ระบบวงแหวนครอบจักรวาล - บทที่ 80 การโกหกมักมาพร้อมกับบทเรียนราคาแพง
บทที่ 80 การโกหกมักมาพร้อมกับบทเรียนราคาแพง
“อาจารย์! นี่มันอะไรกัน?” เหมียวจ้านตกใจอย่างมาก จ้องมองหนิวลี่ด้วยความไม่เชื่อ
“เฮ้อ! ในเมื่อนายเรียกฉันว่าอาจารย์ ก็เชื่อใจฉันเถอะ” หนิวลี่พูดพลางจับมือเหมียวจ้าน
เหมียวจ้านกำลังจะพูดอะไรออกไป ทันใดนั้นก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจจนพูดไม่ออก
“หมุนเวียนพลังภายใน เปิดเส้นลมปราณ” หนิวลี่ไม่ได้ขยับปาก แต่เสียงของเขากลับดังก้องอยู่ในหัวของเหมียวจ้านผ่านพลังจิต
เหมียวจ้านรู้สึกเพียงกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านมือของหนิวลี่เข้าสู่ร่างกายของเขา จากนั้นพลังภายในก็เริ่มหมุนเวียนตามคำพูดของหนิวลี่อย่างเป็นธรรมชาติ และด้วยการหลอมรวมของกระแสน้ำอุ่น พลังภายในที่ไม่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อยตลอดทั้งปีกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับน้ำพุ การไหลเวียนของพลังภายในร่างกายเกือบจะถึงขีดจำกัด
ภายในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ พลังภายในก็ไหลเวียนครบวงจร แต่กระแสน้ำอุ่นที่ถ่ายทอดมาจากร่างกายของหนิวลี่กลับถูกดูดซับไปเพียงหนึ่งในห้าเท่านั้น
“ปัง ปัง ปัง!”
เสียงการทะลวงระดับดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในร่างกาย เส้นลมปราณหลายเส้นที่ขัดขวางไม่ให้พลังภายในของเหมียวจ้านเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีถูกทะลวงจนหมดสิ้นในชั่วพริบตา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและลับตา นอกจากฟางเจิ้งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเล็กน้อยแล้ว เย่เฉินและคนอื่น ๆ ก็ไม่รู้ถึงการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหนิวลี่เลยแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน เย่เฉินกลับยิ่งหยิ่งยโสมากขึ้น “หากคิดจะท้าทายฉัน ก็ต้องเตรียมใจที่จะสูญเสียชีวิตไปด้วย นายมีความกล้าขนาดนั้นเหรอ?”
หนิวลี่ไม่ได้โต้แย้ง เขาควบคุมพลังวิญญาณเพื่อควบคุมพลังปราณของโลกและสวรรค์ แล้วหลอมรวมเข้ากับพลังภายในของเหมียวจ้านด้วยความเร็วที่เร็วขึ้น เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจนี้ทำให้พลังภายในของเหมียวจ้านเพิ่มขึ้นเกือบยี่สิบเท่า! ก้าวข้ามจากระดับหลังฟ้าขั้นกลางสู่ระดับหลังฟ้าขั้นสูงสุดในคราวเดียว
หนิวลี่ปล่อยมือออกจากมือของเหมียวจ้าน แม้แต่พลังวิญญาณระดับจอมเวทขั้นกลางอย่างเขาก็อดไม่ได้ที่จะมีเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก
การเพิ่มพลังยุทธ์ให้ผู้อื่นอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แค่ขยับมือไปมาเท่านั้น ในตอนนี้ พลังวิญญาณของหนิวลี่เกือบจะหมดไปหนึ่งในห้าภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
“ฮ่า ฮ่า!”
หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้ง เหมียวจ้านมองหนิวลี่ด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็หันไปมองเย่เฉินด้วยสายตาที่ท้าทาย “แม้ว่าฝีมือการต่อสู้ของข้าจะยังไม่เพียงพอ แต่การจัดการกับคนหยิ่งยโสอย่างเจ้าก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น”
เย่เฉินขมวดคิ้ว มองเหมียวจ้านอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “นายมันบ้า บอกมา จะสู้กันตอนไหน ที่ไหน?”
