ระบบล็อกอินสู่สวรรค์ [苟在女帝宫我举世无敌] - ตอนที่ 74 สวรรค์ขั้นที่หก องค์ชายทั้งห้าวางแผน!
ตอนที่ 74 สวรรค์ขั้นที่หก องค์ชายทั้งห้าวางแผน!
พรึ่บ!
เมื่อเสียงของระบบเงียบลง สุดยอดพลังปรากฏก็ขึ้นภายในมิติของระบบ
‘หืม? มันน่าจะเป็นทักษะที่ผู้พิทักษ์สุสานใช้ก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่นะ?’
หนิงฝานรีบตรวจสอบ
‘สุดยอดพลังนครอู๋หลิง เมื่อเปิดใช้งานจะควบแน่นร่างวิญญาณของสัตว์ในตำนานทั้งห้า แบ่งออกเป็นสามระดับคือ เสมือนจริง ความจริง และจิตวิญญาณ ยิ่งระดับสูงมากเท่าใด พลังการต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น’
‘เยี่ยม! มันคือทักษะที่ผู้พิทักษ์สุสานใช้ก่อนหน้านี้จริง ๆ ด้วย!’
หนิงฝานรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา จากคำแนะนำของระบบ เขาทราบแล้วว่าสุดยอดพลังนครอู๋หลิงที่ใช้โดยผู้พิทักษ์สุสานนั้นอยู่ในระดับเสมือนจริงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับทำให้อีกฝ่ายทะลวงสู่สวรรค์ขั้นที่เจ็ดได้!
หากสามารถไต่เต้าจนถึงระดับความจริง หรือจิตวิญญาณเทพเจ้า มันจะแข็งแกร่งเพียงใด!
‘ระบบ!’
‘หลอมรวมสุดยอดพลังนครอู๋หลิงให้ข้า!’
หนิงฝานแทบรอไม่ไหวที่จะฝึกฝนสุดยอดพลังนี้
พรึ่บ!
หลังจากฝึกฝนสุดยอดพลังนครอู๋หลิงแล้ว หนิงฝานก็เริ่มควบคุมมันโดยเปิดการใช้งานระดับแรก เสมือนจริง!
ตู้ม!
ในขณะที่เขาเปิดใช้สุดยอดพลังนครอู๋หลิง พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็ปะทุขึ้น เพียงชั่วพริบตาขอบเขตวิทยายุทธ์ของเขาทะลวงสู่สวรรค์ขั้นที่หกในทันที
ขณะเดียวกัน มังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว หงส์เพลิง เต่าดำ และกิเลน ตัวตนทั้งห้าคำรามกึกก้องดังอยู่รอบกาย
‘สุดยอดพลังนครอู๋หลิงนับว่ายอดเยี่ยมและทรงพลังยิ่ง!’
หนิงฝานถอนหายใจเบา สุดยอดพลังนครอู๋หลิงนี้นับว่าอยู่ในรายชื่อพลังยอดเยี่ยมห้าอันดับแรกในการต่อสู้
“เรื่องนี้…”
ในเวลานี้ เมื่อเห็นว่าหนิงฝานใช้สุดยอดพลังนครอู๋หลิงซึ่งเป็นพลังทางสายเลือดของเหล่าผู้พิทักษ์สุสานเทพ ผู้พิทักษ์สุสานพลันเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง
หนิงฝานเพียงยกยิ้มบาง ๆ และไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟัง
“อ้อ นี่ข้าก็ออกมานานแล้ว ควรกลับเสียที!”
“เจ้าเฝ้าอยู่ภายในสุสานนี้ต่อไป เดี๋ยวข้าจะมาเยี่ยมเยียนบ่อย ๆ!”
หนิงฝานกล่าวทิ้งทวนก่อนจะหันหลังจากไป
ในตอนนี้เองผู้พิทักษ์สุสานรีบกล่าวขึ้น “ท่าน… ท่าน… ท่าน… ข้าควรเรียกท่านว่า?”
“จวินซ่าง!”
หนิงฝานยิ้มพร้อมกับเดินออกจากสุสาน เหลือเพียงผู้พิทักษ์สุสานที่พึมพำคำว่าจวินซ่างซ้ำไปมา
…
ในไม่ช้า หนิงฝานกลับมาถึงตำหนักองค์หญิงอย่างเงียบเชียบ โดยไม่รบกวนหลัวชิงเซียนแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นหนิงฝานก็เริ่มฝึกฝน ก่อนจะแก้คำสาปอมตะในช่วงเวลากลางวันตามปกติ
และทุกคืนเขาจะไปที่สุสานเทพเพื่อลงชื่อเข้าใช้
สุสานเทพครอบครองวิถีอุบัติไว้มากมาย อีกทั้งมันยังนับว่าแข็งแกร่งยิ่ง เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันไร้ประโยชน์ไปอย่างนั้นแน่นอน
[ลงชื่อเข้าใช้สุสานเทพสำเร็จ ได้รับศิลาฝังมังกร]
[ลงชื่อเข้าใช้สุสานเทพสำเร็จ ได้รับหยาดเทวะไท่หยิน]
[ลงชื่อเข้าใช้สุสานเทพสำเร็จ ได้รับหญ้าแห่งชีวิตและความตาย]
“…”
เขาฝึกฝนซ้ำอยู่อย่างนี้นานกว่าสองปี
การฝึกฝนของหนิงฝานเลื่อนระดับอีกครั้งหนึ่ง อาศัยสมบัติที่ได้รับมาจากสุสานเทพ ทำให้เวลานี้เขาสามารถเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ยุทธ์สวรรค์ขั้นที่หกได้เป็นที่เรียบร้อย!
