ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 771 : เขตดาวโบไลด์ – แสร้งเป็นผี
ตอนที่ 771 : เขตดาวโบไลด์ – แสร้งเป็นผี
เมื่อเห็นว่าซือเหลียนเสียเปรียบ คนของเมืองเป่ยฉวนต่างก็พากันกังวลขึ้นมา
“ฉันช่วยเอง ! ” หญิงสาวได้พุ่งเข้าไปในสนามรบ นี่คือผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขามาตลอด
หวังเย่าจำเธอได้ดี แม้ว่าเธอจะมีสีผิวที่เข้ม และหน้าตาดูเป็นหญิงวัยกลางคน แต่โดยรวมแล้วเธอก็ยังดูดีไม่น้อย
แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หวังเย่าจำเธอได้ แต่เป็นเพราะเธอนั้นทำให้หวังเย่ารู้สึกถึงอันตราย คนที่ทำให้หวังเย่ารู้สึกแบบนี้ได้นอกจากหัวหน้าของกองกำลังอื่น ๆ แล้วก็แทบจะไม่มีใครเลย
เธอเปรียบเหมือนกับเสือที่ว่องไวและดุดัน การเคลื่อนไหวของเธอคล่องแคล่วอย่างมาก และหลบการโจมตีของนายพลได้หมด
อาวุธของเธอคือมีดสั้น รวมถึงหมัดที่รุนแรง มันจึงทำให้เธอต่อสู้ระยะประชิดได้ดียิ่งขึ้น
มีดในมือของเธอแทงเข้าใส่ที่อกของนายพล เกราะสีแดงนั้นส่งเสียงราวกับเหล็กที่เสียดกันดังขึ้น แต่มีดนั้นกลับแทงทะลุเกราะได้จนเกิดรูเล็ก ๆ ขึ้น
มันเป็นแค่รูขนาดเท่ากับนิ้วโป้ง แต่นี่ก็ถือว่าน่าทึ่งมากแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าเกราะของนายพลเหล่านี้มีการป้องกันที่สูง แม้แต่คนเลเวลเท่า ๆ กันก็ใช่ว่าจะทำลายเกราะนี้ได้
ถึงจะปะทะกันมากว่าร้อยครั้งระหว่างซือเหลียนกับนายพล แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่อาจจะทำอะไรเกราะนั่นได้เลย
ตอนที่มีดแทงเข้าไปที่เกราะ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้ใช้ฝ่ามือของเธออัดเข้าไปพร้อมกับคลื่นพลังอันหนาวเย็นที่แล่นผ่านเข้าไปที่รูเล็ก ๆ ของเกราะ
มันทำให้นายพลถึงกับต้องผงะ มันดึงเอาดาบที่เอวออกมาแล้วฟันเข้าใส่ผู้หญิงที่อยู่ด้านหลัง
“ระวัง ! ” ซือเหลียนตะโกนขึ้นมา
การโจมตีของนายพลนั้นทรงพลัง มันรู้เรื่องนี้ดี เพราะการโจมตีนี้เพียงพอที่จะฆ่าคนที่ต่ำกว่าระดับนายพลได้ง่าย ๆ แม้แต่มันเองที่เจอกับการโจมตีระดับนี้ก็ทำได้แค่รับมือไว้ชั่วคราว การโจมตีของนายพลอสูรสูบเลือดไม่ใช่แค่ทรงพลังแต่ยังรวดเร็วอย่างมาก
แต่ตอนนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นกลับหลบการโจมตีด้วยท่าแปลก ๆ ก่อนจะพลิกตัวขึ้นไปยืนอยู่ที่หัวของนายพล
นายพลอสูรสูบเลือดอยากจะจัดการเธอต่อ แต่กลับมีเสียงดังขึ้นมาจากข้าง ๆ ร่างของมันเริ่มกลายเป็นน้ำแข็ง และน้ำแข็งก็ค่อย ๆ ลามไปทั่วเกราะของมัน
ในเวลาเดียวกันที่เกราะของมันก็เริ่มแตกออก แม้ว่าจะใช้ไฟเลือดในตัว แต่ก็ไม่อาจจะหยุดน้ำแข็งนี้ได้
สุดท้ายร่างของนายพลก็กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปในที่สุด
เมื่อเห็นแบบนั้นทุกคนก็พากันมองสองพี่น้องนี้ด้วยความตะลึง ไม่คิดเลยว่าแค่สองคนก็สามารถจัดการนายพลได้ง่าย ๆ นี่เป็นถึงนายพลระดับสูงของกองทัพอสูรสูบเลือด
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด เธอใช้มีดเหมันต์สินะ” มิยาโซะพูดขึ้นมา
ผู้หญิงคนนั้นยกมีดให้ทุกคนดูและเห็นว่ามีดนั้นมีชั้นน้ำแข็งปกคลุมอยู่ เธอมองไปที่มิยาโซะแล้วพูดขึ้น “ แค่มีดน้ำแข็งอย่างเดียว จะจัดการกับนายพลง่าย ๆ ได้ยังไง”
“บอกกันว่าโลกนี้มีพลังของกฎน้ำแข็งอยู่ ฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก น่าทึ่งจริง ๆ ” โม่ฟูเองก็สนใจมีดในมือของเธอเช่นกัน
ทุกคนรู้สึกว่าการที่สามารถแช่แข็งนายพลได้แบบนี้คือพลังของมีด แต่มีแค่ไม่กี่คนรวมถึงหวังเย่าเท่านั้น ที่รู้ว่ามันน่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์ของเธอเองด้วย