“เหมียวจ้าน เย่เฉินคือตัวแทนที่ส่งมาจากสำนักมังกรฟ้า นาย…” ฟางเจิ้งรู้สึกว่าไม่ดีจึงรีบเข้ามาห้าม แต่เหมียวจ้านก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะ “ฉันทนเห็นหน้าเจ้านี่มานานแล้ว เห็นตัวเองเก่งนักไม่ใช่หรือไง ก็แค่ฝึกฝนวิทยายุทธ์มาไม่กี่ปี คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในปฐพีแล้วรึไง วันนี้กล้ามาดูถูกอาจารย์ฉัน ฉันจะขอประลองฝีมือกับเขาให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่าวิชาของมังกรฟ้ามีอะไรดี ถึงได้ดูถูกคนอื่นอย่างนี้”
“พูดมากจริง” เย่เฉินกล่าว
“วันไหนก็วันนั้น วันนี้อากาศดี นายสนใจจะไปประลองฝีมือกันหน่อยไหม” เหมียวจ้านท้าทายด้วยสายตาที่เฉียบคม
“ดี!” เย่เฉินรู้สึกโมโหอยู่บ้าง เลยมีความคิดที่จะระบายอารมณ์ลงบนเหมียวจ้าน
เหมียวจ้านยิ้มเย็นชา พลังยุทธ์ที่หนิวลี่ช่วยเพิ่มให้เขาเมื่อครู่นี้ นอกจากจะทำให้เขาตกใจในความแข็งแกร่งของหนิวลี่แล้ว ยังรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้หาคู่ต่อสู้มาลองดีด้วย
เย่เฉินมาเจอปากกระบอกปืนเข้าพอดี ก็ต้องโทษว่านายโชคร้ายแล้วละ
เอลฟ์น้อยที่กำลังกลืนเนื้อปูก้อนใหญ่ลงคอ หันไปมองหนิวลี่พลางพูดว่า “พี่ชายนี่ร้ายกาจจริง ๆ”
หนิวลี่ยิ้มน้อย ๆ
แต่เอลฟ์น้อยกลับยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “แต่ฉันชอบนะ ฉันดูไอ้หมอนั่นแล้วรู้สึกหงุดหงิด ให้ไอ้ตัวใหญ่ซัดมันให้หนัก ๆ เลย!”
ไอ้ตัวใหญ่ที่เอลฟ์น้อยพูดถึงก็คือเหมียวจ้านนั่นเอง ไอ้หมอนี่ดูแข็งแรงมากจริง ๆ สูง 180 เซนติเมตร แม้จะไม่ได้ล่ำบึ้กนัก แต่กล้ามเนื้อบนตัวดูออกว่าผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วง
ฟางเจิ้งห้ามไม่อยู่ เพราะรู้นิสัยของเพื่อนสนิทดี จึงได้แต่มองเหมียวจ้านกับเย่เฉินเดินนำออกไปอย่างจนปัญญา
“พี่ชาย พี่เหมียวจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” ฟางเวยก็รู้ถึงความแตกต่างระหว่างเหมียวจ้านกับเย่เฉิน ใบหน้าอดไม่ได้ที่จะแสดงความกังวล
กานเสวี่ยดึงแขนฟางเวยพลางยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราไปดูกันเถอะ ถ้าพี่ชายลงมือหนักจริง ๆ ฉันจะขึ้นไปห้ามเขาเอง”
แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่กานเสวี่ยก็คุยกับฟางเวยอย่างสนุกสนานเพราะนิสัยที่อ่อนโยน
“อืม พวกเราตามไปดูกันเถอะ” ฟางเจิ้งรีบลุกขึ้น เขามองหนิวลี่อย่างแปลก ๆ ก่อนจะหันหลังรีบตามไปอย่างรวดเร็ว
เอลฟ์น้อยก็สนใจเช่นกัน เธอคว้าน่องไก่ชิ้นหนึ่งแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้พูดว่า “ฉันจะไปด้วย ฉันอยากดูไอ้ตัวใหญ่ซัดไอ้หมอนั่นให้หนัก ๆ ฮึ่ม… กล้าแอบมองฉันตาเยิ้ม ๆ ดีนัก”
คำพูดห้าว ๆ ของเอลฟ์น้อยทำให้กานเสวี่ยและฟางเวยเกือบล้ม ทั้งสองได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ มองเอลฟ์น้อยอย่างแปลก ๆ
หนิวลี่อึดอัดใจจนพูดไม่ออก ก้มหน้าเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในใจไม่คิดจะเตือนสติเอลฟ์น้อยอีกต่อไป เจ้าตัวเล็กนี่สมกับเป็นดาร์กเอลฟ์จริง ๆ ดุดันเอาเรื่อง
เหมียวจ้านกับเย่เฉินเลือกสถานที่บนดาดฟ้าของร้านอาหาร ที่นี่มีพื้นที่โล่งกว้างพอให้ทั้งสองคนได้ประลองฝีมือ
ตอนที่หนิวลี่กับเอลฟ์น้อยขึ้นมา ทั้งสองคนก็จัดท่าเรียบร้อยแล้ว มองหน้ากันอยู่
เอลฟ์น้อยกลืนเนื้อไก่คำสุดท้ายลงคอ แล้วตะโกนเสียงดัง “พี่ตัวใหญ่สู้ ๆ ซัดมันให้หนัก ๆ เลย!”
