ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 421 กลายเป็นข้ารับใช้กระบี่ของข้า
บทที่ 421 กลายเป็นข้ารับใช้กระบี่ของข้า
บทที่ 421 กลายเป็นข้ารับใช้กระบี่ของข้า
สายตาของลู่หยวนพลันทอประกายขณะจับจ้องเยวี่ยอู๋ฉือ แต่ในสายตาของผู้อื่นมันช่างเป็นสีหน้าที่ชั่วร้าย!
เยวี่ยหนีซางปัดมือของลู่หยวนออกไปแล้วรีบยืนขึ้นตรงหน้าเยวี่ยอู๋ฉือ ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงดังสนั่น “อย่าได้ล่วงเกินท่านอาจารย์ เจ้า… ถ้าเจ้ากล้าไม่ให้ความเคารพนาง ข้าจะสู้จนตัวตายให้ดู!”
ลู่หยวนชำเลืองมอง จากนั้นยื่นมือออกไปคว้าแขนของเยวี่ยหนีซางไว้
เยวี่ยหนีซางคล้ายกับถูกอสรพิษกัด ดวงตาของนางพลันเบิกกว้างขณะเริ่มดีดดิ้นไปมา “เจ้าคนเจ้าเล่ห์ คิดจะทำอะไร?!”
เยวี่ยอู๋ฉือผู้อยู่ข้างกายลงมือเช่นกัน นางเตรียมจะนำตัวเยวี่ยหนีซางกลับมา แต่กลับถูกลู่หยวนกำราบได้ในฉับพลัน!
หลังจากผ่านไปสามอึดใจ ลู่หยวนก็ปล่อยมือของหญิงสาวด้วยสายตารังเกียจ
เยวี่ยอู๋ฉือคือผู้กลับชาติมาเกิดของวิญญาณกระบี่ แต่เยวี่ยหนีซางกลับไม่มีอะไร
หลังจากเยวี่ยหนีซางเป็นอิสระ นางก็ไปยืนอยู่ข้างเยวี่ยอู๋ฉือด้วยสายตาหวาดกลัว
เมื่อครู่นางมีความคิดมากมาย ว่าหากคนตรงหน้าใช้กำลัง นางจะระเบิดตัวเองทันที!
ต่อให้ไม่สามารถฆ่าคนตรงหน้าได้ก็ทำให้เขาไม่สมหวังได้!
ลู่หยวนเอามือไพล่หลังขณะหันไปมองรอบกาย แต่เขาก็ไม่พบคนที่โดดเด่นแม้แต่คนเดียว
ผ่านไปหลายอึดใจ ลู่หยวนก็เดินออกไปนอกห้องโถง ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งอก
เมื่อลู่หยวนกำลังจะเดินจากไป เขาหันกลับมาเล็กน้อยแล้วชี้นิ้วมือขวาไปทางเยวี่ยอู๋ฉือ “ให้นางเตรียมปรนนิบัติข้านับต่อจากนี้ไป!”
ทาสอารักขาผู้ยืนรออยู่นอกห้องโถงใหญ่ประสานมือตอบรับทันที “ขอรับ!”
เมื่อลู่หยวนจากไปแล้ว ทาสอารักขาก็เดินมาหยุดตรงหน้าเยวี่ยอู๋ฉือ “ท่านประมุขเยวี่ย เชิญ”
ผ่านไปหลายอึดใจ เยวี่ยอู๋ฉือก็ขมวดคิ้วก่อนจะลุกขึ้น
ตอนนี้พวกนางอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายแล้ว ขัดขืนไปแล้วจะได้อะไร?
ยิ่งกว่านั้น ภายใต้เงื้อมมือของยอดฝีมือคนนี้ แม้แต่เยวี่ยอู๋ฉือก็ไม่สามารถฆ่าตัวตายได้!
ตอนนี้จึงเหลือเพียงทางเดียว นั่นก็คือเชื่อฟังแต่โดยดี
เยวี่ยหนีซางรั้งตัวเยวี่ยอู๋ฉือไว้ขณะส่ายหน้าอันซีดเซียวไปมา “ท่านอาจารย์ อย่าไปนะ! ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดก็คือตาย หากพวกเราสู้จนตัวตายก็อาจจะยังพอมีหวังอยู่ก็ได้!”
