ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 664 เข้าสู่ช่วงสงคราม!
บทที่ 664 เข้าสู่ช่วงสงคราม!
บทที่ 664 เข้าสู่ช่วงสงคราม!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของมหาจักรพรรดิเหยาจีก็ดำทะมึนลงทันที ในดวงตามีแววโกรธแค้นผุดขึ้นมาหลายส่วน
แต่สีหน้าเช่นนี้ก็หายวับไปในพริบตา ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
นางก็ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ผู้นี้ของตนเป็นอะไรไป ก่อนหน้านี้ยังจัดการได้ง่ายดายอยู่เลย ตอนนี้ทำไมถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน?!
แต่ว่าหมากในมือของหาจักรพรรดิเหยาจีจะเป็นไพ่ตายได้อย่างไร?!
เทพธิดาแห่งสงครามไม่เต็มใจเข้าร่วมสงครามเช่นนี้ก็ต้องทำให้นางไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าร่วม!
แม้ว่านางจะไม่ออกหน้าก็ยังมีคนที่ร้อนใจอยากให้เทพธิดาแห่งสงครามออกโรงแทรกแซงสถานการณ์
นั่นก็คือ กู้ชิงหรัน!
เพียงแค่เทพธิดาแห่งสงครามในฐานะกำลังรบอันดับหนึ่งของแดนเซียนปรากฏตัวในสถานการณ์ ถึงจะมีโอกาสปกป้องลู่หยวนไม่ให้ตาย ดังนั้นกู้ชิงหรันจะต้องทำให้เทพธิดาแห่งสงครามเข้าร่วมสถานการณ์อย่างแน่นอน!
มหาจักรพรรดิเหยาจีนึกถึงสถานการณ์นี้จิตใจก็สงบลง
รอดูสถานการณ์อันวุ่นวายนี้เถิด!
…
จากโลกที่บิดเบี้ยว โลกใหม่ถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้ง!
ลู่หยวนและซ่งชิงยืนเผชิญหน้ากันอยู่ ณ ที่นี้พลังที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของทั้งสองนั้นต่างก็มีจุดเด่นของตน แต่ก็มีรากเหง้าเดียวกัน!
แม้แต่บรรดามหาจักรพรรดิที่ยืนอยู่ในแดนเซียนมองดูการเผชิญหน้าของทั้งสองก็อดรู้สึกสลดใจไม่ได้
ทั้งสองคนนี้มาจากดินแดนเดียวกันอีกทั้งยังแบกรับความคาดหวังของ พลังแห่งวิถีเช่นเดียวกัน ทั้งยังมีพลังเทพในกาย แทบจะกล่าวได้ว่ารากฐานอันแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมาจากที่เดียวกัน แต่วันนี้กลับกลายเป็นหมากที่ถูกผลักดันจากฝ่ายต่าง ๆ มารวมตัวกัน ณ ที่นี้ เพื่อใช้พลังสุดท้ายที่มีอยู่ในร่างให้หมดสิ้น!
ในห้วงอวกาศ พลังของทั้งสองกำลังพลุ่งพล่านไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวก็แทบจะถึงจุดสูงสุดแล้ว!
บนฟากฟ้าใหม่นี้ เมฆหมอกม้วนตัวอย่างน่าพิศวง ชั้นเมฆอันหนาทึบปะทะกันไม่หยุดพุ่งเข้าสู่จุดศูนย์กลาง บนท้องฟ้าถูกแบ่งแยกด้วยเมฆที่ผสานพลังสองสายนี้ราวกับโลกสองใบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกำลังปะทะกัน!
ลู่หยวนยืนถือหอกยื่นมือขวาออกไป อักขระอาคมนับหมื่นนับแสนปรากฏขึ้นพร้อมกันในอากาศ แสงสว่างของอักขระอาคมวูบวาบในชั่วพริบตาแล้วก็ดับวูบไปในทันใด!
อักขระอาคมทั้งปวงมลายหายสิ้น กลับกลายเป็นชุดเกราะสีหมึกเข้มปรากฏขึ้นบนกายของลู่หยวน!
ในชั่วขณะที่ชุดเกราะสวมลงบนร่าง พลังเทพของลู่หยวนกลับยิ่งทวีคูณ ชั้นเมฆฝั่งของลู่หยวนพลันแปรปรวนยิ่งกว่าเดิมราวกับถูกย้อมด้วยหมึกสีดำสนิท!
