ระบบวงแหวนครอบจักรวาล - บทที่ 44 ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวได้
บทที่ 44 ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวได้
บทที่ 44 ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวได้
“คุณคะ เรื่องเก่า ๆ ก็อย่าพูดถึงมันเลย ตอนนี้พวกเราไม่ได้มีความสุขดีอยู่แล้วเหรอ” กู่ฮุ่ยผิงพูดพร้อมรอยยิ้มแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย ก่อนจะหันไปมองหนิวลี่ด้วยสีหน้าซับซ้อน “ลูกรัก ไม่ว่าลูกจะไปเรียนวิชาแบบนี้มาจากใคร แต่ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปใช้มันเลย บนโลกนี้มีหลายสิ่งที่ใช้กำลังในการแก้ปัญหาไม่ได้”
หนิวลี่พยักหน้ารับ แต่ในใจกลับครุ่นคิด ‘ใช้วิธีรุนแรงไม่ได้งั้นเหรอ? นั่นก็หมายความว่าพ่อกับแม่เคยเป็นยอดฝีมือมาก่อน แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับกฎเกณฑ์บางอย่าง แล้วกฎเกณฑ์แบบไหนกันล่ะ? แผนร้ายของพวกวงการสีเทา? หรือว่ากฎหมายของคนในแวดวงคนดี?
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างกัน ก็ยิ่งทำให้หนิวลี่สนใจในอดีตของพ่อแม่มากขึ้น
‘พ่อแม่ของฉันในอดีตต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ’
หนิวเปียวไม่ได้เค้นถามหนิวลี่อีกต่อไป ปล่อยให้หนิวลี่กลับห้องพร้อมกับพา ถิงถิง ไปด้วย ดูเหมือนว่าทั้งสี่คนคงมีเรื่องต้องคุยกัน
หนิวลี่เองก็ไม่ได้ขัดข้อง เพราะยังไงเขาก็สามารถใช้จิตสัมผัส สอดจิตอ่านใจ ฟังบทสนทนาของพวกเขาได้อยู่แล้ว
พอเข้ามาในห้อง ถิงถิงก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เธอทิ้งภาพลักษณ์เด็กดีที่แสดงต่อหน้าพ่อแม่ กลายเป็นกระต่ายน้อยที่ร่าเริง
“พี่ลี่ไปเที่ยวเขาเสินหนงเจี้ยมาแล้วเหรอ?” ถิงถิงถามด้วยแววตาเป็นประกาย
หนิวลี่แอบฟังบทสนทนาในห้องโถงไปด้วย พร้อมกับตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ถิงถิงอยากไปเที่ยวเขาเสินหนงเจี้ยด้วยหรือเปล่า ไว้วันหลังพี่พาไป”
“ไปค่ะ ไป ถิงถิงอยากไป” ถิงถิงรีบตอบรับทันที บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง ตั้งหนต้าตั้งตารอคอย
หนิวลี่ยีผมเด็กน้อย อย่างเอ็นดูแล้วอมยิ้มออกมา
แต่ในใจของเขาตอนนี้กลับตกตะลึงกับบทสนทนาของพ่อแม่ในห้องโถง!
ที่แท้พ่อแม่กับอาสองเคยมีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ แม้ว่าพวกเขาจะพูดไม่ชัดเจน แต่ก็มีการเอ่ยถึงแก๊งมังกรดำเมื่อยี่สิบปีก่อน แถมน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ดูก็รู้ว่าตอนนั้นพวกเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ
หนิวลี่ตัดสินใจว่าถ้ามีโอกาส จะต้องสืบให้ได้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้น แล้วพ่อแม่กับอาสองของเขามีบทบาทอย่างไรในตอนนั้น
คืนนั้นผ่านพ้นไปด้วยความสงบ เช้าวันรุ่งขึ้น ถิงถิงยังคงหลับสบาย น้ำลายไหลย้อยอยู่ที่นอน
หนิวลี่ไม่ได้ปลุกเธอ รีบลุกจากเตียงอย่างเงียบ ๆ แล้วพบว่าพ่อแม่ไปร้านอาหารแล้ว เหลือแค่อาสะใภ้ที่กำลังทำความสะอาดบ้าน ส่วนอาสองก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน
เมื่ออาสะใภ้เห็นหนิวลี่ก็คลี่ยิ้มออกมาทันที “พ่อแม่กับอาสองไปที่ร้านแล้ว วันนี้มีคนปิดร้านจัดงานเลี้ยง อาสองเลยต้องไปช่วยงาน”
หนิวลี่ได้แต่เงียบ ‘แบบนี้ก็เท่ากับว่าเรื่องของฉันจบลงแล้ว? ไม่คิดจะเค้นถามฉันอีกแล้วเหรอ? ว่าไปเรียนวิชาแบบนี้มาจากไหน?’