ทาสอารักขายิ้มเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า “พอมีหวังงั้นหรือ? ชีวิตพวกเจ้าไม่ได้เป็นของตัวเองแล้วตั้งแต่มาที่นี่! ต่อให้ร่วมมือกันตอนนี้ ข้าเพียงคนเดียวก็สามารถปราบได้อยู่หมัด!”
สายตาไร้การแปรปรวนทางอารมณ์ของเยวี่ยอู๋ฉือหลุบต่ำ นางเพียงสะบัดมือของเยวี่ยหนีซาง แม้ริมฝีปากจะขยับเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นนางก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
“ท่านอาจารย์!”
เยวี่ยหนีซางยังคงอยากไล่ตามไป แต่ถูกทาสอารักขาหยุดไว้ “บุตรศักดิ์สิทธิ์ต้องการท่านประมุขเยวี่ย ไม่ใช่เจ้า!”
ฝีเท้าของเยวี่ยอู๋ฉือพลันหยุดนิ่ง นางสะบัดมือขาวเนียนราวกับหยก กระบี่สั้นพลันพุ่งออกจากแหวนเก็บของ ทำให้อากาศผันผวนแล้วปรากฏขึ้นตรงหน้าเยวี่ยหนีซางในพริบตาต่อมา
“หนีซาง กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่าไท่เออ ถึงแม้จะไม่ใช่กระบี่เลื่องชื่อในแผ่นดินหลัก แต่มันก็เกิดมาพร้อมกับข้า ดังนั้นขอฝากมันไว้ที่เจ้าด้วย”
สิ้นคำ เยวี่ยอู๋ฉือก็จากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา!
ทาสอารักขาจากไปเช่นกัน แล้วประตูของห้องโถงรับรองก็ปิดตัวอย่างรุนแรง คนที่ถูกจับตัวมาติดอยู่ในค่ายกลจำนวนมาก ไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้
เยวี่ยหนีซางหลั่งน้ำตาขณะยื่นมือออกไปเก็บกระบี่ไท่เออที่เยวี่ยอู๋ฉือมอบให้
เมื่อเก็บมาแล้ว นางจึงพบว่าตัวกระบี่นั้นมีความยาวราวหนึ่งชุ่นเท่านั้น
ทันทีที่ถือกระบี่เล่มนี้ ปราณกระบี่ก็พลุ่งพล่านราวกับพร้อมจะทะยานออกจากกระบี่ไท่เออทุกเมื่อ! ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า
แต่เมื่อเยวี่ยหนีซางตรวจสอบปราณกระบี่ดูก็พบว่าปราณที่พวยพุ่งเมื่อครู่สลายไปในพริบตา ราวกับนางคิดไปเอง!
ทาสอารักขาพาเยวี่ยอู๋ฉือไปห้องโถงใหญ่ที่ลู่หยวนรออยู่ จากนั้นจึงจากไป
เยวี่ยอู๋ฉือชำเลืองมองกู่อี้เจี้ยนผู้กำลังนั่งฝึกฝนสมาธิอยู่ในลานบ้าน หลังจากถอนหายใจนางก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
เมื่อเดินเข้าห้องโถงใหญ่ ดวงตาของนางก็แจ่มชัด
เมื่อลู่หยวนนำแผนที่ออกมา กลิ่นอายมารในห้องโถงก็สลายจนเกือบหมดสิ้น
มีกลิ่นอายมารบางส่วนลอยอยู่ในตระกูลชิวมาก่อนแล้ว ดังนั้นเยวี่ยอู๋ฉือจึงสัมผัสถึงมันไม่ได้
ลู่หยวนนั่งทำสมาธิอยู่บนเตียงขณะปรับลมหายใจ
ต่อให้เยวี่ยอู๋ฉือเดินเข้ามาแล้ว เขาก็ไม่คิดลืมตาหรือเอ่ยคำใด
นางรออยู่สักพัก คิ้วที่ขมวดอยู่จึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย จากนั้นจึงหาเก้าอี้แล้วนั่งลง
เมื่อลู่หยวนลืมตาอีกครั้ง ท้องนภาก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดแล้ว!
