ระบบวงแหวนครอบจักรวาล - บทที่ 85 เย่เฉินจบสิ้น!
บทที่ 85 เย่เฉินจบสิ้น!
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! ยาพิษกัดกินหัวใจ พิษสิบก้าว เป็นยาพิษที่ฉันสังเคราะห์ขึ้นจากพิษร้ายแรงกว่าสามสิบชนิด ไม่อาจรักษาได้ มันจะหายจากพิษนี้ในเวลาสั้น ๆ อย่างนี้ได้ยังไง!” เย่เฉินร้องลั่นด้วยความไม่เชื่อ
“ว่าแล้วเชียว! ฉันก็ว่าแล้ว คนสารเลวนี่มันไว้ใจไม่ได้ ที่แท้ยานี่มันไม่มีทางแก้ ฮึ่ม! แกเป็นคนใจทรามชั่วช้า เลวทราม!” เหมียวเถียนเถียนด่าทอด้วยความโมโห แต่เมื่อก้มลงมองดูสีหน้าที่กลับมาเป็นปกติของพี่ชาย ก็หันไปพูดกับหนิวลี่ด้วยความยินดีอย่างมากว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตพี่ชาย”
“เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องเป็นไปไม่ได้แน่ ๆ แกต้องใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อระงับพิษเอาไว้แน่ ๆ ยาพิษของฉันไม่มีทางแก้” เย่เฉินคำรามอย่างบ้าคลั่ง
หนิวลี่ส่ายหน้า กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าไม่รอดแล้ว ไปตายซะ!” พูดจบ พลังเวทมนตร์ก็เปลี่ยนเป็นธาตุลมอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว ใบมีดลมสีเขียวอ่อนก็ก่อตัวขึ้น
นี่คือข้อดีของจอมเวทระดับกลาง เมื่อมีแก่นธาตุแล้ว ความเร็วในการร่ายเวทก็เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
ทันทีที่ใบมีดลมก่อตัวขึ้น มันก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเย่เฉินเปลี่ยนไป เขาหันหลังกลับและคิดจะหนี
หนิวลี่ลงมือแล้ว จะปล่อยให้เขาหนีไปได้อย่างไร ใบมีดลมหมุนกลับกลางอากาศภายใต้การควบคุมของพลังวิญญาณ ในพริบตาเดียวก็เฉือนผ่านคอของเย่เฉิน
“อึก!”
ในทันที ศีรษะของเย่เฉินก็หลุดออกจากร่าง ร่างกายของเขาล้มลงกระตุกอยู่บนพื้น
“อุ๊!” นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวเถียนเถียนเห็นคนถูกฆ่าตาย ใบหน้าของเธอดูไม่ดีนัก เหมือนจะอาเจียนออกมา
ส่วนฟางเวย สีหน้าของเธอดูเศร้าหมอง คราวนี้ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับทางสภาเมืองอย่างไร
พลังวิญญาณของหนิวลี่แผ่ออกไป เขาไม่สนใจความคิดของพวกเขา แค่โบกมืออีกครั้ง ลูกไฟอีกลูกก็พุ่งออกไป
“นี่มันอะไร?” ฟางเวยเบิกตากว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ตูม!”
ลูกไฟปกคลุมร่างของเย่เฉิน เพียงพริบตาเดียว เปลวไฟก็ลุกโชน อุณหภูมิที่สูงจัดเผาร่างของเย่เฉินจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านภายในไม่กี่ลมหายใจ
ฟางเวยอ้าปากค้าง มองหนิวลี่ด้วยความหวาดกลัว นี่มันการกระทำของมนุษย์เหรอ? วิชาการต่อสู้แบบไหนกันที่พ่นไฟได้? ปีศาจชัด ๆ!
