อนไปดูอีกครั้งพอดี ไปกันเถอะ!”
ลานฝึกยุทธ์ของสำนักวิหคชาดมีกำแพงแก้วสีแดงขนาดใหญ่
อันหลินขี่ต้าไป๋เดินนวยนาดเข้าลานฝึกยุทธ์
“ฟู่ ที่นี่ร้อนจังเลย ไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือ”
เมื่ออันหลินเหยียบลานฝึกยุทธ์ ก็รู้สึกถึงคลื่นความร้อนที่ถาโถมเข้ามาเป็นระลอกๆ
“วิชาอัคคีวิทาลน์!”
ชายคนหนึ่งตะโกนลั่น ลูกไฟขนาดใหญ่ถูกสะบัดออกจากมือของเขา พุ่งไปกระแทกผนังสีชาด
ตูม!
ลูกไฟระเบิด มีตัวเลขสีเหลือง 366 และตัวเลขสีแดง 210 ปรากฏขึ้นบนกำแพง
“โอ้โฮ มีฟังก์ชันคำนวณค่าพลังด้วยหรือ” อันหลินตกตะลึง
จากนั้น พวกเขาก็ถามลูกศิษย์ในลานฝึกยุทธ์ ถึงได้รู้ว่าตัวเลขสีเหลืองบนกำแพงแก้วหมายถึงอานุภาพ ส่วนตัวเลขสีแดงหมายถึงระดับความบริสุทธิ์ของพลังอัคคี
เหล่าลูกศิษย์มากมายของสำนักวิหคชาดล้วนฝึกความคล่องแคล่วของวิชาเซียนที่นี่ พลังเซียนธาตุไฟถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นไม่ขาดสาย
เปลวไฟตลบอบอวล หลายแห่งมีอุณหภูมิร้อนระอุ แต่ลูกศิษย์เหล่านี้กลับยิ่งฝึกก็ยิ่งฮึกเหิม
โดยเฉพาะยามมีลูกศิษย์เห็นตัวเลขสีแดงเพิ่มขึ้น เช่นเพิ่มจาก 215 เป็น 216 พวกเขาก็จะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“สำนักวิหคชาดช่างทุ่มเทพยายามเสียจริง วิธีนี้สามารถกระตุ้นความกระตือรือร้นในการฝึกวิชาของเหล่าลูกศิษย์ได้จริงๆ” อันหลินพยักหน้า เดินเข้าไปหากำแพงแก้วสีชาดอย่างนึกสนุก
“หมัดเปลวอัคคี!” อันหลินตะโกนเสียงดัง ปล่อยพลังเซียนธาตุไฟของลอกเลียนแบบที่ร่ำเรียนจากสรวงสวรรค์
ตูม!
ชั่ววินาทีที่กำแพงแก้วสั่นสะเทือน ตัวเลขก็เริ่มปรากฏขึ้นมา ค่าสีเหลือง 611 ค่าสีแดง 190
อันหลินถอนหายใจเบาๆ อานุภาพหมัดของเขาสูงกว่าศิษย์คนที่ใช้วิชาอัคคีวิทาลน์คนเมื่อครู่เกือบเท่าตัว แต่ระดับความบริสุทธิ์กลับแตกต่างกันมากเหลือเกิน
ขณะนั้นเอง จู่ๆ เจ้าอัปลักษณ์ก็คืนสู่ร่างเดิม “ข้าขอลองด้วย!”
พูดจบก็มีเปลวไฟสีดำผุดออกจากมือขวาของมัน อุณหภูมิของมันแลดูไม่สูง แต่กลับแผ่กลิ่นอายของความดับสูญ
“ฟิ้ว!” เจ้าอัปลักษณ์ขว้างลูกไฟสีดำออกไปกระแทกกับกำแพงสีชาด
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง กำแพงแก้วสีชาดเริ่มสั่นระริก ซ้ำยังส่องแสงสีแดงจางๆ ด้วย
ตัวเลขเริ่มปรากฏให้เห็น ค่าสีเหลือง 850 ค่าสีแดง 803
“โอ้โฮ สูงจริงด้วย!” อันหลินเบิกตากว้าง
เมื่อเทียบกับความตกใจของอันหลินแล้ว ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ในลานฝึกยุทธ์กลับงุนงงกับตัวเลขที่เห็น
ลูกศิษย์เหล่านี้ต่างก็ใช้พลังเซียนกับกำแพงแก้วสีชาด เมื่อกำแพงส่องแสงสีแดง มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น พวกเขาย่อมรู้สึกได้ทันที
พวกเขาหยุดการกระทำลงแทบจะทุกคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความทึ่ง
ชายคนหนึ่งยังคงถือลูกไฟไว้ในมือ ลวกขนคิ้วแล้วยังไม่รู้สึกตัว ยืนเหม่อมองตัวเลขบนกำแพง
ยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาเข้าใจดีว่าตัวเลขแบบนี้สื่อถึงอะไร
“หากระดับความบริสุทธิ์ของพลังไฟสูงกว่าร้อยละเก้าสิบ นี่มันระดับของเพลิงศักดิ์สิทธิ์แล้วกระมัง…” ชายคนหนึ่งพึมพำ
“ตัวประหลาดคนไหนในสำนักเรากันแน่…ไม่สิ หรือท่านเจ้าสำนักมาเที่ยวเล่นที่นี่กัน” ลูกศิษย์คนหนึ่งมองซ้ายแลขวา มองหาว่าใครเป็นผู้ปล่อยพลังเซียนเมื่อครู่นี้
ขณะนั้นเอง หญิงคนนั้นก็ตบไหล่ของชายคนนั้น ชี้ไปทางอันหลิน “ไม่ใช่ทั้งนั้น ตั้งแต่พวกเขาเข้ามา ข้าก็แอบสังเกตพวกเขาแล้ว ผู้ที่ลงมือเมื่อครู่นี้ คือวานรตัวนั้น…”
ข่าวกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ลานฝึกยุทธ์เริ่มฮือฮาขึ้นมา
ลูกศิษย์มากมายพากันจดจ้องเจ้าอัปลักษณ์ จากนั้นก็เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
วานรอัปลักษณ์…ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
………………
Related