ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 757 : เขตดาวโบไลด์ – เทพในตำนาน
ตอนที่ 757 : เขตดาวโบไลด์ – เทพในตำนาน
ต่อหน้าท่าทีจริงจังของจงเชิงแล้ว หวังเย่าก็รู้สึกว่าคำพูดของจงเชิงนั้นถูกต้อง แต่การเข้าร่วมภารกิจที่อันตรายเพื่อฆ่าราชานั้น เขาก็ยังไม่เต็มใจอยู่ดี
หลังจากที่ลังเลได้สักพัก เขาก็เลือกที่จะตกลงกับจงเชิงเพื่อร่วมภารกิจนี้ มันไม่ใช่เพราะความปลอดภัยของทวีป แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าภารกิจนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการทดสอบของเขา
เขาได้เข้ามาในพื้นที่ทดสอบโดยไม่ได้มีคำบอกใบ้ใด ๆ เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อหาทางที่จะทำภารกิจให้เสร็จและออกจากที่นี่
จงเชิงเห็นว่าหวังเย่าตกลง ก็พูดขึ้นมา “เดี๋ยวเรื่องนี้ให้หัวหน้าฉินจัดการ ยู่เหมยเดินทางมาไกลถึงที่นี่ เธอควรที่จะพักก่อน”
ในตอนที่หวังเย่ากำลังจะเดินออกไป จงเชิงก็พูดขึ้น “น้องเย่าอยู่ต่อก่อนจะได้หรือไม่ ฉันยังมีเรื่องที่จะพูดคุยกับนาย”
หวังเย่าเดินตามจงเชิงไปที่ห้องหนังสือ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจงเชิงถึงให้เขาอยู่ต่อ
จงเชิงมองไปที่หวังเย่าแล้วเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมา “นายน่าจะไม่ใช่คนของทวีปนี้สินะ”
หวังเย่าแปลกใจแต่ก็ยังแสดงท่าทีเยือกเย็นออกมา “เจ้าเมืองคงหมายถึงคิดว่าผมเป็นผู้บ่มเพาะที่มีอายุยืนยาวไม่ใช่คนของยุคนี้สินะ แต่ยังไงผมก็ถือว่าเป็นคนอยู่ดี”
“มันมีหลายเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในโลกนี้เมื่อร้อยปีก่อน มีข่าวลือว่ามีคนออกมาจากอีกด้านของโลก ฉันไม่รู้ว่าน้องเย่าเคยได้ยินเรื่องเทพในตำนานรึเปล่า ? ” จงเชิงถามขึ้นมา
“เทพ ? ” หวังเย่าขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไร
แต่เมื่อจงเชิงพูดถึงอีกด้านของโลก หวังเย่าก็ใจสั่นขึ้นมา เจ้าเมืองเหมือนจะรู้ความลับบางอย่าง
“ตำนานบอกว่ามีพระเจ้าอยู่ในอีกด้านของโลก ทวีปนี้โดนสร้างขึ้นโดยเหล่าเทพ เทพได้ออกจากโลกนี้ไป แต่ไม่ได้ทิ้งผู้คนให้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ดินแดนนี้มีปัญหา งั้นพระเจ้าก็จะส่งเทพมาช่วยผู้คนเพื่อแก้ปัญหา”
“เมื่อร้อยปีก่อน ราชาอสูรสูบเลือดได้มายังดินแดนนี้ ผู้คนได้พบกับหายนะที่ไม่เคยเจอมาก่อนในรอบพันปี ตอนนั้นพระเจ้าได้ส่งคนมาเพื่อจัดการกับวิกฤตครั้งนั้น ” จงเชิงพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หวังเย่าก็สงสัยนิด ๆ เกี่ยวกับเทพ คนไหนกันที่ถูกเรียกว่าเป็นเทพของคนเหล่านี้ อีกฝ่ายมาจากที่เดียวกันกับเขาหรือไม่ แต่มันก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าคนเหล่านั้นเป็นเทพ และเขาเองก็ไม่ใช่ผู้ส่งสารของพระเจ้า แต่เป็นแค่ผู้ทดสอบที่เข้าร่วมการทดสอบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันก็แค่ตำนาน สำหรับตำนานแบบนี้มันจะจริงแค่ไหนก็คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้
เมื่อเห็นว่าหวังเย่าไม่ได้พูดอะไรออกมา จงเชิงก็พูดขึ้นต่อ “ไม่กี่วันก่อนฉันได้ตรวจดูกระจกทำนายและพบการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย”
