ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม - ตอนที่ 115 เราอาจจะกำลังบำเพ็ญเซียนปลอม
อันหลินงุนงง ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“เสี่ยวหง เจ้ามานี่ ตบหน้าข้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี!” เขาคิดว่าตัวเองยังไม่ได้สติแน่ๆ
เสี่ยวหงพุ่งเข้ามาตามคำขอ ใบไม้สีเขียวลอยผ่านอากาศมา ฟาดลงบนหน้าของอันหลิน
เพี๊ยะ!
อันหลินรับรู้ถึงพลังมหาศาลอันน่ากลัวที่ถาโถมเข้ามา ใบหน้าถูกตบไปฉาดใหญ่ ร่างกายกระเด็นออกไปราวกับเป็นขีปนาวุธ กระแทกกับผนังแล้วตกลงไปอีกห้องหนึ่ง…
“แค่กๆ ๆ… ให้ตายสิ เจ้าจะฆ่าข้าหรือ” อันหลินลูบใบหน้าที่บวมเป่ง พูดอย่างโกรธเคือง
“อา… นายท่านข้าขอโทษ เสี่ยวหงไม่รู้ว่าตัวเองจะมีแรงมากขนาดนี้” เสี่ยวหงวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน
“ช่างเถอะ เจ้าเพิ่งทะลวงขั้น ยังควบคุมพลังไม่ได้ข้าเข้าใจ”
อันหลินถอนหายใจ โดนตบครั้งนี้เจ็บมากจริงๆ และพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่ความฝัน
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น เห็นซุนเซิ่งเหลียนที่มีใบหน้าเย็นเยือก
นางสวมชุดนอนเกาะอก เนื้อหนังขาวดุจหิมะโผล่มากว่าครึ่งเข้าสู่ลานสายตา
ลางร้ายอย่างมหันต์ผุดขึ้นในใจเขา
เขาพูดอย่างร้อนรนว่า “เจ้าฟังข้านะ นี่เป็น…”
เพี๊ยะ!
เขายังพูดไม่ทันจบ แรงมหาศาลก็ถาโถมเข้ามา
ใบหน้าของเขาถูกตบอีกครั้ง ร่างกายกระเด็นไปยังอีกฟากของผนังดั่งลูกระเบิดแล้วตกลงพื้น…
“นายท่าน!” เสี่ยวหงวิ่งไปหาอันหลินอย่างทำอะไรไม่ถูก
อันหลินเวียนหัวตาลาย แก้มทั้งสองข้างบวมเป่ง
“เฮ้อ ข้าไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจกันนะ…”
เขากุมหน้าแล้วลุกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
จากนั้นเขาก็เห็นเซวียนหยวนเฉิงที่กำลังทำหน้าถมึงทึงอยู่
“สหายอันหลิน กลางวันแสกๆ เจ้าทำเรื่องเสียสติเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เซวียนหยวนเฉิงมองเขาด้วยสีหน้าราวกับจะบ่งบอกว่าเห็นธาตุแท้ของเขาแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
ดวงตาของอันหลินแดงก่ำ “พี่เฉิง เข้าใจผิดแล้ว!”
อันหลินชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด จนอธิบายมูลเหตุของเรื่องให้เซวียนหยวนเฉิงและซุนเซิ่งเหลียนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วในที่สุด
แม้กับซุนเซิ่งเหลียน อธิบายไปจะไม่มีประโยชน์เลยก็ตาม
เพราะเห็นก็เห็นแล้ว นางไม่ตบอันหลินอีกสักทีนับว่าเป็นพระคุณแล้ว
หลังจัดการอุบัติเหตุเหล่านี้เสร็จแล้ว อันหลินก็กลับมาที่ห้องอีกครั้ง
เขาใช้กระแสจิตมองจุดตันเถียนอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ พบว่าเม็ดกลมๆ เม็ดนั้นยังคงลอยอยู่ที่เดิม ส่องแสงสว่างไสวอยู่อย่างนั้น
เขาปล่อยวิชาเปลวอัคคี ระหว่างที่พลังปราณหลั่งไหล ได้รับการขัดเกลาและเพิ่มระดับจากเม็ดกลมนั่นแล้ว เปลวไฟกลางฝ่ามือร้อนระอุและบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเดิม
อันหลินมองเปลวไฟในมืออย่างเงียบงัน
คุณสมบัติของเม็ดกลมเม็ดนี้คล้ายคลึงกับรากปราณ
มิหนำซ้ำเมื่อปล่อยพลังเซียน เม็ดกลมจะหมุนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปล่อยลำแสงเจิดจ้า
เมื่อเชื่อมโยงลักษณะพิเศษทั้งหลายเข้าด้วยกันแล้ว เขาสามารถวินิจฉัยเบื้องต้นได้ว่า มันคือขุมพลังสัตว์…
ให้ตายเถอะ!
