ระบบวงแหวนครอบจักรวาล - บทที่ 78 ฉันมาหาข้าวฟรีกิน
บทที่ 78 ฉันมาหาข้าวฟรีกิน
หลังจากทานอาหารเช้าไม่นาน หนิวลี่ก็ได้รับข้อความสั้นจากหลี่เตาปา
เปิดดูก็พบว่าเป็นการอธิบายคร่าว ๆ เกี่ยวกับพันธมิตรยุทธภพ
หลังจากอ่านจบ หนิวลี่ก็เงียบไป
สิ่งที่เรียกว่าพันธมิตรยุทธภพ ก็คือทีมที่ประกอบด้วยศิษย์หัวกะทิจากทุกสำนักในยุทธภพ และหน่วยงานที่ประกอบด้วยทหารที่ประเทศคัดเลือกมา พวกเขามักจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน แต่ทุกครั้งที่เกิดเรื่องที่ท้องถิ่นไม่สามารถแก้ไขได้ คนของพันธมิตรยุทธภพก็จะปรากฏตัว โดยทั่วไปแล้ว เมื่อคนของพันธมิตรยุทธภพปรากฏตัว ก็แทบจะไม่มีเรื่องใดที่พวกเขาแก้ไขไม่ได้ แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งมาก
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนในพันธมิตรยุทธภพยังชอบการต่อสู้ พวกเขามักจะจัดการแข่งขันฝีมือ หรือท้าทายสำนักเล็ก ๆ ในท้องถิ่น อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่หลงตัวเองว่าเก่งกาจหลังจากฝึกฝนวิทยายุทธ์
ครั้งนี้เมืองเอชได้รับความสนใจจากพันธมิตรยุทธภพ แม้ว่าคนของพันธมิตรยุทธภพจะยังไม่ปรากฏตัว แต่คนในวงการต่างก็เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น เพื่อไม่ให้ไปเผชิญหน้าโดยตรงและต้องตายอย่างไร้ค่า
หลี่เตาปาเตือนตัวเองในเวลานี้ แน่นอนว่าพันธมิตรยุทธภพจะต้องมาที่เมืองเอชในเร็ว ๆ นี้ หึ… พันธมิตรยุทธภพ งั้นก็ต้องรอดูกันว่าใครจะแน่กว่ากัน ระหว่างแกกับพวกของฉัน
หนิวลี่เก็บโทรศัพท์ แล้วพาเอลฟ์ตัวน้อยกับจ้าวหมาป่า เดินเล่นไปที่สถานีตำรวจในเมือง
ในขณะนี้ เป้าหมายของการพูดคุยทั้งหมด มิยาโมโตะ หัวหน้าผู้ดูแลกิจการในประเทศจีนของไตรภาคีกำลังนั่งอยู่ภายในวิลล่าอย่างเรียบเฉย เบื้องหน้ามีนินจาแขนเดียวยืนอยู่
“บาดแผลไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?” มิยาโมโตะมองนินจาและถาม
นินจาตอบด้วยน้ำเสียดุ ๆ “ตอนนี้คงที่แล้ว แต่ผมสูญเสียแขนขวาไป พละกำลังจึงลดลงอย่างน้อยสามส่วน!” ในน้ำเสียงมีทั้งความเกลียดชังที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ และความหวาดกลัวเล็กน้อยที่สังเกตเห็นได้ยาก
มิยาโมโตะถอนหายใจแรง “ที่แกพูดมานั้นจริงเหรอ พวกมันน่ากลัวขนาดนั้นเชียว??”
นินจาไม่พูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบ
มิยาโมโตะเยาะเย้ย “แต่ตอนนี้ไม่ใช่ยุคที่ผู้กล้ายุทธ์จะสามารถครองโลกได้อีกแล้ว ต่อให้เขามีวิทยายุทธ์สูงแค่ไหน ก็ยากที่จะต้านทานอาวุธปืนได้”
ดวงตาของนินจาที่ลืมอยู่เป็นประกาย ก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า “มิยาโมโตะ คุณไม่เข้าใจ เขาน่ากลัวมาก เว้นแต่จะลากเขาไปยังสถานที่รกร้างแห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วใช้อาวุธหนักถล่ม ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะทำร้ายเขาได้”
“หึ เรื่องนี้ฉันก็คิดไว้แล้ว ตอนนี้แกไม่ต้องกังวลไป ฉันมีวิธีเอง ส่วนเรื่องข่าวลือในประเทศจีนที่เป็นผลเสียต่อเรานั้น ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของไตรภาคีในประเทศจีน เรื่องของหลิวเปิ่นสงก็สามารถเริ่มได้แล้ว ฝึกฝนเขามานาน ส่งเขาขึ้นไปดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรี ก็ถึงเวลาที่เขาต้องทำคุณประโยชน์ให้กับไตรภาคีบ้างแล้ว”
“คุณจะทำอะไร” นินจาถาม
มิยาโมโตะยิ้มเย็นชา “ชาวจีนไม่ชอบเล่นการเมืองกันหรือไง ครั้งนี้เรามาเล่นเล่ห์เหลี่ยมกับพวกเขา ต้องรอดูว่าพวกที่ต่อต้านเราจะรับมืออย่างไรภายใต้นโยบายปราบปรามของจีน”
แววตาของนินจาเป็นประกายขึ้นมาทันที ภายในใจแอบชื่นชมมิยาโมโตะจริง ๆ สมกับเป็นผู้นำที่ไตรภาคีปลุกปั้นขึ้นมา
หลังจากเดินวนเวียนอยู่บริเวณรอบ ๆ สถานีตำรวจ หนิวลี่ก็ใช้จิตสัมผัสสังเกตการณ์ แต่ก็ไม่พบความคืบหน้าใหม่ ๆ ของคดีจากสถานีตำรวจเลย แม้กระทั่งการทำงานของสถานีตำรวจก็ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ทำให้หนิวลี่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง! ทำไมรัฐบาลถึงไม่สนใจคดีฆาตกรรมแบบนี้ไปได้? ทำไมถึงไม่มีการสืบสวนอย่างจริงจัง? คณะกรรมการประจำมณฑลได้ออกคำสั่งให้ปิดคดีภายในหนึ่งสัปดาห์!
คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก หนิวลี่จึงเบนสายตาไปเห็นตรอกเล็ก ๆ พร้อมกับเดินยิ้ม ๆ เข้าไป
เดินทะลุตรอกออกมาเป็นถนนสายใหญ่ ข้างถนนมีรถตำรวจจอดอยู่คันหนึ่งโดยที่ไม่มีใครอยู่ในรถ แต่นี่เป็นรถที่หนิวลี่จำได้ มันเป็นรถประจำตำแหน่งของฟางเจิ้ง หัวหน้าหน่วยสืบสวนของสถานีตำรวจ เขาเคยขึ้นไปนั่งครั้งหนึ่ง
และในขณะนี้ ฟางเจิ้งกำลังพาน้องสาวจอมขี้ลืมของเขาไปกินข้าวที่ร้านอาหารซึ่งรถตำรวจจอดอยู่ที่ชั้นสอง
“เตียวเสี้ยน ไปกินข้าวฟรีกัน” หนิวลี่พูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
“มีของกินด้วย!” ดวงตาของเอลฟ์น้อยเป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความสนใจ
หนิวลี่จูงมือเอลฟ์น้อยเดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางมีคนจำนวนไม่น้อยที่ถูกเอลฟ์น้อยดึงดูดสายตา ต่างก็มองด้วยแววตาเป็นประกาย เอลฟ์น้อยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก ทุกครั้งจะทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับทำให้คนอื่นอิจฉาหนิวลี่มากขึ้นไปอีก
เมื่อเดินขึ้นไปชั้นสอง หนิวลี่เดินไปที่ห้องส่วนตัวทางด้านขวาของร้านอาหารอย่างคุ้นเคย และหยุดอยู่ตรงห้องที่สาม
“ก๊อก ๆ ๆ!”
“เข้ามา!”
ประตูเปิดออก หนิวลี่เห็นคนห้าคนนั่งอยู่ในห้องส่วนตัว กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน
“นี่นาย!” คราวนี้คนที่เห็นหนิวลี่เป็นฟางเวย เธอนั่งอยู่ตรงข้ามประตูห้องพอดี เมื่อเห็นหนิวลี่ ในตอนแรกเธอก็ตกตะลึง จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่า ๆ ๆ หิวแล้วเลยมาขอแจมด้วยคน หัวหน้าฟางคงไม่ว่าอะไรนะ” หนิวลี่ หัวเราะแหะ ๆ แต่กลับทำสีหน้าจริงจัง ไม่มีท่าทางเขินอายเลยสักนิด ดูเหมือนจะหน้าหนาขึ้นเรื่อย ๆ
“อาจารย์!”
ฟางเจิ้งที่หันกลับมามอง ยังไม่ทันได้พูด แต่กลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนด้วยความดีใจ
หนิวลี่ถึงกับตกตะลึง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ไอ้หมอนี่เป็นใคร?
ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววดีใจอย่างเห็นได้ชัด เขารีบลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหาหนิวลี่ พร้อมกับพูดว่า “อาจารย์ ผมเป็นศิษย์เอกของท่าน ครั้งที่แล้วผมเห็นท่านเล่นบาสเกตบอล ยังไม่ทันได้ไปทักทาย หม่าเต้าเหว่ย ไอ้เด็กเวรนั่นก็ลากท่านไปแล้ว ผมรู้สึกผิดหวังมาก ไม่คิดว่าเรายังมีวาสนาต่อกัน ที่ได้มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ อาจารย์เชิญนั่งก่อนครับ” ชายหนุ่มพูดคนเดียว ไม่ใช่แค่หนิวลี่ที่งง แม้แต่คนอื่น ๆ ที่นั่งกินข้าวอยู่ในห้องก็งงเป็นไก่ตาแตก
“นี่ ๆ พูดแบบนี้ไม่ถูกนะ ฉันไปเป็นอาจารย์นายตั้งแต่เมื่อไร อย่ามั่วสิ” หนิวลี่ปัดมือที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นของชายหนุ่มออก พลางถอยหลังไปสองก้าว ในใจก็นึกเสียใจ คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอคนบ้าอะไรแบบนี้
“อาจารย์ครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันจริงจังกับการรับอาจารย์ น้องสาวผมสามารถเป็นพยานได้ ผมจริงใจอย่างแท้จริงนะครับ” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่สนใจสิ่งใด ใบหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
หนิวลี่มองจนตัวสั่น ช่างเป็นคนบ้าจริง ๆ!