แม้ขอบเขตของเขาจะอยู่ในระดับสวรรค์ขั้นที่หก แต่หากต้องเผชิญหน้ากับปราชญ์ยุทธ์สามสวรรค์ขั้นสูง หนิงฝานก็ไม่ถือว่าอ่อนด้อยกว่า
ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ อาจเป็นเพราะเทพมังกรประทานโชคชราที่มอบไข่มุกเทพประทานโชคให้กับเจ้าตัวน้อย ราชวงศ์เทพขนนกจึงตกอยู่ในความโกลาหลอย่างไร้สิ้นสุด
…
ภายในพระราชวังเทพขนนก ณ วิหารทองคำ
ในการประชุมราชสำนัก องค์ชายทั้งห้าและขันทีเว่ย รวมถึงขุนนางและกองทัพทหารจักรวรรดิทั้งหมดต่างเผยสีหน้าขุ่นเคืองออกมา
เพราะภายในวิหารทองคำตอนนี้มีกล่องสิบกล่องวางตั้งไว้อยู่
และในกล่องทั้งสิบนี้ก็มีศีรษะถูกตัดขาด… โชกไปด้วยโลหิต!
“ไอ้บัดซบ!”
เมื่อมองศีรษะที่อยู่ในกล่อง องค์ชายหลินเทียนเยวี่ยนพลันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ศีรษะของคนทั้งสิบนี้คือราชทูตที่พวกเขาส่งไปยังวังของราชากบฏทั้งสิบ
ในช่วงหลายปีผ่านมา เพื่อปราบการก่อกบฏของราชาทั้งสิบ ราชวงศ์ส่งทูตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าไปเพื่อเจรจากับคนเหล่านั้น เพราะหวังว่าจะแก้ปัญหาพวกนี้โดยปราศจากการนองเลือด
แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความคิดของราชากบฏทั้งสิบยังไม่มั่นคงนัก บางส่วนยอมรับผลประโยชน์ บางส่วนเสนอเงื่อนไขกลับมา และบางส่วนเพียงขับไล่ทูตกลับพระราชวังเทพขนนกเท่านั้น
มันยังไม่หนักหนาถึงเพียงนี้
ราชากบฏทั้งสิบสังหารราชทูตทั้งหมดเพื่อบอกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจข้อเสนอ แล้วส่งศีรษะของคนเหล่านี้กลับสู่พระราชวังเทพขนนก
“ระยำนัก! พวกกบฏนั่นกล้าสังหารทูตจากราชวงศ์เทพขนนกอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ถือว่าพวกมันประกาศสงครามอย่างชัดเจนแล้ว!”
“บัดซบ! พวกมันคงแน่ใจแล้วว่าอยากทำสงครามกับราชวงศ์!”
“เหอะ ข้าเคยกล่าวไว้แล้วว่าสิบขุนนางผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นมากด้วยความทะเยอทะยาน ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์จากราชวงศ์มากเท่าใด สุดท้ายพวกมันก็จะก่อกบฏเช่นเดิม!”
“ต้องฆ่าเท่านั้น! เราต้องส่งกองกำลังออกไปจัดการกับพวกกบฏให้สิ้น!”
“…”
เพียงครู่เดียว ทุกคนภายในห้องโถงก็เผยความเกรี้ยวกราดออกมา!
“ท่านอาวุโสทั้งสามมีความเห็นอย่างไรหรือ?”
องค์ชายหลินเทียนเยวี่ยนหันมองขันทีเว่ย พร้อมด้วยปราชญ์ยุทธ์ทั้งสาม
แน่นอนว่าขันทีเว่ยโกรธมากเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้
“ฆ่ามัน!”
“เดิมทีเราต้องการพูดคุยก่อน แต่เป็นเพราะเหล่าราชาทั้งสิบฉีกหน้าพวกเราหมดสิ้นแล้ว จึงไม่อาจกล่าวว่าพวกเราหยาบคายได้!”
เว่ยเสวียนและอวี้เฉิงเอ่ยวาจาพร้อมปลดปล่อยจิตสังหารรุนแรง
หลังจากทั้งสองแสดงความคิดเห็นแล้ว สายตาของทุกคนก็หันมาจับจ้องขันทีเว่ยอีกครั้ง
ในฐานะทาสรับใช้คนสนิทขององค์จักรพรรดิเทพหลินไท่ซู ขันทีเว่ยอยู่ในขอบเขตที่ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ของราชวงศ์ ทว่าอำนาจของเขากลับมากล้นยิ่งกว่าผู้ใด
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ขันทีเว่ยคือตัวแทนขององค์จักรพรรดิเทพขนนกหลินไท่ซู!