ทำไมคนอื่นมีรากปราณ แต่ของเขาเป็นขุมพลังสัตว์ล่ะ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่!
อันหลินรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที ราวกับชีวิตสูญเสียความหมายไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไปหาสวีเสี่ยวหลาน
อันหลิน “เสี่ยวหลาน เจ้าว่าหากมนุษย์มีขุมพลังสัตว์ มันจะเป็นอย่างไร”
สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างไม่เข้าใจว่า “นั่นก็หมายความว่าเขาเป็นสัตว์น่ะสิ”
จากนั้นนางก็เห็นอันหลินน้ำตาคลอ
สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างตกใจว่า “อันหลิน เจ้าเป็นอะไร ใครรังแกเจ้า”
อันหลินส่ายหน้า “เปล่าหรอก ข้าอยากสงบสติอารมณ์หน่อย…”
เขาไม่มีทางพูดหรอกว่า สวีเสี่ยวหลานรังแกเขา
จากนั้นเขาก็ไปหาเซวียนหยวนเฉิง
อันหลิน “พี่เฉิง เจ้าว่าหากมนุษย์มีขุมพลังสัตว์จะเป็นอย่างไร”
เซวียนหยวนเฉิงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป็นไปไม่ได้ มนุษย์มีเพียงรากปราณ จะมีขุมพลังสัตว์ได้อย่างไร”
อันหลินถามต่อว่า “ข้าสมมติว่ามีคนประเภทนี้ แล้วมันเพราะอะไรกันแน่เล่า”
เซวียนหยวนเฉิงทำท่าครุ่นคิด “ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สองประการ ประการที่หนึ่งคือ แท้จริงแล้วมนุษย์คนนั้นเป็นสัตว์ เพียงแค่ตัวเขาไม่รู้ก็เท่านั้น ประการที่สองคือ การปรากฎลักษณะของบรรพบุรุษที่ขาด หายไปบางช่วง เจ้ารู้ใช่ไหม เผ่าพันธุ์วานรก็เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์สัตว์ เขาจะกลายเป็นวานรแล้ว!”
อันหลินได้ฟังก็เหมือนโดนฟ้าผ่า วิญญาณหลุดออกจากร่างแล้ว
เขายืนยันได้ว่าตั้งแต่ออกจากท้องแม่ เขาไม่ใช่สัตว์
ส่วนกลายเป็นลิงนั้น…
ให้ตายสิ ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย!
อันหลินเดินหน้าม่อยคอตกกลับไป คำพูดของเซวียนหยวนเฉิงกระทบกระเทือนจิตใจเขา
จากนั้น เขาก็นึกถึงซูเฉี่ยนอวิ๋นผู้อ่อนโยน
อันหลิน “สหายซู เจ้าว่าหากมนุษย์คนหนึ่งมีขุมพลังสัตว์จะเป็นอย่างไร”
ดวงตาคู่งามของซูเฉี่ยนอวิ๋นกะพริบปริบๆ พูดอย่างจริงจังว่า “หากมนุษย์คนหนึ่งมีขุมพลังสัตว์ เช่นนั้นหมายความเขาก็ไร้ประโยชน์แล้ว! เจ้าลองคิดดูสิ พลังยุทธ์และพลังเซียนในระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณล้วนมีความเกี่ยวข้องกับรากปราณ หากว่ามนุษย์คนหนึ่งมีขุมพลังสัตว์ เช่นนั้นการทำงานของพลังยุทธ์ต้องเกิดความขัดแย้งเป็นแน่ มิหนำซ้ำ…”
อันหลินฟังการวิเคราะห์อันมีหลักการของซูเฉี่ยนอวิ๋น ยิ่งฟังใจเขาก็ยิ่งเศร้า…
เขาก้าวออกจากห้องของซูเฉี่ยนอวิ๋นด้วยความเหนื่อยล้า มายังที่พักของอาจารย์ที่ปรึกษา
อันหลินวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเซียนกระบี่หลิงเซียวผู้มากประสบการณ์เป็นความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว
เซียนกระบี่หลิงเซียวเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นอันหลิน จึงพูดยิ้มๆ ทันทีว่า “อันหลิน ขอแสดงความยินดีที่สร้างรากปราณสำเร็จ เข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณเมื่อคืน!”
