ระบบวงแหวนครอบจักรวาล - บทที่ 104 สำนักเก้าสายธาร
บทที่ 104 สำนักเก้าสายธาร
ยามราตรีงดงาม ณ ห้องประชุมแห่งหนึ่งในโรงแรมใจกลางเมืองเอช เหล่าผู้คนมากมายกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสและศิษย์ระดับหัวกะทิจากสำนักต่าง ๆ ในยุทธภพ ที่เดินทางมาเยือนเมืองเอช
ผู้นำกลุ่มได้แก่ปรมาจารย์หยวนจี้แห่งวัดเส้าหลิน ปรมาจารย์ชิงมู่แห่งสำนักบู๊ตึ้ง และปรมาจารย์ฮุ่ยหย่วนแห่งสำนักเอ๋อเหมย
ส่วนที่นั่งด้านข้างเป็นประมุขสำนักย่อย เช่น ยี่ถงปั๋ว เจ้าแห่งยุทธจักรเก้าสายธารแห่งหมู่บ้านชาวประมงเก้าสายธาร หลินมู่เสวี่ย คุณหนูแห่งตระกูลหลินแห่งเจียงหนาน และที่เหลือก็เป็นกลุ่มคนจากสำนักเล็กสำนักน้อยอย่างสำนักกระบี่เทพ สำนักมารเงา สำนักหมัดเหล็ก เป็นต้น
เป้าหมายของการหารือในครั้งนี้ก็คือ… หนิวลี่!
สิ่งที่ดึงดูดให้ชาวยุทธ์มากมายมารวมตัวกันก็คือฉายา ‘ผู้แข็งแกร่งระดับก่อนสวรรค์’
ไม่ว่าสำนักใหญ่หรือสำนักเล็ก ล้วนแล้วแต่ส่งตัวแทนอย่างน้อยหนึ่งถึงสองคน บางสำนักก็มากกว่าสิบคน ซึ่งทุกคนล้วนบรรลุขั้นสูงสุดของระดับหลังฟ้า เพียงก้าวข้ามขีดจำกัดก็จะบรรลุถึงระดับก่อนสวรรค์
เมื่อมาถึงระดับนี้ ชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศล้วนไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือการพัฒนาฝีมือยุทธ์ เพื่อก้าวสู่ระดับก่อนสวรรค์ในตำนาน นั่นคือความฝันของนักสู้ทุกคนที่ไปถึงขีดจำกัดนี้
อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ของหนิวลี่ที่ปรากฏต่อหน้ากลับทำให้ทุกคนรู้สึกกังวล
ทั้งกล่าววาจาหยาบคาย หยิ่งยโส ลงมือก็ทำร้ายผู้อื่น ความแข็งแกร่งและความโอหังของผู้แข็งแกร่งระดับก่อนสวรรค์ ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่น ดังนั้นจึงนำไปสู่การชุมนุมและสนทนากันในครั้งนี้
ในการประชุม นอกจากปรมาจารย์หยวนจี้ ชิงมู่และหยวนจี้ที่เคยเห็นฝีมือของหนิวลี่แล้ว สำนักเล็กสำนักน้อยอื่น ๆ กลับสนับสนุนให้ร่วมมือกันกำราบหนิวลี่ บังคับให้เขาเปิดเผยความลับของระดับก่อนสวรรค์
แต่ปรมาจารย์หยวนจี้และท่านปู่ชิงมู่ต่างรู้ดีว่า การใช้กำลังเป็นเรื่องอันตรายและไม่แน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการใช้กำลัง อีกฝ่ายต้องการใช้วิธีอ่อนน้อมเข้าหา
