ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 758 : เขตดาวโบไลด์ - การพบเจอ
ตอนที่ 758 : เขตดาวโบไลด์ – การพบเจอ
กว่า 3 วันมานี้ หัวหน้าฉินได้เลือกนักสู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุด 4 คน จากกลุ่มผู้เยาว์ในเมืองปูหยางเพื่อเข้าร่วมในแผนการครั้งนี้
เมื่อดูจากจำนวนผู้เยาว์ในเมืองและเวลาในการคัดเลือกแค่ 3 วัน การที่สามารถเลือกคนเหล่านี้ออกมาได้ ก็ถือว่าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากแล้ว
“4 คนนี้คือ โม่ฟู, เฟิงหรง, เฉิงฉี และกูเฉิงจุน พวกนายทำความรู้จักกันไว้ ยังไงซะภารกิจนี้ก็ไม่ธรรมดา พวกนายต้องร่วมมือกัน” จงเชิงบอกกับหวังเย่าและยู่เหมย
หวังเย่ามองไปยังทั้งสี่คน ทั้งสี่ดูไม่ได้แก่นัก พวกนี้น่าจะอายุไม่เกิน 300 ปี แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้น้อยนัก คนที่อ่อนแอที่สุดคือกูเฉิงจุนที่เลเวลมากกว่า 140
ในทางกลับกันแล้ว หวังเย่าและยู่เหมยนั้นเลเวลแค่ 120 หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าร่วมแผนการนี้ แต่ยู่เหมยนั้นยืนกรานจนหัวหน้าฉินหมดทางเลือก ได้แต่ให้เธอเข้าร่วมแผนการนี้ด้วย
“นายคือคนที่เจ้าเมืองแต่งตั้งมาสินะ ? ” โม่ฟูมองไปที่หวังเย่าและรับรู้ถึงระดับของหวังเย่าได้ก็แสดงสายตาไม่พอใจออกมา
คนอื่น ๆ อีกสามคนต่างก็เผยสีหน้าสับสนออกมา พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนเลเวลแค่ 125 ถึงได้เข้าร่วมแผนการนี้ด้วย
คนเหล่านี้คืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ในเมืองปูหยางที่คนส่วนมากต่างก็ยกย่อง หลายคนถึงกับมองว่าพวกเขาอาจจะมีสิทธิ์ขึ้นเป็นเจ้าเมืองในอนาคตด้วย ถึงจะไม่ได้มีอำนาจนัก แต่พวกเขาก็โดนผู้คนประเมินไว้สูง
หวังเย่ารู้ความคิดของคนเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว
“ครั้งนี้ฉันต้องร่วมมือด้วยเพราะมันเป็นภารกิจ และฉันว่าจะทำลายไข่ของราชา พวกนายคิดว่าดีรึไม่” หวังเย่าพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเย่า คนอื่น ๆ ก็พากันแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่เมื่อเห็นยู่เหมยเดินเข้ามา พวกเขาก็พากันแสดงสีหน้าสดใส พวกเขาเห็นผู้หญิงที่สวยมาหลายคนแล้ว แต่คนที่ดูสง่าแบบนี้หาได้ยาก
“เวลาสำหรับการลงมือนี้มีจำกัด เพราะมันเป็นเรื่องที่เร่งด่วน ทุกคนต้องออกเดินทางกันทันที ฉันหวังว่าพวกนายจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อกำจัดราชาตัวใหม่” จงเชิงพูดขึ้นมา
“รับคำสั่งเจ้าเมือง เราจะไม่ทำให้ท่านเจ้าเมืองผิดหวัง” โม่ฟูและคนอื่น ๆ พูดขึ้น
เมื่อร่ำลาจงเชิงและนายพลคนอื่น ๆ แล้ว หวังเย่ากับกลุ่มก็ได้เดินทางออกจากเมืองมุ่งหน้าไปยังรังของอสูรสูบเลือดทันที
หลังจากที่หวังเย่าและคนอื่น ๆ เดินทางออกไปได้ไม่นาน มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากับกระจกพยากรณ์
จงเชิงถึงกับต้องแปลกใจและรีบพาคนไปยังห้องโถงที่ตั้งของกระจก เขามองไปที่กระจกและพบกับลำแสงสองอันพุ่งลงมาจากฟ้า ตามมาด้วยภาพของเมืองเก่าแก่
“นี่มัน…เมืองเฟิงเทียน ! ” หัวหน้าฉินจำเมืองนี้ได้ทันที คนอื่น ๆ พากันสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมกระจกถึงได้แสดงภาพนี้ออกมา
จงเฟิงแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมาและพึมพำ “มันไม่ได้ปรากฏขึ้นมานานแล้ว มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง ! ”
