ระบบวงแหวนครอบจักรวาล - บทที่ 7 พันธสัญญาโลหิต
บทที่ 7 พันธสัญญาโลหิต
บทที่ 7 พันธสัญญาโลหิต
ด้วยความคิดที่เต็มไปด้วยความกังวล หนิวลี่เดินผ่านถนนไปสองสามสาย ก็มาถึงตรอกที่ค่อนข้างทรุดโทรม ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
ร้านอาหารนี้ชื่อ ‘ฮุ่ยหมิน’ มีเพียงสองชั้น ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เรียบง่าย บ่งบอกว่านี่เป็นร้านอาหารขนาดเล็ก
เมื่อหนิวลี่เข้าไปในร้านอาหารก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ในร้านมีคนนั่งอยู่ประปราย ปกติลูกค้าจะทยอยเข้ามารับประทานอาหารหลังจากบ่ายโมงครึ่ง
“อ้าว! หนิวลี่ มาแล้วเหรอ?” หญิงวัยกลางคนที่มีบุคลิกหน้าตาเป็นมิตรกล่าวทักทายเขาอย่างสนิทสนม
เธอคือพี่สาวเหอ พนักงานต้อนรับคนเดียวของร้าน เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงของครอบครัวหนิวลี่ ฐานะค่อนข้างยากจน เธอทำงานที่บ้านหนิวลี่มาหลายปีแล้ว
หนิวลี่ยิ้มตอบ “ป้าเหอ”
“หนิวลี่ รีบมาช่วยหน่อย” กู้ฮุ่ยผิงที่กำลังยกลังเหล้าเห็นหนิวลี่ จึงร้องเรียกขึ้นมาทันที
หนิวลี่ยิ้มให้ป้าเหอแล้ววิ่งไปช่วยแม่ทำงาน
หลังจากทำงานเสร็จ กู้ฮุ่ยผิงก็ยกถาดอาหารกลางวันที่มีสารอาหารครบห้าหมู่มาให้หนิวลี่ เขาไม่เกรงใจ ยกเข้าไปในออฟฟิศของพ่อแล้วเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
ระหว่างนั้น เอลฟ์น้อยในแหวนสรรค์สร้างก็ร้องโวยวายไม่หยุด น้ำลายไหลจนน่าสงสาร
กู้ฮุ่ยผิงเตรียมอาหารสองจานและซุปหนึ่งอย่างให้หนิวลี่ ต้องยอมรับว่าฝีมือของกู้ฮุ่ยผิงไม่เลว อาหารง่าย ๆ แบบชาวบ้านถูกผัดจนมีกลิ่นหอมฟุ้งอบอวลไปทั่ว กระตุ้นความอยากอาหารเป็นอย่างมาก
จนถึงตอนนี้ เอลฟ์น้อยเกิดมายังไม่ถึงหนึ่งวัน ไม่เคยได้กลิ่นอาหารที่หอมกรุ่นขนาดนี้มาก่อน จึงน้ำลายไหลพราก
หนิวลี่ขำเบา ๆ อาหารเพื่อสุขภาพที่แม่เตรียมให้เขา ตัวเองกินมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้สึกว่ามันอร่อยอีกต่อไป
หนิวลี่ก็มองไปรอบ ๆ เมื่อไม่เห็นใคร จึงแบ่งครึ่งหนึ่งเข้าไปในพื้นที่สร้างอย่างระมัดระวัง
เอลฟ์น้อยร้องว้าวขึ้น รีบกินอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว กินไปพลางพูดไปพลาง โดยที่อาหารเต็มปาก [อาอ่อยอัง อี้อายใอดีอี้อุดเอย อื้อ… ง้ำ ๆ] (อร่อยจัง พี่ชายใจดีที่สุดเลย)
หนิวลี่อ้าปากค้าง ไร้ซึ่งคำพูด
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ หนิวลี่ก็พาเอลฟ์น้อยที่ยังกินไม่อิ่มออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
หนิวลี่อยากทดสอบเรื่องที่เอลฟ์น้อยบอกว่าเขาสามารถใช้พลังเวทได้ เรื่องในตำนานอย่างการใช้เวทมนตร์กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา ทำให้หนิวลี่ตื่นเต้นและคาดหวังมากขึ้น
เขาเดินจนมาถึงโรงงานที่ถูกทิ้งร้างมานาน ที่นี่แทบไม่มีคนผ่านมาเลย เหมาะสำหรับการฝึกฝนเวทมนตร์