“ท่านปู่ชิงมู่ ผู้แข็งแกร่งระดับก่อนสวรรค์แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้พวกเรารวมพลังกันก็ไม่สามารถต่อกรได้?” ชายร่างกำยำจากสำนักกระบี่เทพเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ชิงมู่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “หากเจ้าคิดว่าสู้ได้ ก็ลองให้สำนักกระบี่เทพของเจ้าไปล้อมโจมตีเขาดูสิ ขออภัยด้วย สำนักบู๊ตึ้งของข้าไม่ขอร่วมด้วย”
“ฮึ่ม! ที่แท้สำนักบู๊ตึ้งก็ขี้ขลาดเช่นนี้ สำนักใหญ่โตแท้ ๆ กลับหวาดกลัวผู้แข็งแกร่งระดับก่อนสวรรค์ที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ช่างทำให้พวกเราเสื่อมเสียเกียรติ”
นี่คือคำพูดของชายวัยกลางคนร่างผอมบางจากสำนักมารเงา เขามีจมูกงุ้มเป็นเหยี่ยว ดวงตาสามเหลี่ยม แม้จะไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แต่กลับเผยร่องรอยความเจ้าเล่ห์ออกมาสามส่วน
“งั้นหรือ? ในเมื่อท่านประมุขชิวแห่งสำนักมารเงามีความกล้าหาญเช่นนี้ เชิญท่านเป็นผู้นำในการสั่งสอนเขาเถิด พวกเราจะได้เปิดหูเปิดตา” ชิงมู่เอ่ยโดยไม่แสดงท่าทีใด ๆ แต่ในใจรู้ดีถึงนิสัยของคนผู้นี้
“ฮึ่ม!” ชายจมูกเหยี่ยวมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
“เฮ้อ… แบบนี้ก็ไม่ได้ แบบนั้นก็ไม่ได้ พวกเราต่างแบกรับความหวังของสำนักเอาไว้ ไม่รู้จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร” ปรมาจารย์ฮุ่ยหย่วนแห่งสำนักเอ๋อเหมยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น
นางเองก็รู้จักนิสัยของปรมาจารย์หยวนจี้และปรมาจารย์ชิงมู่ดี พวกเขาไม่เห็นด้วยที่จะบีบบังคับบุคคลผู้นี้ แสดงว่าบุคคลผู้นี้ต้องอันตรายมาก จนไม่กล้าเอาสำนักมาเดิมพัน
“จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางเสียทีเดียว สิ่งที่พวกเราต้องการคือโอกาส… โอกาสที่จะสามารถติดต่อกับบุคคลผู้นี้ได้ เพียงแค่คว้าโอกาสไว้ได้ ก็ไม่เสียทีที่เป็นอีกหนึ่งหนทาง”
หลินมู่เสวี่ยแห่งตระกูลหลินเป็นผู้เอ่ยขึ้น
หลินมู่เสวี่ยมาจากตระกูลหลิน ซึ่งเป็นตระกูลนักวิชาการ ถึงแม้ว่าจะยึดมั่นในวิทยายุทธ์ แต่ส่วนใหญ่เป็นสุภาพบุรุษที่ชอบใช้กลอุบาย ดังนั้นในยุทธภพ ผู้แข็งแกร่งจากตระกูลหลินจึงถูกเรียกว่าขงเบ้งน้อย
ตอนนี้หลินมู่เสวี่ยเอ่ยปาก ทุกคนต่างก็คิดตาม เพราะเป็นคนที่เรียนรู้มาก ย่อมมีกลอุบายอยู่ในใจมากมาย
“ไม่ทราบว่าโอกาสนั้นคืออะไรหรือขอรับ” อวี๋ทงป๋อถามขึ้นอย่างมีความหวัง
“ความหวังดี” หลินมู่เสวี่ยยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ความหวังดี?”
ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่เรียกว่าโอกาสได้อย่างไร แล้วจะสร้างโอกาสแบบนี้ได้อย่างไร
“ฮ่า ๆ สิ่งใดที่ทำสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่วันสองวัน รอมาหลายสิบปีแล้ว จะไปสนใจเวลาอีกไม่กี่วันนี้ทำไม ข้าตรวจสอบมาแล้ว บุรุษผู้แข็งแกร่งระดับก่อนสวรรค์ผู้นี้ คาดว่าเป็นคนที่ต่อต้านกับไตรภาคีของญี่ปุ่น ทั้งสามฝ่ายตามล่าเขา ดูจากการกระทำแล้ว นับว่าเป็นผู้รักชาติ เหมือนจะเกลียดชังชาวญี่ปุ่นมาก พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้” หลินมู่เสวี่ยกล่าวต่อ
“อืม สิ่งที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล บุรุษปริศนาผู้นั้นดูเหมือนจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะกำจัดฐานที่มั่นของไตรภาคีในเมืองเอชได้ แต่พวกเราจะแสดงความหวังดีอย่างไร ต้องรบกวนท่านจัดการแล้ว” อวี๋ทงป๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ใฝ่ฝันถึงระดับก่อนสวรรค์มานานแล้ว ไม่รู้ว่าระดับนี้จะเหมือนในหนังสือที่บันทึกไว้หรือไม่ ช่างน่าหลงใหลจริง ๆ” หลินมู่เสวี่ยมีแววตาครุ่นคิด ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึก
ไม่ต้องพูดถึงความคึกคักของสำนักยุทธ์ต่าง ๆ ในตอนนี้ สำนักมังกรฟ้ากลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ศิษย์ทั่วไปถูกส่งตัวกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงศิษย์ระดับสูงที่มองจ้าวจื่อเหวินซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าหวาดกลัว รอฟังคำสั่งของเขา
จ้าวจื่อเหวินเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ดวงตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ถอนหายใจออกมา “พวกเจ้า… อาจารย์ลุงของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรียนผู้อาวุโสใหญ่ อาจารย์ลุงยังคงไม่ยอมกินยา และไม่พูดอะไรเลยขอรับ” ศิษย์ระดับสูงคนหนึ่งตอบ
จ้าวจื่อเหวินพยักหน้า ไม่พูดอะไรต่อ เขารู้สึกเห็นใจเย่หลานชิงที่ฝึกฝนมาหลายสิบปี กลับพังทลายลงในพริบตา แถมยังถูกศัตรูทำร้าย ชีวิตนี้คงไม่มีวันล้างแค้นได้ ความเจ็บปวดในใจคงยากจะบรรยาย
แต่จ้าวจื่อเหวินก็โกรธเย่หลานชิงเช่นกัน!
ถึงแม้เจ้าจะมีความแค้นที่ฝังรากลึก แต่การกระทำที่ไม่คำนึงถึงสำนักเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการทรยศต่ออาจารย์!
แต่ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องรับมือกับมันอย่างไร
สีหน้าของจ้าวจื่อเหวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันไปมองชายวัยกลางคนผู้นำเหล่าศิษย์หัวกะทิแล้วเอ่ยถามว่า “เถี่ยเจิน ศิษย์พี่มีอะไรตอบกลับมาบ้างไหม
”
เถี่ยเจินรีบตอบกลับ “เรียนผู้อาวุโส ท่านอาจารย์ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ให้พวกเรารีบออกจากที่นี่ รอจนกลับไปถึงค่อยมาคิดอ่านกัน”
“อืม!” จ้าวจื่อเหวินพยักหน้า เห็นทีตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้
ตกบ่าย สำนักมังกรฟ้าก็เริ่มเก็บข้าวเก็บของ จ้าวจื่อเหวินนำเหล่าศิษย์เเละสมาชิกเตรียมตัวกลับสำนัก
“ข้าไม่ไป!”
ทันใดนั้น เย่หลานชิงผู้ซึ่งเอาแต่เงียบก็แสดงเจตจำนงอันแน่วแน่ของตนออกมา
จ้าวจื่อเหวินจ้องมองเย่หลานชิงอย่างเงียบ ๆ ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เช่นนั้นก็ดี ศิษย์น้องเย่ โชคดี”
จ้าวจื่อเหวินพาเหล่าศิษย์และสมาชิกออกไป
ส่วนเย่หลานชิงเลือกที่จะอยู่ในสำนักมังกรฟ้า เขานอนอยู่บนเตียงในห้องนอน สายตามองออกไปยังต้นไม้ที่ร่วงโรยอยู่นอกหน้า สุดท้ายน้ำตาก็เอ่อคลอเบ้าตา
“เฮ้อ… ข้าช่างทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง ทำให้บรรพบุรุษผิดหวังเสียจริง”
กล่าวจบ ก็ยกมือขึ้นฟาดไปที่หน้าผากของตนเอง
ผู้คนมากหน้าหลายตาที่เพิ่งเดินทางมายังเมืองเอช ต่างปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ พวกเขาสืบหาข่าวสารต่าง ๆ รวบรวมสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วรายงานกลับไปยังสำนักของตน
ในบรรดาสำนักต่าง ๆ มีอยู่สำนักหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ
นั่นก็คือสำนักเก้าสายธาร!