เมื่ออันหลินได้ยินคำว่า ‘รากปราณ’ ก็เหมือนมีกระบี่ทิ่มแทงหัวใจ แทบจะกระอักเลือดแล้ว
เขาฝืนฉีกยิ้มออกมา “ขอบคุณอาจารย์ ความจริงที่ข้ามาที่นี่ เพราะมีคำถาม…”
“คำถามอะไรหรือ ถามมาได้เลย” เซียนกระบี่หลิงเซียวยิ้มสบายๆ แล้วเอ่ยปาก
“ข้าอยากถามว่า หากมนุษย์มีขุมพลังสัตว์จะเป็นอย่างไร” อันหลินถามด้วยความคาดหวัง
เซียนกระบี่หลิงเซียวระเบิดเสียงหัวเราะ “ทำไมอันหลินถึงได้ถามคำถามที่พิลึกเช่นนี้ หรือจะมีใครประหลาดถึงขั้นมีขุมพลังสัตว์จริงๆ”
คิ้วของอันหลินกระตุก อาจารย์ ตัวประหลาดที่ท่านว่าก็คือข้านี่แหละ!
“อืม…ที่จริงก็แค่นึกได้กะทันหัน ลองถามดูเฉยๆ”
“อาจารย์คิดดูสิ สัตว์ภูตมีขุมพลังสัตว์ มารมีขุมพลังมาร…ท่านว่าจะมีขุมพลังสัตว์ก่อตัวในร่างมนุษย์ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดข้อผิดพลาดไหม”
อันหลินสะกดกลั้นความเศร้า แสร้งทำเป็นถามด้วยท่าทางสงสัย
ใครจะคิดว่าเซียนกระบี่หลิงเซียวจะตบบ่าอันหลินอย่างเคร่งขรึม พูดอย่างจริงจังว่า “เป็นหนุ่มอย่าคิดเรื่องเหลวไหลไร้สาระ! ข้าอยู่มานานขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินว่านักพรตคนใดมีขุมพลังสัตว์เลย หากว่ามีนักพรตเช่นนี้อยู่จริง เช่นนั้นคงจะถูกสรวงสวรรค์จับไปหั่นเป็นชิ้นทำการทดลองไปแล้ว ถึงตอนนั้นข้าค่อยเรียกเจ้าไปเปิดหูเปิดตาแล้วกัน”
เมื่อเห็นอากัปกิริยาเอาใจใส่ของเซียนกระบี่หลิงเซียว อันหลินก็แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว
เปิดหูเปิดตากับผีอะไร อันหลินรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้าแล้ว!
เขาบอกลาอาจารย์ที่ปรึกษา เดินทอดน่องอยู่ในลานบ้าน
คำพูดของแต่ละคนวนเวียนอยู่ในใจเขา ทำให้เขาติดอยู่ในภวังค์ของความสิ้นหวัง
เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างบ่อบัว จ้องมองเงาอันงดงามของตนที่สะท้อนอยู่ในน้ำ
หรือธาตุแท้ของเราจะเป็นสัตว์เดรัจฉานจริงๆ
หรือว่า…เราจะกลายเป็นลิงแล้ว
เราคงไม่ได้บำเพ็ญเซียนปลอมหรอกใช่ไหม
อันหลินที่ได้รับการกระทบกระเทือนยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าใจ
น้ำตาไหลริน
เปาะแปะๆ…
ผิวน้ำเกิดริ้วคลื่นเป็นระลอกๆ…
……………………..
Related