ในชั่วขณะนั้น ฟางเวยรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด ผู้อาวุโสคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ส่วนเหมียวเถียนเถียนนั้นไม่เข้าใจวิชาการต่อสู้ แม้จะตกใจกับการกระทำของหนิวลี่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่าฟางเวย
“เอาละ เรื่องเล็กน้อยจบลงแล้ว ข้าก็ไม่คิดจะทำร้ายผู้หญิง ปล่อยพวกเจ้าไปก็แล้วกัน” หนิวลี่หัวเราะแปลก ๆ แล้วบินจากไป ลอยตัวบนอากาศไม่กี่ครั้งก็หายวับไป
“ยอดฝีมือชัด ๆ!” เหมียวเถียนเถียนพูดชื่นชมด้วยความอิจฉา
หนิวลี่ออกมาจากที่เกิดเหตุ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มุมลับตาคน จากนั้นก็เดินออกมาด้วยท่าทางอารมณ์ดี
มองย้อนกลับไปที่ลานจอดรถใต้ดิน หนิวลี่สัมผัสจมูกอย่างจนใจ แท้จริงแล้วมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา แต่ทำไมพวกนั้นถึงต้องมาทานอาหารใกล้โรงแรมที่เขาพัก แล้วยังถูกพลังวิญญาณของเขารับรู้ได้อีก อันที่จริงแบบนี้ก็ไม่มีอะไร แต่ประเด็นคือไอ้สารเลวนั่นมันดันคิดโยนความผิดให้เขา!
เวรเอ๊ย! แม้ว่าเขาจะไม่สนใจว่าจะมีคดีฆาตกรรมเพิ่มอีกสักสองสามคดี แต่เรื่องแบบนี้ที่ต้องมารับเคราะห์แทนคนอื่น เขาไม่ทำแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้หมอนี่มันเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายที่เขารังเกียจ
สมน้ำหน้าที่โชคร้าย
หนิวลี่พึมพำออกมา จากนั้นก็ไปกินอาหารมื้อใหญ่ของตัวเองท่ามกลางเสียงโวยวายของเอลฟ์น้อย
เย่เฉินกลายเป็นเถ้าธุลี ฟางเวยไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาพี่ชาย เพราะตอนนี้ไม่ใช่การทะเลาะวิวาทธรรมดาแล้ว ความอันตรายและความแปลกประหลาดไม่อาจประเมินได้
ส่วนฟางเจิ้งที่กำลังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมบนทางหลวงหมายเลข 731 กับอาจารย์หมิงเยว่ เห็นว่าเป็นสายเรียกเข้าจากน้องสาว สิ่งแรกที่คิดคือมีเรื่องยุ่งยากมาให้จัดการอีกแล้ว กำลังจะกดวางสาย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ารับสายดีกว่า ไม่อย่างนั้นยัยเด็กนี่คงโทรจิกไม่หยุดแน่
“พี่คะ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ทันทีที่รับสาย เสียงคำรามราวกับสิงโตของฟางเวยก็ดังขึ้น
ฟางเจิ้งเบ้ปากทุกครั้งก็บอกว่ามีเรื่องใหญ่ แต่ทุกครั้งก็หลอกกันเล่น “เอาละ คราวนี้ยายแก่บ้านไหนข้อเท้าแพลง หรือเด็กบ้านไหนหายไปอีกล่ะ?”
“ไม่ใช่ค่ะ คราวนี้เรื่องใหญ่จริง ๆ เย่เฉินตายแล้ว” ฟางเวยพูดอย่างไม่พอใจ โกรธที่พี่ชายดูถูกเธอ
“อะไรนะ?” ฟางเจิ้งเปลี่ยนสีหน้าทันทีและอุทานออกมา
“ฉันบอกว่าเย่เฉินตายแล้วไงคะ เรื่องใหญ่หรือเปล่าล่ะ” ฟางเหว่ยพูดอย่างเย็นชา
“เล่ามาให้ละเอียดหน่อยสิ” ฟางเจิ้งปรับท่าที นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
“คืออย่างนี้นะคะ…” ฟางเวยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “พี่คะ พี่พอจะรู้จักวิชาตัวเบาที่ปล่อยลูกไฟได้บ้างไหมคะ?”