เมื่อมีดนี้เป็นสมบัติ งั้นซือเหลียนก็น่าจะได้สมบัติที่ทรงพลังมาเช่นกัน แต่เมื่อซือเหลียนไม่ได้มีดน้ำแข็งนี่มา แต่กลับตกอยู่ในมือผู้หญิงคนนี้ งั้นก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว
เมื่อเห็นนายพลที่พ่ายแพ้ไป นายพลอสูรสูบเลือดตัวอื่น ๆ ก็พากันตะลึงกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
“ดูเหมือนว่าไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่เป็นขยะ พวกนี้พอมีค่าอยู่บ้าง” นายพลอสูรสูบเลือดพูดขึ้นก่อนจะบอกกับนายพลรอบตัว “ครั้งนี้คู่ต่อสู้ไม่ธรรมดา พวกเจ้าอย่าให้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นเป็นอันขาด”
นายพลตัวอื่น ๆ ร้องออกมาเป็นการตอบรับ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาหวังเย่าและคนอื่น ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายส่งนายพลออกมาถึง 4 ตัว ทุกคนก็พากันแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
ความสามารถของนายพลนี้สูงเพียงพอที่จะได้เปรียบซือเหลียนได้ การสู้กับนายพลกว่าสี่ตัวต้องเป็นเรื่องยากแน่ ๆ
“ครั้งนี้ฉันจะทดสอบพลังของนายพลเหล่านี้เอง ! ” มิยาโซะยิ้มออกมา
“พี่มิยาโซะ ให้เราที่เป็นตัวแทนจากเมืองปูหยาง จัดการกับพวกนายพลนี้ช่วยเถอะ” โม่ฟู, เฉิงฉี และเฟิงหรง พากันก้าวออกมา
พวกเขาไม่อาจจะประมาทนายพลทั้งสี่ได้ แม้ว่ามิยาโซะจะเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ตาม แต่ต่อหน้านายพลทั้งสี่แล้ว แม้ว่าจะมาจากเมืองโบราณแต่ก็ยากที่จะรับมือได้
มันยังเหลือนายพลอีก 8 ตัว โม่ฟูไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะส่งนายพลออกมาอีกเท่าไหร่ในรอบต่อไป
“เมื่อน้องโม่พูดแบบนั้น งั้นเรามาร่วมมือกันกำจัดนายพลเหล่านี้เถอะ ” มิยาโซะตอบรับน้ำใจของโม่ฟู
กูเฉิงจุนเองก็คันไม้คันมือเหมือนกัน แต่กลับถูกหวังเย่ารั้งเอาไว้
เขามองไปที่หวังเย่าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อและถามขึ้นมา “การต่อสู้นี่ใช่ว่าจะชนะได้ง่าย ๆ นายไม่คิดจะไปช่วยพวกเขางั้นหรือ ? ”
“นายคิดว่าโม่ฟูจะกล้าออกตัวทำเรื่องที่เขาไม่มั่นใจรึไง ? ” หวังเย่าถามขึ้นมาแล้วพูดขึ้นต่อ “เมื่อเขาไม่คิดจะให้นายลงมือด้วย งั้นมันก็ต้องมีเหตุผล ที่นี่ไม่ธรรมดา โม่ฟูคงคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“งั้นหรือ ? เขาคิดจะท้าทายนายพลเหล่านั้นในนามของเมืองโบราณสินะ” กูเฉิงจุนพูดขึ้น
“นายคิดว่ามิยาโซะแข็งแกร่งรึเปล่า ? ” หวังเย่าถามขึ้นมา
“นี่…มันบอกได้ยาก พวกเขาต่างก็เป็นผู้เยาว์เหมือนกับนาย ถ้าไม่สู้กันจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าใครเหนือกว่ากัน” กูเฉิงจุนส่ายหน้าและพูดขึ้นมา
“ในอีกความหมายคือมิยาโซะจะเทียบกับซือเหลียนได้รึเปล่า ? ” หวังเย่าถามขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้ ! ” ครั้งนี้กูเฉิงจุนมั่นใจอย่างมาก “แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ซือเหลียนนั้นเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดในหมู่ผู้เยาว์ในเมืองเป่ยฉวน คนแบบนี้กับพี่โม่อยู่คนละระดับกัน มิยาโซะจะเทียบได้ยังไง ? ”
“ปัญหาคือจุดนี้ การเผชิญหน้ากับนายพล แม้แต่ซือเหลียนที่ว่าแข็งแกร่งกว่าก็ยังเสียเปรียบ แล้วมิยาโซะต้องรับมือกับนายพลทั้งสี่ตัว ถ้าเขาไม่มีวิธีการที่เขามั่นใจ งั้นเขาคงไม่กล้าเสนอตัวแบบนี้” หวังเย่าพูดขึ้นมา
จากการพบกันครั้งแรกทั้งคำพูดและท่าทางของมิยาโซะนั้นดูถ่อมตัวอย่างมาก แต่หวังเย่าเห็นว่าถึงมิยาโซะจะทำท่าทีอ่อนน้อมเช่นนี้ แต่เขาก็อยากที่จะเป็นผู้นำของทุกคน ความคิดของเขาลึกซึ้ง เขาอยากที่จะควบคุมทุกคนให้ได้ คนแบบนี้มีความทะเยอทะยานที่สูง เขาจะกล้าประมาทเผชิญหน้ากับนายพล 4 ตัวด้วยคนอีก 3 คนได้ยังไง ?