“การเปลี่ยนแปลงนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ตอนที่ราชาอสูรสูบเลือดมายังดินแดนนี้ ตอนนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับกระจกทำนาย” เขาเงียบไปชั่วครู่และมองไปที่หวังเย่า “ตอนนั้นมีข่าวเรื่องราชาได้ให้กำเนิดอสูรสูบเลือดรุ่นใหม่ออกมา”
“มันคือสมบัติที่เอาไว้ใช้ทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครั้งนี้มันคงเกี่ยวข้องกับการกำเนิดราชาคนใหม่ แต่เพราะตำแหน่งที่กระจกบอกนั้นไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่อสูรสูบเลือดยึดเอาไว้ ดังนั้นฉันเลยไม่มั่นใจ แต่ทันทีที่เห็นนาย ฉันก็รู้ว่านายมีคลื่นพลังที่แปลกประหลาด คลื่นพลังที่ไม่ใช่คนของโลกนี้ นายไม่ใช่คนของโลกนี้แต่มาจากอีกด้านที่ฉันไม่รู้จัก ! ” จงเชิงพูดขึ้น
หวังเย่ารู้ว่าเขาประเมินความรอบรู้ของจงเชิงต่ำเกินไป เพราะอีกฝ่ายถึงกับมองตัวตนของเขาออก
เมื่อเห็นสีหน้าของหวังเย่า จงเชิงก็พูดขึ้น “ฉันไม่ได้คิดร้ายอะไรกับนาย ตำนานบอกว่าเทพนั้นได้ให้ความหวังกับโลก ภารกิจของนายคงเป็นการช่วยคนของโลกนี้”
“ในเมื่อคุณมองออกว่าผมเป็นใคร งั้นคงมองออกว่าผมเลเวลยังไม่ถึง 130 ผมไม่ได้มีความแข็งแกร่งแบบคุณที่จะรับมือกับราชาอสูรสูบเลือดได้ ผมทำได้แค่ช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เท่านั้น” หวังเย่าพูดขึ้น
ถ้าภารกิจของการทดสอบคือการช่วยโลกนี้จริง ๆ งั้นมันก็ยากสำหรับคนแบบเขาอย่างมาก
“ถ้าทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ นายก็จะอยู่ในโลกนี้ไปตลอดกาล นายจะปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นภารกิจของนายหรือผลประโยชน์ของนายก็ตาม ฉันเชื่อว่านายเป็นเทพ นายต้องมีทางที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้” จงเชิงพูดขึ้น
“คุณเรียกชื่อผมก็พอ ผมไม่ใช่เทพอะไรหรอก” หวังเย่ารู้สึกว่าตัวตนที่จงเชิงให้กับเขานั้นสูงส่งเกินไป มันมาพร้อมกับภารกิจที่ไม่รู้ว่าเขาจะแบกรับไหวหรือเปล่า
ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าเขาเป็นเทพที่จงเชิงพูดถึง เพราะในมิตินี้เขาคือผู้ทดสอบ
“จริง ๆ แล้วมันไม่จำเป็นที่จะต้องกำจัดอสูรสูบเลือดทั้งหมดเพื่อออกจากโลกนี้” คำพูดของจงเชิงนั้นทำให้หวังเย่ามีความหวังขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดขึ้นต่อ “ใน 7 เขตทั้งหมดของดินแดนนี้ บาซูมีภูเขาอยู่ เมื่อปีนขึ้นไปบนยอดเขาและเปิดการทำงานของค่ายกลด้านบนก็จะออกจากโลกนี้ไปได้ แต่เขตบาซูเป็นเขตแรกที่โดนราชาอสูรสูบเลือดยึดไป ตอนนี้ยอดเขาเป็นรังของอสูรสูบเลือด หากคิดจะออกจากดินแดนแห่งนี้ งั้นก็ต้องเข้าไปในรังของราชาอสูรสูบเลือดอยู่ดี”
“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ! ” หวังเย่ากลอกตาใส่ ชายคนนี้คิดจะกล่อมเขาเลยพูดแบบนี้ออกมา เมื่อเขารู้ทางออกจากที่นี่ งั้นหวังเย่าก็ปฏิเสธปัญหาที่เข้ามาได้
ในเวลาเดียวกันที่อีกด้านของโลก
หยุนซีได้นำคนของตระกูลหยุนเข้าปะทะกับผู้พิทักษ์ทั้งสอง ก่อนที่สุดท้ายจะมายังทางเข้าโคลอสเซียมได้