ฟางเจิ้งฟังที่ฟางเวยเล่าจบ ก็รีบบอกทันทีว่า “พวกเธออยู่ที่เดิม อย่าเพิ่งไปไหน พวกเรากำลังไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสาย ฟางเจิ้งก็วิ่งไปหาอาจารย์หมิงเยว่ที่กำลังตรวจสอบร่องรอยบนพื้นอยู่
“เอ๋ เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นอีกแล้วเหรอ” ชายชราลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยถามอย่างใจเย็น
ฟางเจิ้งตอบด้วยสีหน้าขมขื่น “ใช่แล้วครับ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มันเกิดขึ้นกะทันหันมาก เย่เฉินตายแล้ว”
“เย่เฉิน! แกบอกว่าเย่เฉินตายแล้วเหรอ?” สีหน้าของชายชราเคร่งเครียดขึ้นทันที “อธิบายให้ชัดเจนหน่อย เรื่องมันเป็นมายังไง”
“อาจารย์ครับ เราค่อย ๆ คุยกันระหว่างทางเถอะ ตอนนี้น้องสาวผมยังอยู่ที่เกิดเหตุ ระหว่างทางผมจะเล่าให้ฟังเอง” ฟางเจิ้งกล่าว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฟางเจิ้งขับรถมาถึงลานจอดรถใต้ดิน ตอนนี้ทั้งกานเสวี่ยและเหมียวจ้านฟื้นขึ้นมาแล้ว กานเสวี่ยนั่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ส่วนฟางเวยกำลังปลอบเธออยู่เบา ๆ
เหมียวจ้านนั่งสมาธิอยู่บนพื้นเพื่อปรับลมปราณ
หลังจากจอดรถ ฟางเจิ้งก็รีบวิ่งเข้าไปหา
“พี่ชาย ทำไมเพิ่งมา” ฟางเวยพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
ฟางเจิ้งไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “แล้วศพของเย่เฉินล่ะ”
“ไอ้คนชั่วช้าคนนั้นอยู่ตรงนั้น” ฟางเวยเบ้ปากไปทางหนึ่ง พร้อมกับใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม
ฟางเจิ้งและอาจารย์หมิงเยว่รีบเดินเข้าไปดู เมื่อเห็นกองขี้เถ้าสีดำบนพื้นก็ถึงกับสูดหายใจเข้าไปอย่างเย็นเยียบ!
น่ากลัวยิ่งนัก! ช่างรวดเร็วเสียจริง เพียงเวลาสั้น ๆ เท่านี้กลับเผาร่างคนจนมอดไหม้ได้ขนาดนี้ แม้แต่เปลวไฟในเตาเผาศพก็ไม่อาจทำได้ถึงเพียงนี้!
“ดูเหมือนว่าระดับก่อนสวรรค์ผู้นี้จะเหนือความคาดหมายของข้าเสียแล้ว ร่องลึกตรงนั้นถูกทำลายด้วยวิชากระบี่ลมปราณอันรุนแรง ข้าคิดว่าเป็นจอมยุทธ์กระบี่ผู้แข็งแกร่ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เขาผู้นี้จะแข็งแกร่งเกินกว่าที่ข้าคาดไว้เสียแล้ว” ชายชราหลับตาลง พูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดี?” ฟางเจิ้งถาม
อาจารย์หมิงเยว่ส่ายหัว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะแจ้งไปยังสำนักงานใหญ่ของพันธมิตรยุทธภพและสำนักต่าง ๆ แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ของสำนักมังกรฟ้าได้”
“สำนักมังกรฟ้าปล่อยให้คนชั่วแบบนี้ออกมาอาละวาด ยังจะมีหน้ากลับไปเหยียบย่างในยุทธภพอีกเหรอ”
พูดถึงสำนักมังกรฟ้าก็ไม่เท่าไร แต่พอนึกขึ้นมาได้ สีหน้าของฟางเจิ้งก็เย็นชาลง เมื่อครู่นี้เย่เฉินคิดจะฆ่าแม้กระทั่งน้องสาวของเขา ช่างเลวทรามต่ำช้าสิ้นดี
ชายชราพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ประเด็นคือ เขาผู้นี้มีข่าวลือว่าต้องการจะทำลายล้างสำนักมังกรฟ้า นี่เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ พวกเราต้องแจ้งให้สำนักมังกรฟ้าทราบ เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็เป็นสำนักใหญ่ที่มีชีวิตของผู้คนเกี่ยวข้องอยู่หลายร้อยชีวิต”
เรื่องนี้ฟางเจิ้งไม่ได้โต้แย้ง แม้ว่าความประทับใจที่มีต่อสำนักมังกรฟ้าจะแย่ลง แต่คนเราย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ลูกศิษย์ของสำนักมังกรฟ้าหลายร้อยคน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นแบบเย่เฉิน อย่างเช่นเถี่ยสงก็ยังนับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง
“อาจารย์ แล้วผมควรทำยังไงดี ฮือ ๆ พี่ใหญ่เย่ตายแล้ว พี่ใหญ่เถี่ยสงก็จากไปแล้ว ผมควรทำยังไงดี”
เมื่อได้พบกับท่านอาจารย์หมิงเยว่ กานเสวี่ยก็ร้องไห้น้ำตาไหลริน ชายชรามองไปที่ใบหน้าที่บวมเป่งของกานเสวี่ยแล้วถอนหายใจพลางปลอบว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ข้าจะไปคุยกับสำนักมังกรฟ้าเอง เจ้าพักรักษาตัวที่นี่เถิด”
“ค่ะ!” กานเสวี่ยพยักหน้าอย่างว่าง่าย ในเวลานี้เธอก็เหมือนกับเจอทางสว่าง ไม่ต้องหวาดกลัวไร้ที่พึ่งอีกต่อไป
“ไปกันเถอะ พวกเราไปที่ศาลากลางเมือง ตอนนี้คดีฆาตกรรมที่เมืองเอช พวกเรารับช่วงดูแลแล้ว” ชายชราหันหลังกลับไปมองหน้าฟางเจิ้งพร้อมกับพูดอย่างเคร่งขรึม
ฟางเจิ้งดีใจอย่างมาก จึงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
หลายชั่วโมงต่อมา…
ลูกศิษย์ที่ชายชราส่งไปสืบหาข่าวก็ทยอยกลับมา ทุกคนต่างไม่อยากจะเชื่อเมื่อได้ยินว่าเย่เฉินตายแล้ว คนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นเถี่ยสง
ตอนที่เขากำลังจะไป เย่เฉินก็กำลังได้เปรียบอยู่แท้ ๆ ทำไมพอเขาไปแล้วเย่เฉินถึงได้ตายไปได้! หรือว่าเวรกรรมตามสนองจริง ๆ!
แต่หลังจากที่ชายชราเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ทุกคนก็เงียบไป
ชายชราสังเกตสีหน้าของทุกคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ครั้งนี้เรื่องราวเกินกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้ ระดับความอันตรายอยู่ที่ระดับ S ดังนั้น ข้าจะแจ้งให้ผู้อาวุโสแต่ละสำนักเข้าร่วมกลุ่มปฏิบัติการ”
“ผู้อาวุโส!” ทุกคนที่กำลังครุ่นคิดต่างพากันตกใจ เรื่องนี้ต้องถึงขั้นให้ผู้อาวุโสลงมือเลยเหรอ! ศัตรูครั้งนี้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียว?
รู้กันอยู่ว่า ตั้งแต่ก่อตั้งพันธมิตรยุทธภพ ผู้อาวุโสเคยลงมือแค่ครั้งเดียว ซึ่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่ากลุ่มผู้อาวุโสน่ากลัวยิ่งนัก
‘เฮ้อ! ผู้อาวุโสอาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ก็ได้!’
ชายชราได้แต่คิดอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกมา เพราะเกรงว่าจะทำให้กองกำลังของพันธมิตรยุทธภพดูอ่อนแอ!