“เหมียวจ้าน นายพูดอะไรน่ะ ไอ้หนุ่มคนนี้มีความสามารถอะไรกัน ถึงกับให้เธอรับเป็นอาจารย์?” ชายหนุ่มคนหนึ่งบนโต๊ะอาหารทนดูไม่ไหว ขมวดคิ้วถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ใช่ มันเป็นไอ้เลวชัด ๆ ไอ้เลวที่แท้จริง” ฟางเวยก็กัดฟันด่าอย่างดูถูก
แต่เหมียวจ้านกลับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “พวกเธอไม่เข้าใจหรอก อาจารย์ของฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่บอกพวกเธอไม่ได้ นี่เป็นอาวุธลับของฉัน”
หนิวลี่ยิ่งปวดหัว ไอ้หมอนี่ช่างหลงตัวเองเหลือเกิน แต่อีกคนหนึ่งน่ารังเกียจกว่า มันเป็นใครกันถึงกล้าดูถูกเขาขนาดนี้
หนิวลี่ไม่สนใจเหมียวจ้าน แต่หันไปมองฟางเจิ้งด้วยรอยยิ้ม
ฟางเจิ้งไม่ได้ดูถูกหนิวลี่ ในสายตาเขา หนิวลี่ช่างลึกลับและมีพลังไม่ธรรมดา
“เมื่อคุณหนิวให้เกียรติ เชิญมาร่วมรับประทานด้วยกันเถอะ”
“ขอบคุณหัวหน้าฟางครับ” หนิวลี่แทบไม่มองคนอื่นเลย ยิ้มน้อย ๆ แล้วเดินไปนั่ง
“เอ๊ะ เด็กผู้หญิงน่ารักจัง โอ้ น่ารักมาก ๆ” จู่ๆ หญิงสาวสวยที่นั่งข้างฟางเวยก็ตาเป็นประกายมองไปด้านหลังหนิวลี่แล้วร้องออกมา
เมื่อได้ยินเสียงอุทานของหญิงสาว คนอื่น ๆ ก็หันไปมองด้านหลังหนิวลี่โดยไม่รู้ตัว แล้วต่างก็ตาเป็นประกาย
โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ดูถูกหนิวลี่ ดวงตาฉายแววตื่นตะลึงและมีแววตัณหาแฝงอยู่
ใบหน้าอันงดงามของเอลฟ์น้อยไร้อารมณ์ แต่จิตสัมผัสรับรู้ได้ทันที จึงจ้องมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างโกรธเคือง ใบหน้าแสดงความดูถูก
“สวยจริง ๆ บอกมา เด็กผู้หญิงคนนี้เธอลักพาตัวมาใช่ไหม” ฟางเวยก็ต้านทานเสน่ห์ของเอลฟ์น้อยไม่ไหว ลุกขึ้นจ้องหนิวลี่อย่างโกรธเคือง
หนิวลี่เพิกเฉยต่อผู้หญิงหยาบคายคนนี้ ส่วนฟางเจิ้งตวาดเบา ๆ “ฟางเวย อย่าพูดเหลวไหล”
“ฮึ พี่ชาย พวกเขาไม่ดีเลย เราออกไปกินกันเองดีกว่า” เอลฟ์น้อยไม่ประทับใจคนที่นี่ ขมวดคิ้วพูดเบา ๆ
เสียงไพเราะตามธรรมชาติของเอลฟ์น้อยทำให้ทุกคนที่นั่นตะลึง ราวกับว่าเอลฟ์น้อยไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกมนุษย์ แต่เป็นเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์!
“เป็นเด็กผู้หญิงเหมือนเอลฟ์จริง ๆ” เหมียวจ้านพูดคำที่ทำให้หนิวลี่สะดุดใจ แต่เมื่อเห็นว่าเหมียวจ้านเพียงแค่ชื่นชมโดยไม่มีความหมายอื่น ก็รู้สึกว่าคนคนนี้อาจจะไม่แย่เท่าไร
“ฮึ พี่สาวก็เป็นเอลฟ์นั่นแหละ” เอลฟ์น้อยกลับทำหน้ายียวนแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
หนิวลี่นั่งลงข้าง ๆ ฟางเจิ้ง เอลฟ์ตัวน้อยก็เบียดมานั่งข้าง ๆ หนิวลี่เห็นอาหารเต็มโต๊ะก็ลืมทุกสิ่ง สายตาเป็นประกาย น้ำลายไหล
เหมียวจ้านหัวเราะแหะ ๆ ไม่สนใจสายตาใคร ๆ เบียดมานั่งข้าง ๆ หนิวลี่
หนิวลี่อารมณ์เสีย ทำเป็นไม่สนใจ