“ไอ้ ไอ้!” หนิวลี่อึดอัดใจดึงเอลฟ์น้อยไปอยู่ข้างหลัง ในใจถอนหายใจใหญ่ คราวนี้ขายหน้าไปถึงบ้านยายเลยทีเดียว
ฟางเจิ้งและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกตกใจกับนิสัยห้าว ๆ ของเอลฟ์น้อย แต่วัยรุ่นสมัยนี้ทำอะไรก็ได้ จึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรมากนัก
มีเพียงกานเสวี่ยและฟางเวยที่ทำหน้าโกรธใส่หนิวลี่
อย่างที่สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ลูกไม่สั่งสอนโทษความผิดพ่อแม่ ตอนนี้พ่อแม่ของหนิวลี่ไม่อยู่ข้างกาย แสดงว่าเด็กน้อยคนนี้ถูกหนิวลี่สอนให้เสียคน ช่างน่าโมโหจริง ๆ ผู้ชายคนนี้ช่างเลวร้ายจริง ๆ
หนิวลีกำลังเห็นใจเอลฟ์ตัวน้อย แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองต้องชดใช้ความโอ้อวดของเอลฟ์ตัวน้อยไปแล้ว หากรู้เข้าคงต้องอาเจียนเป็นเลือดสักสามลิตร ร้องไห้เสียใจจนฟ้าดินสะเทือน!
“ฮึ่ม ดูเหมือนว่านายจะเป็นคนไม่ดีจริง ๆ ฉันต้องสั่งสอนนายสักหน่อย ให้รู้จักขีดจำกัดของตัวเองซะบ้าง” เหมียวจ้านพูดอย่างอวดดี
เย่เฉินยังคงเพิกเฉยด้วยท่าทีสง่างาม ดวงตาเต็มไปด้วยความดูถูก
“มาเลย!” เหมียวจ้านตั้งท่าเป็นท่าต่อสู้ในกองทัพ
เทคนิคการต่อสู้ที่พัฒนาโดยกองทัพมีไว้เพื่อปราบปรามหรือฆ่าคน เหมียวจ้านเข้าร่วมกองทัพมาหลายปี ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเขี้ยวเสือ ประสบการณ์การต่อสู้จริงนั้นถือว่าสมบูรณ์แบบ ขาดเพียงพลังภายในที่ยังไม่เพียงพอ
วันนี้ได้รับความช่วยเหลือจากหนิวลี่ ทำให้ทะลุผ่านระดับหลังฟ้าขั้นกลางเข้าระดับหลังฟ้าขั้นสูงสุด เขามีพลังภายในที่แข็งแกร่งเป็นที่พึ่ง เหมียวจ้านจะไปกลัวเย่เฉินได้ยังไง ในตอนนี้แม้แต่จะเผชิญหน้ากับเถี่ยสง หัวหน้าหน่วยเขี้ยวเสือ เหมียวจ้านก็ยังกล้าโจมตี
“มาเถอะ อย่าให้คนอื่นพูดว่าฉันรังแกนาย” เย่เฉินกอดอกพูดอย่างแผ่วเบา ท่าทางภายนอกวางท่าราวกับเป็นปรมาจารย์
“เสแสร้งมากไปเดี๋ยวจะโดนฟ้าผ่า” เหมียวจ้านไม่ได้อธิบาย พุ่งเข้าใส่โดยตรง มือทั้งสองโบกสะบัด ตรงไปที่จุดตายของเย่เฉิน
“ความเร็วช้าเกินไป พลังไม่พอ!” เย่เฉินยังคงพูดชี้แนะ แต่จู่ ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป
เหมียวจ้านระเบิดพลังออกมาอย่างกะทันหัน พลังภายในระดับหลังฟ้าขั้นสูงสุดถูกใช้งาน ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า หมัดที่โบกสะบัดทำให้อากาศส่งเสียงหวีดหวิว
“ทำไมเหมียวจ้านถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้!”