“งั้นก็ฆ่าพวกมัน!”
เมื่อเห็นทุกสายตาจับจ้องอยู่ ขันทีเว่ยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมา
ทว่าไม่คิดให้ทุกคนเอ่ยขัดขึ้น ขันทีเว่ยกล่าวต่ออีกว่า “แม้อยากจะต่อสู้ แต่เราไม่อาจส่งกองกำลังออกไปอย่างไม่รอบคอบได้ สุดท้ายแล้วราชากบฏทั้งสิบย่อมฝังรากลึกแห่งอำนาจลงในดินแดนของตนเอง และภูมิหลังของพวกเขาก็ไม่อาจประมาทได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว ทุกคนจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“เวลานี้ชายชรามีแผนการ ลองรับฟังก่อน หากไม่ชอบค่อยพูดกล่าวกันในภายหลัง!”
ขันทีเว่ยเห็นว่าทุกคนเงียบเสียงลง จึงกล่าวต่อ “จากคำกล่าวที่ว่า หากจะจับโจร ต้องจับหัวหน้าโจรเสียก่อน ถ้าต้องการปราบปรามดินแดนผู้ทะเยอทะยานเหล่านั้นด้วยการจ่ายออกน้อยที่สุด วิธีที่ดีที่สุดคือจัดการกับราชากบฏทั้งสิบก่อน เราต้องเชื้อเชิญราชากบฏทั้งสิบเข้าสู่พระราชวังเทพขนนก จากนั้นเราจึงส่งกองกำลังไปปราบปรามกลุ่มกองกำลังของพวกมันภายหลัง ด้วยวิธีนี้เราจะใช้ความพยายามเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า!”
“ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว องค์ชายใหญ่หลินเทียนเยวี่ยนพยักหน้าพร้อมกล่าวถาม “สุดท้ายข้ายังมีคำถามสองข้อ”
“ประการแรก ราชากบฏทั้งสิบล้วนแต่มากด้วยไหวพริบ พวกเขาจะเข้าสู่ตำหนักเทพของเราอย่างเชื่อฟังได้อย่างไร?”
“ประการที่สอง เราไม่รู้ว่าเบื้องหลังของราชากบฏทั้งสิบ และการกระทำคราวนี้จะเป็นการเชิญชวนหมาป่าเข้าบ้านหรือไม่!”
เมื่อองค์ชายใหญ่กล่าวเช่นนี้แล้ว ขุนนางทั้งหมดจึงเผยความกังวลผ่านสีหน้าเช่นกัน
ในเวลานี้ ขันทีเว่ยจึงกล่าวเสริมว่า “ประการแรกที่องค์ชายสงสัย ทาสผู้นี้มีวิธี แต่การกระทำนี้อาจจะคล้ายดูหมิ่นต่อองค์จักรพรรดิ ซึ่งข้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถพูดกล่าวได้หรือไม่!”
“ไม่มีสิ่งใดที่เราจะสูญเสียอีกแล้ว ในเวลานี้เชิญอาวุโสเว่ยกล่าวคำเถิด!” องค์ชายใหญ่ตอบกลับ
ขันทีเว่ยพยักหน้าแล้วเอ่ยออกมาทันที “เวลานี้มีหนทางเดียวที่ราชากบฏทั้งสิบจะเชื่อฟังและเข้าสู่พระราชวังเทพขนนกคือ เราจะต้องประกาศสู่สาธารณชนว่าองค์จักรพรรดิเทพ… สวรรคต!”
“เช่นนั้น?!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนถึงกับตื่นตระหนก แต่หลังจากไตร่ตรองดูแล้วก็นับว่าเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน
ทุกคนมองไปที่องค์ชายทั้งห้า หลังจากหารือสักครู่ องค์ชายทั้งห้าก็ตัดสินใจที่จะใช้กลยุทธ์นี้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน หากกลยุทธ์นี้สามารถปราบปรามราชากบฏทั้งสิบได้ แม้หลินไท่ซูจะกลับมาในอนาคต เขาย่อมไม่กล่าวตำหนิพวกตนอย่างแน่นอน
“สำหรับประเด็นที่สองขององค์ชายใหญ่ อย่าได้เป็นกังวลไป หากเราไม่สามารถหลอกล่อให้ราชากบฏทั้งสิบให้เข้าสู่ตำหนักเทพได้ แต่เรามีความหวังมากเพียงใดที่จะได้รับชัยชนะหลังจากส่งกองกำลังออกไป?”
หลังจากขันทีเว่ยกล่าวคำ ขุนนางทุกคนจึงตระหนักได้ว่ามันสมเหตุผลแล้ว
“หากเป็นเช่นนั้น แผนการพูดคุยกับราชากบฏทั้งสิบจบลงเพียงเท่านี้!”
สุดท้ายแล้ว องค์ชายทั้งห้าก็เริ่มแผนการล่อเสือออกจากถ้ำกันอย่างช้า ๆ!