“เตียวเสี้ยน บอกมาหน่อยว่าจะยืมพลังเวทเธอได้ยังไง?” หนิวลี่ถามด้วยใบหน้าตื่นเต้น
เตียวเสี้ยนที่กำลังเลียไอศกรีมที่หวานชื่นอย่างเพลิดเพลินได้ยินแล้วก็พูดโดยไม่ยอมเงยหน้า [พี่ชายแค่ท่องคาถาว่า ‘ตามบทบัญญัติของเทพบรรพกาล แบ่งปันพลังเวทผ่านสัญญาโลหิต ผูกพันธะ!’ เท่านี้ก็ได้แล้ว]
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” หนิวลี่ตกตะลึงเล็กน้อย รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น เขารวบรวมสมาธิและท่องคาถาที่เอลฟ์น้อยบอกเงียบ ๆ
“ตามบทบัญญัติของเทพบรรพกาล แบ่งปันพลังเวทผ่านสัญญาโลหิต ผูกพันธะ!” ท่องจบ หนิวลี่ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที จากนั้นก็รู้สึกถึงออร่าที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย สัมผัสได้ถึงสวรรค์และโลก
ขณะเดียวกัน ความรู้สึกอบอุ่นก็ส่งผ่านแหวนมาที่นิ้ว ไหลเข้าสู่ร่างกายของหนิวลี่
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หนิวลี่ก้มมองร่างกายของตัวเองที่ยืนหลับตา รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
[ว้าว แบ่งปันพลังเวทได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์เลย! พี่ชายเก่งจัง] เอลฟ์น้อยวางไอศกรีมและเงยหน้าพูดอย่างประหลาดใจ
“แบ่งปัน? แปดสิบเปอร์เซ็นต์?” หนิวลี่ยังคงตอบสนองไม่ทัน
[พี่ชายโง่ นั่นหมายความว่าท่านสามารถยืมพลังของเตียวเสี้ยนได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์ จากร้อยไงล่ะ เอ๊ะ! พี่ชาย! ท่านถอดร่างจิตได้ด้วยเหรอ?] ใบหน้าของเอลฟ์น้อยเต็มไปด้วยความสงสัย!
“ถอดร่างจิต? หมายความว่ายังไง?” ในตอนแรก หนิวลี่ยังกังวลว่าทำไมตัวเองถึงแยกออกจากร่าง แต่เอลฟ์น้อยดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของเขา จึงถามขึ้นทันที
[ก็แบบที่ท่านทำเป็นไงล่ะ สามารถถอดวิญญาณออกจากกายหยาบได้ แบบนี้จะสามารถดูดซับพลังงานแห่งจิตวิญญาณเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังเวทมนตร์ของตัวเองได้เร็วขึ้น] เอลฟ์น้อยพูดด้วยสีหน้าอิจฉา
“นี่คือร่างจิตงั้นเหรอเนี่ย!” หนิวลี่คลายกังวล ที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องดี
[แต่พี่ชาย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านถอดร่างจิต ท่านไม่ควรจะอยู่นอกร่างกายนานเกินไป ไม่อย่างนั้นร่างจิตของท่านจะค่อย ๆ แตกสลายไป] เอลฟ์น้อยเตือน
“ถ้าร่างจิตสลายไปจะเป็นยังไง?” หนิวลี่ไม่อายที่จะถามต่อ เขากลายเป็นเอลฟ์น้อยในตอนเช้าไปซะงั้น
[ก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์น่ะสิเจ้าคะ] เอลฟ์น้อยหัวเราะคิกคัก
“ห๊ะ!” หนิวลี่ตกใจ รีบเข้าใกล้กายหยาบ สายตาพร่ามัวไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง ถอนหายใจเบา ๆ “อันตรายจริง ๆ!”