ตอนนั้นจงเฟิงก็ได้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและพึมพำกับตัวเอง “แม้ว่าจะแปลกประหลาด แต่การทดสอบของเด็กนั่นคงยากขึ้นแน่ ๆ ”
แน่นอนว่าหวังเย่าไม่รู้เรื่องนี้ หลังจากที่เขาออกจากเมืองไป บรรยากาศระหว่างทางก็แปลกประหลาดขึ้นมา ท่าทีของโม่ฟูและคนอื่น ๆ ที่มีต่อหวังเย่านั้นเย็นชาอย่างมาก ระหว่างทางพวกนั้นไม่พูดคุยกับเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ยู่เหมยยังคงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นโดยเฉพาะจากคนที่ชื่อกูเฉิงจุน พ่อกับอาจารย์ของเขาเคยไปที่เมืองซีหลงมาแล้ว พ่อของยู่เหมยเองก็เป็นถึงเจ้าเมือง จึงเป็นธรรมดาที่เขาอยากจะผูกมิตรกับเธอ
คนอื่น ๆ เองก็หาเรื่องมาคุยกับเธอเช่นกัน แต่ด้วยนิสัยที่ต่างจากผู้หญิงทั่วไปแล้ว เธอจึงรู้สึกอึดอัดกับการที่คนเหล่านี้พยายามจะเข้ามาสนิทสนมด้วย ในทางกลับกัน หวังเย่าที่อยู่เงียบ ๆ กลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจมากกว่า
“ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรบ้าง นายคงไม่ได้รู้สึกผิดกับการร่วมมือในแผนการครั้งนี้หรอกนะ ? ” ยู่เหมยเดินมาหา หวังเย่าแล้วถามขึ้นมา
“เมื่อฉันรับปากว่าจะร่วมมือแล้ว ฉันไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอก แต่เป็นเธอต่างหาก พวกนั้นพยายามจะเข้าหาเธอ ทำไมเธอถึงไม่ไปคุยกับพวกเขาหน่อยล่ะ ? ” หวังเย่าถามขึ้นมา
“ฉันไม่รู้จักพวกนั้นดีเท่ากับรู้จักนาย” ยู่เหมยพูดขึ้น เธอรู้แล้วว่าหวังเย่าไม่ได้แข็งแกร่งแบบที่เธอคิดเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงเป็นกันเองกับเขามากขึ้น
แต่มันก็ทำให้เธอสงสัยมากกว่าเก่า ความต่างคือทั้งสองเลเวลแค่ 125 เท่ากัน แต่ทำไมหวังเย่าถึงได้แข็งแกร่งเกินกว่าคนเลเวล 130 ไปได้
“เป้าหมายของเราในครั้งนี้คือรังของราชาอสูรสูบเลือด แม้แต่คนเลเวล 150 ก็ยังยากที่จะเข้าไปได้ นายไม่กังวลสักนิดเลยรึไง ? ” ยู่เหมยถามขึ้นมา
“กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงซะราชาของพวกมันก็อยู่ในรังนั้นไม่ใช่รึไง ? ” หวังเย่าพูดขึ้นมา
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กังวล แม้ว่านี่จะเป็นมิติทดสอบ แต่หากเขาตายที่นี่ งั้นเขาคงตายจริง ๆ แต่ก็มีแค่การไปที่รังของอสูรสูบเลือดเท่านั้นที่จะทำให้เขาออกจากที่นี่ไปได้ นี่ไม่ต้องพูดถึงอสูรสูบเลือดเลย แม้ว่าจะมีนักรบที่แข็งแกร่งรอเขาอยู่แต่เขาก็ต้องไปที่นั่นอยู่ดี ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ว่าเขาลงมือแค่คนเดียว มันยังมีคนจากเขตอื่น ๆ มาด้วย นอกจากเมืองซีหลงและปูหยางแล้ว มันก็ยังมีคนจากเขตอื่นอย่างเป่ยฉวนและตงหยูมาอีก
ทวีปนี้กว้างใหญ่แต่แบ่งออกเป็นแค่ 7 เขต แต่ละเขตนั้นใหญ่พอ ๆ กับดาวเคราะห์ขนาดเล็กได้ ระยะห่างระหว่างเมืองปูหยางกับภูเขาบาซูอยู่ห่างกันกว่าล้านไมล์ โชคยังดีที่หวังเย่าไม่จำเป็นจะต้องบินไปเอง เขาแค่ใช้พาหนะที่คล้ายกับยานที่ถูกเรียกว่าเรือบินแทน
อันที่จริงมันคล้ายกับเรือที่แล่นอยู่ในทะเล นี่คือสมบัติที่ถูกนำมาใช้แทนพาหนะ มันบินได้รวดเร็วกว่าและราบรื่นกว่าแต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังกินเวลาเป็นเดือน กว่าที่พวกเขาจะไปถึงที่หมาย