ชั้นเมฆนั้นเคลื่อนตัวเข้าหาฝั่งของซ่งชิง ซึ่งมีชั้นเมฆสีทองสุกสว่างเจิดจ้าดั่งดวงสุริยัน แต่ตอนนี้กลับถูกชั้นเมฆของลู่หยวนบีบคั้นกดข่ม!
ซ่งชิงไม่ได้แสดงท่าทีใด เพียงทอดมองลู่หยวนด้วยสายตาสงบนิ่ง
ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งซ่งชิงก็เอ่ยขึ้น “ลู่หยวน การต่อสู้ของข้ากับเจ้าย่อมพลิกฟ้าดินเป็นหายนะไปทั่วหล้า แต่ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ข้าหวังว่าผู้ชนะคือข้ากับเจ้าไม่ใช่คนอื่น!”
ลู่หยวนได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มเยาะ “ซ่งชิง ไม่ใช่ข้ากับเจ้าที่เป็นผู้ชนะ แต่มีเพียงข้าผู้เดียว!”
“หึ” ซ่งชิงหัวเราะ
“เรื่องเช่นนี้คงต้องประมือกันก่อนจึงจะรู้ผล!”
“เชิญ! ให้ข้าได้ประจักษ์ว่าเจ้ายามไม่ได้พลังเทพเจ้าแล้ว จะมีพลังถึงขั้นใด!”
ลู่หยวนสะบัดกระบี่ในมือเพียงครั้งเดียว บริเวณโดยรอบที่เพิ่งจะรวมตัวกันเป็นห้วงมิติก็เริ่มสลายเป็นผุยผง!
“ซ่งชิงเจ้าอาจหาญนักถึงขั้นคิดว่าตนคู่ควรกับการได้เห็นพลังของบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้! สิ่งของชิ้นเล็ก ๆ ที่วิถีโบราณมอบให้ข้าก็เพียงพอแล้วสำหรับการจัดกับเจ้า!”
กล่าวจบ พลังนับพันที่อยู่ในร่างของลู่หยวนก็พลันแปรเปลี่ยน เผยให้เห็นรอยเส้นสีแดงเข้มปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วของเขา พร้อมกับหมอกสีแดงที่แผ่ออกมาอย่างน่าพิศวง!
พลังมารและพลังแห่งวิถีคุณธรรมที่ห่างหายไปนานต่างหลั่งไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง กลืนกินท้องฟ้าที่ถูกย้อมไปด้วยพลังดั้งเดิมของลู่หยวนจนสิ้น!
“ลู่หยวนเพียงแค่นำเบิกเนตรเทวะออกมาพร้อมกับพลังแห่งเผ่ามารและพลังแห่งวิถีคุณธรรมยังไม่อาจเทียบเทียมเทพเจ้าเช่นข้าได้! เจ้าดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว!”
ซ่งชิงประสานนิ้วก่อนจะเคลื่อนกายไปด้านข้าง ปลายกระบี่ที่วางไว้ด้านหน้าร่างถูกใช้นิ้วทั้งสองลากผ่านสายธารแห่งพลังอันไร้ขีดจำกัดถูกถ่ายทอดลงบนกระบี่เล่มนั้นในทันที!
พลังแห่งสวรรค์ไหลบ่าบนกระบี่เล่มนั้นอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์ท้องฟ้าผันแปรกระบี่พิฆาตสังหารทุกทิศทางบดขยี้โลกใบนี้ไว้ในกำมือ!
สายลมพัดพาก้อนเมฆหมุนวนต่ำลงราวกับกำลังยอมสยบต่อหน้ากระบี่เล่มนี้!
ชิ้ง!
กระบี่เล่มนั้นส่งเสียงคำราม บรรดาเมฆที่หมุนวนอยู่ต่างลดระดับต่ำลง
ในขณะนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เกาะสังหารเซียนแต่รวมไปถึงสามพันโลกอันยิ่งใหญ่ กระบี่ทุกเล่มต่างส่งเสียงคร่ำครวญและสั่นสะท้านปลายกระบี่ลู่ต่ำลงราวกับกำลังทำความเคารพต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง!
บนหน้าผากของซ่งชิงมีลวดลายแปลกประหลาดค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจนกระทั่งกลายเป็นรูปร่างของกระบี่ทองคำเล่มเล็ก!