[พี่ชายขี้ขลาดจัง อายแทนจริง ๆ นักเวทหลายคนอยากจะถอดร่างจิตออกจากกายหยาบแต่ทำไม่ได้ พี่ชายกลับบอกว่าอันตราย] เอลฟ์น้อยพูดด้วยสีหน้าอิจฉาปนดูถูก
“ยากมากเหรอ? ฉันว่ามันง่ายนะ อยากออกก็ออกมาได้เลย” หนิวลี่ไม่รู้ตัวเลยว่าประโยคนี้ทำร้ายจิตใจคนอื่นแค่ไหน
[การถอดร่างจิตออกจากร่างกายเป็นเรื่องของพรสวรรค์ ถ้านักเวทมีพลังจิตที่แข็งแกร่งโดยกำเนิด เมื่อสัมผัสกับเวทมนตร์เป็นครั้งแรกก็จะสามารถสร้างร่างจิตได้ และถอดออกจากร่างกายเพื่อฝึกฝน นี่เป็นพรสวรรค์โดยกำเนิด ขณะฝึกฝนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้สองถึงสามเท่า ยังมีหนทาง แต่มีโอกาสน้อยมาก นั่นคือการฝึกฝนจนถึงระดับสูง แล้วบังคับรวมพลังงานแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งการทำแบบนี้อันตรายมาก ถ้าพลาดไปนิดเดียวก็อาจกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ หรือถูกพลังเวทย้อนกลับจนถึงแก่ชีวิต แม้แต่วิญญาณสูญสลายไป]
“พระเจ้า! อันตรายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย!” หนิวลี่ตกใจ จากนั้นก็เปลี่ยนมาดีใจในฉับพลัน “ถ้างั้นฉันก็จะเป็นที่อิจฉาของคนอื่นน่ะสิ?”
[อื้อ ๆ ฉันอิจฉาพี่ชายมาก แม้ว่าพลังจิตของเอลฟ์จะแข็งแกร่งโดยกำเนิด แต่ก็ยังห่างจากการสร้างร่างจิตอยู่นิดหน่อย ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีร่างจิตโดยกำเนิด] เอลฟ์น้อยพูดด้วยสีหน้าอิจฉา
หนิวลี่รู้สึกว่าตัวเองมีด้านที่เหนือกว่าเอลฟ์น้อย ตบอกตัวเองให้คำมั่นสัญญา “ไม่เป็นไร ต่อไปฉันจะปกป้องเตียวเสี้ยนให้ดี จะไม่มีใครกล้ารังแกเธอได้”
[พี่ชายใจดีจัง] ความอิจฉาบนใบหน้าของเอลฟ์น้อยกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขมาก
[แต่เตียวเสี้ยนก็ไม่ได้อิจฉามากหรอก เพราะฉันกับพี่ชายมีพันธสัญญาโลหิต ดังนั้นตราบใดที่พี่ชายฝึกฝนได้เร็ว ฉันก็จะเลื่อนขั้นได้เร็วเหมือนกัน] เอลฟ์น้อยพูดอย่างซุกซนทันใด
“จริงเหรอ? ฮ่า ๆ งั้นก็ดีเลย” หนิวลี่หัวเราะด้วยความดีใจ
[อื้ม ๆ ตราบใดที่พี่ชายขยันฝึกฝน เตียวเสี้ยนก็จะกลายเป็นเอลฟ์ระดับกลางได้เร็วขึ้น ฮิ ๆ เตียวเสี้ยนหวังว่าจะได้เป็นราชินีเอลฟ์] เอลฟ์น้อยพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ
“ไม่ต้องห่วง ฉันมีทั้งขนมปังและปาท่องโก๋” หนิวลี่รับปาก
“หยุดนะ! หยุด! ถ้าวิ่งต่อฉันจะยิงแล้วนะ!” เสียงตะโกนลั่นดังขึ้นอย่างกะทันหันนอกโรงงาน จากนั้น ร่างสองร่างก็วิ่งเข้ามาข้างใน
หนิวลี่งุนงงเล็กน้อย ยังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ก็ได้ยินเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นดังขึ้น “ดีจริง! เจอเหยื่อให้จับเป็นตัวประกันแล้วคนหนึ่ง!”