“เธอรู้เกี่ยวกับภูเขาบาซูแค่ไหน ? ” หวังเย่านั่งอยู่ว่าง ๆ และอยากรู้เกี่ยวกับการเดินครั้งนี้ จึงได้ถามยู่เหมยขึ้นมา
“ภูเขาบาซูนั้นเป็นภูเขาในตำนาน ไม่มีใครกล้าเข้าไปตั้งแต่ที่ราชาอสูรสูบเลือดปรากฏตัวเมื่อร้อยปีก่อน ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่ ฉันเลยยังไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน”
“แต่ฉันได้ยินมาว่ามีเทพถูกส่งลงมา นั่นคือผู้ส่งสารของพระเจ้า ราชาอสูรสูบเลือดได้ยึดที่นั่นเป็นรังของตัวเอง แต่ไม่นานพวกมันก็จะทำให้พระเจ้าโกรธ และสุดท้ายก็จะโดนพระเจ้าลงโทษ” ยู่เหมยพูดขึ้นมา
“เธอเชื่อเรื่องพระเจ้าด้วยหรือ ? ” หวังเย่าถามขึ้นมา
ถ้าเขาเป็นเด็กทั่วไปในดาวโลกเหมือนในอดีต เขาอาจจะเชื่อในเรื่องพระเจ้า เพราะในมุมมองของเขาแล้ว พระเจ้านั้นไม่ต่างอะไรจากผู้บ่มเพาะระดับสูงเลย มันไม่มีพระเจ้าในโลกนี้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าคนที่เลเวลมากกว่า 100 อย่างยู่เหมยจะเชื่อในเรื่องพระเจ้าด้วย
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเย่า ยู่เหมยก็มองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจและพูดขึ้น “นายไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้างั้นหรือ นายโตมาในสังคมแบบไหนกัน ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีที่ไหนที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า”
เมื่อคิดถึงคำพูดของจงเชิงก่อนหน้านี้แล้ว เธอก็เริ่มที่จะคิดว่าหวังเย่านั้นน่าจะเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า
ขนาดเจ้าเมืองที่บ่มเพาะถึงระดับสูง ก็ยังเชื่อในเรื่องพระเจ้าเลย
“ฉันไม่รู้ว่านายมาจากที่ไหน แต่นายอย่าดูหมิ่นพระเจ้าจะดีกว่า ถ้านายโดนพระเจ้าลงโทษก็อย่ามายุ่งกับเราก็แล้วกัน” เฟิงหรงพูดขึ้นมา หลังจากที่พูดจบเขาก็มองไปที่ยู่เหมยแล้วพูดขึ้น “เธอควรอยู่ห่างจากเขาจะดีกว่า คนแบบนี้ไม่คู่ควรจะอยู่ด้วยหรอก”
หวังเย่ามองไปที่เฟิงหรง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเกรงกลัว ในอดีตนั้น หวังเย่าเคยเจอคนแบบนี้มามาก แม้แต่ขุมกำลังที่ใหญ่เขาก็ยังท้าทายมาแล้ว
บางทีการใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบนี้คงไม่ต่างจากโลกที่เขาอยู่มา แต่ที่ต่างกันคือพวกนี้แค่แสดงความรู้สึกออกมาโดยตรง
ด้วยความเชื่อในพระเจ้าของคนเหล่านี้ ทำให้เขาสงสัยว่ามันจะมีสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าอยู่จริง ๆ งั้นหรือ ?
ไม่งั้นแล้วทำไมคนที่แข็งแกร่งในเมืองปูหยางถึงได้เชื่อในพระเจ้าขนาดนี้ได้
เมื่อไม่ได้ข้อมูลอะไรจากยู่เหมย และคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้มีท่าทีดีนัก หวังเย่าก็คิดจะใช้เวลานี้ไปกับการบ่มเพาะแทน
ในตอนที่หวังเย่ากำลังจะทำการบ่มเพาะอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังผันผวนเกิดขึ้นมาใกล้ ๆ พลังนี้แกร่งขึ้นมาเรื่อย ๆ และระยะห่างของมันก็เข้าใกล้เรือบินเข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
ปัง !
อยู่ ๆ ก็มีลูกไฟพุ่งเข้ามาพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้น
โล่ของเรือบินได้ทำงาน แต่ก็ทำให้เรือบินสั่นไหวอย่างรุนแรงเพราะการโจมตีนี้
หวังเย่าลืมตาขึ้นและมองไปที่ด้านล่าง ก่อนจะพบกับสิ่งมีชีวิตที่ส่องแสงสีแดงก่ำออกมา พวกมันพากันบินขึ้นมาหาเรือ