สำนักนี้เป็นองค์กรที่หยั่งรากลึกอยู่ในเก้าสำนักย่อยมาหลายร้อยปี สมาชิกประกอบไปด้วยหญิงงามชั้นต่ำ บ่าวไพร่ ขอทาน และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็ได้ดึงดูดบุคคลชั้นยอดมากมายเข้าร่วมองค์กร กระจายตัวอยู่ทั่วทุกสารทิศ นับได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่รับรู้ข่าวสารได้รวดเร็วที่สุด
ในเมืองเอช ก็มีฐานที่มั่นของสำนักเก้าสายธารอยู่แห่งหนึ่ง
เดิมทีฐานที่มั่นแห่งนี้เป็นเพียงสถานีข่าวสารขนาดเล็ก แต่หลังจากที่ หนิวลี่ก่อเรื่องราวใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าผู้อาวุโสจากสำนักต่าง ๆ ก็พากันมารวมตัวกัน ทำให้เบื้องบนของสำนักเก้าสายธารเริ่มให้ความสนใจและจับตาดูอย่างใกล้ชิด ในที่สุด เมื่อทราบว่าในเมืองเอช มีผู้แข็งแกร่งระดับก่อนสวรรค์ เบื้องบนของสำนักเก้าสายธารก็ตกตะลึง พวกเขาจึงส่งคนจำนวนมากเข้ามาสืบสวนในเมืองเอชอย่างลึกซึ้ง
ปัจจุบัน ในเมืองเอช สำนักเก้าสายธารเป็นผู้ที่ครอบครองข่าวสารที่ครบถ้วน ทันสมัย และเป็นความจริงมากที่สุด
ดังนั้น สำนักต่าง ๆ จึงติดต่อกับคนของสำนักเก้าสายธารทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อหวังว่าจะได้รับข้อมูลที่ตนต้องการ
“ไนต์ฟีนิกซ์” ดูเผิน ๆ อาจเป็นเพียงผับตํ่าแถว แต่ภายในกลับหรูหราโอ่อ่า เป็นที่ซ่อนจุดนัดพบลับเฉพาะกลุ่มคนมีเส้นสายของสำนักเก้าสายธาร
“นี่น้องหนิวหนิว นี่เธออ้วนขึ้นนะเนี่ย ดูสิ ตรงนี้มัน…” ชายวัยกลางคนหน้าตาเจ้าเล่ห์พูดพลางเอื้อมมือไปบีบหน้าอกหญิงสาวรูปร่างสะดุดตาที่ชื่อหนิวหนิวอย่างหยาบคาย
“เจ้าบ้า! แกกล้ามาลวนลามฉันเหรอ ระวังฉันจะให้คนมาตัดมือแกทิ้งซะนี่” หนิวหนิวตอกกลับอย่างเหยียดหยันพลางปัดมือเขาออก
“ฮ่า ๆ ๆ ฉันยอมให้เธอบดขยี้ให้ตายคามือเลยละ” ชายคนนั้นหัวเราะลามก ทำให้คนรอบข้างพากันหัวเราะอย่างรู้กัน
“เชอะ เอาเงินมาสามพันสิ ฉันจะทำให้แกเลือดหมดตัวเลยเอามั้ยล่ะ” หนิวหนิวท้าทายพร้อมกับส่งสายตาเย้ายวน
“แพงเหมือนเดิมเลยนะ หลักสามนี่ฉันหาเด็กที่ฮอตที่สุดในร้านได้ทั้งคืนเลยนะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าเธอเด็ดแค่ไหน น้องใหม่ไฟแรงแค่ไหนก็ไม่เกินสามนาทีหรอก เสียเปรียบน่าดู” ชายคนนั้นส่ายหัว
ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า มีแต่คนโง่หรือไม่ก็รวยมากเท่านั้นถึงจะยอมเสียเงินให้หนิวหนิว เพราะไม่ว่าใคร เข้าไปในห้องกับเธอได้ไม่เกินสามนาทีก็ต้องออกมา แม้แต่ไวอากร้าก็เอาไม่อยู่ ทำเอาหลายคนเซ็งไปตาม ๆ กัน