“นอกจากนี้ฉันก็คำนวณมาแล้ว มันต้องมีไพ่ลับอยู่” หวังเย่าพูดขึ้น ไม่งั้นแล้วคนจากเมืองโบราณคงไม่คิดออกไปสู้แบบนี้แน่
ไม่มีใครใส่ใจกับเด็กน้อยข้าง ๆ เขา ที่ดูอายุประมาณ 11-12 ปี แต่หวังเย่านั้นสนใจ เพราะเด็กนี่ไม่ได้แสดงท่าทีเคร่งเครียดออกมาแม้แต่น้อย เมื่อมิยาโซะบอกว่าจะสู้
ต่อหน้านายพล ไม่มีใครกล้าที่จะดูถูกพวกมัน แม้ว่าโม่ฟูจะเป็นคนที่แกร่งที่สุดในเมืองปูหยางและในอนาคตก็น่าจะได้สืบทอดตำแหน่งของจงเชิง แต่เขาก็รู้ว่านายพลตรงหน้าคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเจ้าเมืองได้
โม่ฟูดึงดาบออกมาก่อนจะฟันออกไปด้วยพลังสายฟ้าเข้าใส่นายพล ในฐานะนักดาบแล้ว พลังของเขาต่างจากเฟิงเทียน ทักษะดาบของโม่ฟูนั้นเด่นไปในทางเรื่องของความเร็ว
การโจมตีของเขารวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
นายพลพึ่งจะชักดาบออกมาแต่ก็โดนดาบของโม่ฟูฟันเข้าใส่เกราะจนเกิดรอยขึ้นมา แต่เกราะนี้แข็งแกร่งจริง ๆ ดาบไม่อาจจะทำลายเกราะของมันได้
เฉิงฉีและเฟิงหรงเองก็สู้กับนายพลอีกตัวเช่นกัน แม้ว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองจะไม่ได้ดีเท่ากับโม่ฟู เพราะพวกเขาเลเวลไม่ถึง 150 ด้วยซ้ำ แต่ด้วยการร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังพอสู้กับนายพลได้
ในฝั่งของเมืองโบราณนั้นต่างออกไป พวกเขานั้นดูลึกลับอย่างมาก
วิธีการต่อสู้ของพวกเขาไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูโดยตรง แต่ใช้ภาพลวงตาและความจริงสลับกันไป
ชัวชานและคนของเมืองโบราณอีกคนก้าวออกมา มือของพวกเขาไขว้ไปมาเรื่อย ๆ
ในตอนที่มือสลับไปมานั้น พลังอันแปลกประหลาดก็แผ่ออกมาจากทั้งสอง
“หือ ! ” นายพลอสูรสูบเลือดเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองคนก็ฮึดฮัดออกมาก่อนจะพุ่งเข้าหาพวกเขา
ต่อหน้าศัตรู มันไม่สนว่าจะอันตรายต่อคนอื่นรึไม่ มันไม่ได้สนใจคนอื่น ๆ แต่เมื่อนายพลพุ่งเข้าปะทะกับพลังที่แปลกประหลาดนั้น อยู่ ๆ ตัวของมันก็ชะงักไป
มันยืนอยู่กับที่พร้อมกับแสดงสีหน้าสับสนออกมา แม้ว่ามันจะไม่มีผิวหนังแต่ก็มีดวงตา ดวงตาของมันแสดงความสับสนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนต่างก็รู้ว่ามันสับสนกับพลังที่แปลกประหลาดที่คนเมืองโบราณได้ใช้ออกมานี้