“เสี่ยวลี่ รีบไปล้างหน้าแปรงฟันเถอะ สายแล้วนะ วันนี้ยังต้องไปเรียนอีก” อาสะใภ้เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและเงียบขรึมมาโดยตลอด พูดจาไพเราะนุ่มนวล ทำให้ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
เขาพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ก็ออกจากบ้านไป
เด็กหนุ่มเลือกหาอาหารเช้าง่าย ๆ แถวบ้านทาน แล้วรีบไปโรงเรียน
วันนี้เขามาถึงโรงเรียนเช้า คาบแรกยังไม่เริ่มเรียน แต่เพื่อน ๆ ในห้องต่างก็มาถึงกันหมดแล้ว ต่างคนต่างตั้งใจทบทวนบทเรียน อ่านหนังสือเงียบ ๆ ไม่มีเสียงดังโหวกเหวกเหมือนทุกที
เมื่อเห็นหนิวลี่ ทุกคนต่างมองเขาด้วยความเกรงขามปนความประจบ
หนิวลี่พอใจกับความเปลี่ยนแปลงของห้องเรียนแบบนี้ นี่สิถึงจะสมกับเป็นห้องเรียนที่ควรจะเป็น! ตั้งใจเรียนหนังสือแบบนี้ดีแล้ว
พอเขานั่งลงที่โต๊ะ เพื่อน ๆ รอบข้างต่างก็พากันมาทักทายด้วยท่าทางประจบประแจง
เขาก็ไม่ได้ทำตัวหยิ่งยโส ตอบกลับทุกคนด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่?” นักเรียนคนหนึ่งวิ่งมาหาหนิวลี่ แล้วเรียกด้วยความเคารพ
หนิวลี่มองเขาแวบหนึ่ง จำได้ว่าเขาคือหัวหน้าห้อง ชื่ออะไรจำไม่ได้ รู้แค่ว่าก่อนหน้านี้เคยทำตัวกร่างมาก แต่ตอนนี้ดูแล้วค่อยยังชั่วหน่อย
หนิวลี่ยิ้มแล้วถาม “มีอะไรหรือเปล่า?”
“นี่ตารางเวลาทบทวนบทเรียนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และบันทึกการเรียนของเพื่อน ๆ ในห้องครับ เชิญพี่ใหญ่ประเมินหน่อย” หัวหน้าห้องยิ้มแหย ๆ ทำท่าทางเหมือนเป็นลูกน้อง
“อืม”
หนิวลี่มองสมุดบันทึกหนาเตอะที่หัวหน้าห้องยื่นให้ พยักหน้าแล้วพูดว่า “วางไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวผมดูให้ แล้วจะส่งต่อให้ครูประจำชั้นประเมินอีกที ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี แต่อย่างน้อยทุกคนก็มีความตั้งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพื่อน ๆ ทุกคนคงเหนื่อยกันน่าดู”
“ไม่เหนื่อยครับ ไม่เหนื่อย” หัวหน้าห้องยิ้มจนปากฉีก เหมือนกับคนถูกชมเป็นตัวเอง
“อืม ใกล้จะเริ่มเรียนแล้ว กลับไปที่ของตัวเองเถอะ” หนิวลี่พูดด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ครับ ๆ พี่ใหญ่มีอะไรก็สั่งผมได้เลยนะครับ ผมนั่งอยู่ข้างหน้าพี่นี่เอง” หัวหน้าห้องพูดพร้อมกับยิ้ม จากนั้นก็เดินไปนั่งที่โต๊ะแถวหน้า ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้หนิวลี่ อีกครั้ง
‘บ้าจริง ไอ้หมอนี่ ปกติชอบนั่งแถวหน้าโชว์พราวไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงถอยหลังไปตั้งไกลขนาดนั้น?’