ตอนนี้เยวี่ยอู๋ฉือพิงเก้าอี้ขณะโคจรพลังปรับลมหายใจและฝึกฝน
ทันทีที่ลู่หยวนขยับ เยวี่ยอู๋ฉือก็ลืมตาด้วยความระแวดระวัง สายตาของนางกวาดมองเขาอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ในดวงตาอีกฝ่าย
เขาคร้านเกินกว่าจะสนทนากับนาง จึงเอ่ยตามตรง “ข้าขาดแคลนข้ารับใช้กระบี่พอดี เลยคิดว่าเจ้าเหมาะสมกับตำแหน่งดังกล่าว”
“ข้ารับใช้กระบี่หรือ?”
เยวี่ยอู๋ฉือตกตะลึง ตอนแรกนางคิดว่าลู่หยวนจะ…
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ มีคนมากพรสวรรค์นับไม่ถ้วนอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้ ทั้งชีวิตข้าก็เป็นคนแบบนี้ บ้างก็มีนิสัยเกียจคร้าน เกรงว่าคงไม่สามารถรับใช้ท่านได้”
สีหน้าของลู่หยวนประดับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจหรือไม่ว่าสิ่งนี้หมายถึงอะไร? ข้ากำลังบอกว่านับจากนี้ไป เจ้าไม่ใช่ประมุขสำนักกระบี่สวรรค์อีกแล้ว ให้พวกเขาเลือกคนอื่น ส่วนเจ้าก็อยู่กับข้าในฐานะข้ารับใช้กระบี่!”
ลู่หยวนสามารถขอให้ระบบนำยันต์บางส่วนออกมา แล้วฝังไว้ในร่างเยวี่ยอู๋ฉือเพื่อทำให้นางเชื่อฟังก็ได้
เพียงแต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ออกจะพิเศษเสียหน่อย
พลังที่แท้จริงของชิวสิงยังไม่เป็นที่แน่ชัด และอีกไม่กี่วันพวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากันแล้ว จึงอาจจะต้องมีหลายครั้งที่จำเป็นต้องใช้ค่าชะตาวายร้าย!
มันไม่คุ้มนักที่จะมาเสียค่าชะตาเพื่อวิญญาณกระบี่ที่ยังไม่ตื่นขึ้นมา!
อีกอย่าง ลำพังเพียงพลังของลู่หยวนในตอนนี้ก็สามารถกำราบเยวี่ยอู๋ฉือได้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์เพื่อกำราบแต่อย่างใด!
เยวี่ยอู๋ฉือเม้มริมฝีปากแล้วไม่เอ่ยอะไร ลู่หยวนจึงยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “การได้อยู่กับข้าคือโอกาสของเจ้า มีผู้คนนับไม่ถ้วนในโลกใบนี้ที่อยากอยู่กับข้า แต่ข้าไม่แม้แต่เหลียวแลพวกเขาด้วยซ้ำ”
“ส่วนท่าทีเกียจคร้านที่เจ้าพูดถึงก็ไม่ใช่ปัญหา ของมันแก้กันได้”
สิ้นคำ ลู่หยวนเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบของว่างที่ตระกูลชิวจัดให้ขึ้นมาทาน
เขาเคาะนิ้วลงบนโต๊ะราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ถึงแม้ลู่หยวนจะรอบรู้ แต่เขาก็ไม่ทราบว่าวิญญาณกระบี่จะตื่นขึ้นเมื่อไหร่
เมื่อเอ่ยถามระบบก็ได้คำตอบที่ไม่ชัดเจน บอกเพียงว่าจะตื่นขึ้นเมื่อถึงเวลา
แล้วถ้าโอกาสไม่มาถึงตลอดชั่วชีวิตเล่า?!
ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนมาก แต่ลู่หยวนก็ไม่อยากเก็บคนเกียจคร้านไว้ใกล้ตัว!
เขาต้องการให้เยวี่ยอู๋ฉือตื่นรู้โดยเร็ว เมื่อนั้นนางก็จะกลายเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลังอีกคน!
“บุตรศักดิ์สิทธิ์…”
นางต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ทันทีที่คิดจะพูดออกมา ตนก็สัมผัสได้ถึงพลังแก่กล้าที่กดทับลงมาจากร่างของลู่หยวนราวกับฟ้าดินกำลังพังทลาย พวกมันบดขยี้ลงมาจนแทบหายใจไม่ออก
“หากเจ้าไม่ตอบตกลง เช่นนั้นข้า บุตรศักดิ์สิทธิ์ ก็จะสังหารทุกคนในสำนักกระบี่สวรรค์!”
เยวี่ยอู๋ฉือกลั้นหายใจก่อนจะตอบตกลงในที่สุด