เมื่อเห็นจารึกตรงหน้า พวกเขาก็พากันหยุด
“พี่สี่ ที่นี่ดูแปลก ๆ มันไม่ธรรมดาแบบตะกี้แน่ ตะกี้คงเป็นแค่การทดสอบ” หยุนเชาพูดขึ้นมา ตอนนี้เขาเกือบจะหมดสติแล้ว มือของเขากว่าครึ่งนั้นแห้งราวกับเศษไม้
แค่สู้กับผู้พิทักษ์ก็ทำให้พวกเขาเจ็บตัวอย่างมาก พวกนั้นแข็งแกร่งอย่างที่คาดไม่ถึง ถ้าไม่ใช่เพราะเล่ยหยานช่วยหยุดการโจมตีไว้ได้ทัน งั้นมือของเขาคงโดนสูบเลือดไปหมดแล้ว
“ท่านสี่ เราเสียเวลาไม่ได้แล้ว ถ้าเด็กนั่นหนีไปได้ เราก็เสียเวลาเปล่า ๆ ” เล่ยหยานพูดขึ้นมาและหันไปมองที่อุโมงค์ทางเข้าของโคลอสเซียม
“นอกจากจารึกนี้แล้วก็ยังมีรูปปั้นอยู่รอบ ไม่แปลกใจเลย ผมคิดว่าเราควรตรงเข้าไปที่นั่น” เล่ยหยานพูดขึ้นและเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่นำไปสู่โคลอสเซียม
หยุนซีขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เชิงเฟิงและโรม่าก็พากันสังเกตสถานการณ์รอบ ๆ เพื่อคอยรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิด
ตอนที่เล่ยหยานเดินออกไปจากอุโมงค์ก็พบกับโล่พลังที่ขวางทางเขาเอาไว้
“กำแพงกาก ๆ แต่คิดจะหยุดฉันงั้นหรือ” เล่ยหยานฮึดฮัดออกมาและยกหมัดขึ้นต่อยเข้าใส่โล่พลังนั้นทันที
ปัง !
กำแพงพลังโดนอัดอย่างแรงแต่มันไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย การกระทำนี้เหมือนจะปลุกผู้พิทักษ์ขึ้นมา
“ระวัง ! ” เชิงเฟิงตะโกนออกมา
เล่ยหยาน หันกลับมาพร้อมกับพบร่างสีเทาที่พุ่งเข้ามาหาเขา
ปัง !
หมัดได้อัดเข้าใส่เล่ยหยานจนเขากระเด็นออกมา เล่ยหยานที่เด่นเรื่องการป้องกันกลับกระอักเลือดออกมา เกราะตรงส่วนหน้าอกของเขาพังออก
เล่ยหยานกระเด็นตกลงไปถึงพื้น ถึงได้เห็นว่าคนที่โจมตีเขาคือรูปปั้น นี่คือหนึ่งในรูปปั้นที่ยืนอยู่บนขั้นบันได
หยุนซีและคนอื่น ๆ เห็นว่าเล่ยหยานบาดเจ็บก็พากันแปลกใจ พวกเขารู้ดีว่าเล่ยหยานมีการป้องกันที่เด่นแค่ไหน แต่ต่อหน้ารูปปั้นนี้แล้วกลับถึงกระอักเลือดออกมา
รูปปั้นนี้แข็งแกร่งแค่ไหนกัน !
“นี่คือส่วนที่สามของหุบเขา พื้นที่แห่งการทดสอบ มีไว้เพื่อการทดสอบเท่านั้น ผู้ที่สร้างปัญหาต้องตาย” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหุบเขา
เสียงที่ดังขึ้นมานี้ทำให้สีหน้าของหยุนซีและคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปทันที พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย
“เสียงตะกี้เหมือนจะดังขึ้นมาจากจารึก” สุดท้ายโรม่าก็มองไปที่จารึกแล้วพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าแปลกใจ
หยุนเชาพูดขึ้นมา “ในเมื่อนี่เป็นพื้นที่ทดสอบ ฉันคิดว่าหวังเย่าอาจจะเข้าไปในการทดสอบนั้นแล้ว เข้าไปฆ่ามันในการทดสอบเถอะ”
หยุนซีพยักหน้าและพูดขึ้น “ถ้ามันทำการทดสอบอยู่จริง ๆ เราอย่าให้จิตนี่รู้ดีกว่าว่าเราคิดจะทำอะไร”
แต่หยุนซีและคนอื่น ๆ ไม่อาจจะมีสิทธิ์รับการทดสอบได้ สองคนที่มีสิทธิ์คือเล่ยหยานและชิรูเท่านั้น เพราะคนอื่น ๆ ไม่อาจจะผ่านเกณฑ์
“ในเมื่อมีแค่สองคนที่มีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบได้ งั้นคงต้องยกหน้าที่นี้ให้กับพวกนายสองคน ยังไงซะก็ต้องจัดการมันให้ได้ก่อนที่มันจะผ่านการทดสอบ ! ” หยุนซีสั่งการ