หนิวลี่ได้แต่ส่ายหน้า ‘เลียแข้งเลียขาเก่งขนาดนี้ ในวัยเท่านี้คงไม่มีใครเกินเขาอีกแล้ว’
ไม่นาน ครูประจำวิชาภาษาจีนก็เดินเข้ามาในห้องเรียน เธอคือเจี่ยงเหรินเฟิงนั่นเอง
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่หนิวลี่รู้สึกว่าสีหน้าของครูประจำชั้นดูอ่อนโยนขึ้น แถมรังสีอำมหิตก็ดูจางลงด้วย
‘หรือว่าแม่เสือยิ้มยากคนนี้จะถูกหนุ่มคนไหนปราบพยศได้แล้ว?’ หนิวลี่คิดในใจอย่างแสบ ๆ คัน ๆ
“นักเรียนทุกคน เริ่มเรียนกันเถอะ” วันนี้เจี่ยงเหรินเฟิงพูดกับนักเรียนด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนและน้ำเสียงที่นุ่มนวลผิดปกติ
นักเรียนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ไม่กล้าจ้องมองเธอตรง ๆ ต่างพากันตั้งใจเรียนอย่างขะมักเขม้น มีเพียงหนิวลี่ที่นั่งจ้องด้วยความสนใจเป็นระยะ ๆ
คาบเรียนผ่านไปอย่างสงบ ไร้ซึ่งคลื่นลม แถมยังอบอวลไปด้วยความรักใคร่ระหว่างครูกับศิษย์ การเรียนการสอนเป็นไปอย่างราบรื่น ทำให้นักเรียนที่พอจะรู้สึกตัวได้ต่างพากันตกตะลึง แม่เสือยิ้มยากคนนั้นกลายเป็นแม่ชีใจดีไปได้ยังไง?
เสียงออดดังขึ้น เจี่ยงเหรินเฟิงสรุปเนื้อหาสำคัญอย่างรวบรัด ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ หมดเวลาเรียนแล้ว พักกันได้ เตรียมตัวเรียนภาษาอังกฤษคาบต่อไปได้เลย”
พูดจบ หญิงสาวก็รีบเดินออกจากห้องไป ท่าทางของเธอดูผ่อนคลายผิดปกติ
‘แปลกคนจริง ๆ ใครกันนะ ถึงมีฝีมือปราบแม่เสือยิ้มยากคนนี้ได้ สมควรเป็นแบบอย่างของฉันจริง ๆ’ เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบสมุดบันทึกการอ่านที่เพื่อน ๆ ในห้องรวบรวมมาให้ขึ้นมา ตัดสินใจถือไปหาเจี่ยงเหรินเฟิง
หนิวลี่เดินตามเจี่ยงเหรินเฟิงไปติด ๆ ไม่นานก็มาถึงห้องพักครู เขาเรียบเรียงคำพูดในใจสักพัก ก่อนจะเคาะประตูแล้วผลักเข้าไป
ในห้องพักครูมีครูอยู่หลายท่าน แต่ไม่มีใครสนใจหนิวลี่ที่เพิ่งเดินเข้ามาเลย ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงาน แต่กลับแอบฟังอะไรบางอย่างอย่างตั้งใจ
หนิวลี่กำลังจะเอ่ยปากทัก แต่ก็ต้องชะงักไป
ข้างโต๊ะทำงานของเจี่ยงเหรินเฟิงมีชายหนุ่มผู้ทรงอำนาจคนหนึ่งนั่งอยู่ ส่วน เจี่ยงเหรินเฟิงกลับยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางร้อนรน
ชายคนนั้นหนิวลี่เองก็รู้จัก เขาคือหลี่เตาปาราชาแห่งวงการใต้ดินของเมืองเอชที่กำลังมาแรง!
‘เวรแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? หรือว่าคนที่เปลี่ยนแม่เสือยิ้มยากคนนั้นคือหลี่เตาปา? บ้าไปแล้ว!’ หนิวลี่รู้สึกมึนงงไปหมด
“นักเรียนหนิวลี่?” เจี่ยงเหรินเฟิงสังเกตเห็นเด็กหนุ่มก็ร้องทักด้วยความประหลาดใจ
หลี่เตาปาได้ยินเช่นนั้น ก็หันมามองเช่นกัน แววตาที่ดูเฉยเมยพลันแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ จ้องมองหนิวลี่ราวกับเหยี่ยว
‘ซวยละ โดนจับได้ซะแล้ว’ หนิวลี่เอามือลูบจมูก รู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่ตัวเองตามมาดูเพราะความอยากรู้อยากเห็น ‘สุภาษิตโบราณกล่าวว่า ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวได้ นี่มันจริงแท้แน่นอนเลย!’