ไม่ใช่แค่เย่เฉิน แม้แต่ฟางเจิ้งและฟางเวยต่างก็อ้าปากค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เป็นเพื่อนเล่นกันมาหลายปี ต่างฝ่ายต่างก็รู้จักกันดี ฟางเจิ้งกล้าพูดเลยว่า แม้ว่าเหมียวจ้านจะเข้าร่วมกองทัพมาหลายปี เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้เอาชีวิตในกองทัพ แต่ถ้าเทียบกับตัวเอง ตัวเองก็ยังเหนือกว่าเขาอยู่เล็กน้อย นี่คือความสามารถด้านพรสวรรค์ในการฝึกฝน ฟางเจิ้ง รับประกันได้
แต่ตอนนี้ พลังการต่อสู้ที่เหมียวจ้านแสดงออกมาทำให้ฟางเจิ้งต้องตาค้าง ความเร็วที่รวดเร็วเช่นนี้ประกอบกับหมัดที่มีพลังทำลายล้างสูง ฟางเจิ้งลองคิดดู หากเป็นตัวเอง ก็คงรับหมัดของเหมียวจ้านไม่ได้แม้แต่หมัดเดียว!
ความคิดนี้ทำให้ฟางเจิ้งรู้สึกอึดอัดใจ เพื่อนเล่นในวัยเด็กคนนี้ไปเจอโชคลาภอะไรมา ทำไมถึงแข็งแกร่งขึ้นมากขนาดนี้??
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนรับประทานอาหาร ฟางเจิ้งยังยืนยันได้ว่า เหมียวจ้านไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนี้!
หรือว่าเป็นเพราะเขา!
ฟางเจิ้งเหลือบมองหนิวลี่ กลับพบว่าหนิวลี่มีรอยยิ้มที่พอใจบนใบหน้า ทำให้ฟางเจิ้งยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาคงไม่กล้าเชื่อในการคาดเดาของตัวเอง หากเป็นเพราะหนิวลี่จริง ๆ เขาก็คงจะแข็งแกร่งมาก! เขายังเด็กอยู่เลยนะ!!!
ทางด้านนี้ผู้คนต่างตกตะลึง ส่วนอีกด้านหนึ่ง เย่เฉินกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย หลายครั้งเขาเกือบจะถูกหมัดอันน่าสะพรึงกลัวของเหมียวจ้านชกเข้าให้
เหมียวจ้านเป็นนักรบที่มีประสบการณ์มากมาย ตอนนี้พลังภายในของเขาแข็งแกร่งกว่าเย่เฉินอย่างเห็นได้ชัด เย่เฉินที่กำลังโอ้อวดอยู่นั้นไม่สามารถตอบโต้ได้ทัน ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่เพราะสำนักมังกรฟ้ายังมีวิชายุทธ์ที่ไม่เลวอยู่บ้าง ป่านนี้เย่เฉินคงพ่ายแพ้อย่างยับเยินไปแล้ว
“เป็นไปได้ยังไง! ไอ้หมอนี่ในข้อมูลเขียนไว้ว่าเป็นแค่ระดับหลังฟ้าขั้นกลางเท่านั้น ทำไมถึงกลายเป็นระดับหลังฟ้าขั้นสูงได้ในพริบตา! มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด!” เย่เฉินหลบหลีกอย่างสับสน ในใจเต็มไปด้วยความไม่เชื่อว่าเหมียวจ้านจะแข็งแกร่งกว่าตนเองได้