เขาดีดนิ้วไปที่ตัวกระบี่แต่กลับไม่มีเสียงสั่นใด ๆ เล็ดลอดออกมาบนกระบี่เล่มนั้น อักขระยันต์สีทองอันแปลกประหลาดได้แผ่ปกคลุมทั่วทั้งเล่มในชั่วพริบตา!
ทั่วทั้งสวรรค์และโลกพลันถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีอันแข็งแกร่งไร้เทียมทาน รัศมีนี้เปรียบดั่งเจตจำนงแห่งกระบี่ที่พุ่งทะยานไปทั่วสารทิศราวกับเทพเจ้าจุติลงมา!
กระบี่เล่มนี้ ตอนนี้ได้บรรลุถึงขั้นเทพแล้ว!
เบื้องหน้ากระบี่เล่มนี้ไม่อาจมีกระบี่เล่มใดเทียบเคียง!
สายลมพัดกระหน่ำ เสียงเสื้อคลุมของลู่หยวนโบกสะบัดดังพรึ่บ ๆ แต่ลู่หยวนไม่ได้ใส่ใจ กลับจ้องมองด้วยความสนุกสนานถึงขั้นพยักหน้าเอ่ยชม “เจ้าใช้พลังเทพได้ไม่เลวทีเดียว ยังสามารถประทานกระบี่ในมือของตนเองให้บรรลุถึงขั้นเทพได้นับว่าไม่ธรรมดา เพียงแต่ไม่รู้ว่าสามารถประทานให้มนุษย์เป็นเทพได้หรือไม่?”
พลังในร่างของซ่งชิงผสานเข้ากับพลังของกระบี่เทพอย่างรวดเร็ว ไต่ระดับขึ้นไปจนถึงขีดสุดอีกครั้ง!
“เรื่องประทานให้มนุษย์เป็นเทพ ข้ายังไม่เคยลองมาก่อน หากเจ้าสามารถบรรลุถึงขั้นสร้างเทพได้ มีพลังเทพเป็นของตนเองก็อาจจะลองดูได้ แต่เจ้าไม่มี ฮ่า ๆ ลู่หยวนจงดูพลังแห่งกระบี่ของเทพองค์นี้เสีย!”
เมื่อสิ้นสุดคำพูด ซ่งชิงก็ฟาดฟันกระบี่ลงมา พื้นที่ที่สร้างขึ้นใหม่ก็พังทลายลงอย่างรวดเร็วตามคมกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา!
พลังแห่งกระบี่แผ่ปกคลุมลงมาในชั่วพริบตาบีบอัดห้วงมิติเป็นชั้น ๆ พุ่งเข้าฟาดฟันลู่หยวน!
ลู่หยวนไม่ได้คิดหลบหลีก วิถีคุณธรรมและวิถีมารแผ่ปกคลุมทั่วร่างเบื้องหลังปรากฏเงาร่างสูงใหญ่ทะมึน
กายาสีดำสนิทสวมเกราะสีขาวบนใบหน้าเลือนรางดวงตากระทบแสงสีเลือดกะพริบวาบ!
“ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ได้ประจักษ์ว่ากระบี่เทพเจ้าของเจ้ามีอานุภาพเช่นไร!”
ลู่หยวนซ่อนหอกไว้ด้านหลังกำมือขวาแน่น พลังมากมายหลั่งไหลเข้าสู่กำปั้นบิดเบือนว่างเบื้องหน้าจนแตกละเอียด
เงาร่างใหญ่โตเบื้องหลังเลียนแบบท่าทางกำหมัดขวาพลังเพิ่มพูน!
กระบี่ฟาดฟันลงมาแสงสีทองเจิดจ้าดุจประกาศิตเทพฟาดลงมายังร่างของลู่หยวน!
ลู่หยวนแววตาจริงจังแต่ยังนิ่งเฉย!
เมื่อสบโอกาส หมัดเดียวฟาดฟันออกไป!
เงาร่างใหญ่โตเบื้องหลังพลันปล่อยหมัดพิฆาตต้านรับกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา!
พลังทั้งสองปะทะกัน แสงสีขาวเจิดจ้าแผ่ขยายกลืนกินทุกสรรพสิ่ง!
ด้วยอานุภาพมหาศาลเช่นนี้ ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาได้!
ทั้งเกาะสังหารเซียนถูกทำลายล้างจนสิ้น ภายใต้พลังทำลายล้างอานุภาพนี้ ไร้เสียง ไร้ร่องรอยประหนึ่งว่าไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลกนี้มาก่อน