ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 756 : เขตดาวโบไลด์ – ภารกิจฉุกเฉิน
ตอนที่ 756 : เขตดาวโบไลด์ – ภารกิจฉุกเฉิน
หวังเย่ายังไม่ทันได้อธิบายอะไรก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก “ฉันไม่ได้เห็นลูกของยู่ฉิงมานานแล้ว ไม่รู้ว่าเธอยังสบายดีอยู่รึเปล่า ? ”
เมื่อหันไปมองตามเสียงนั้นก็พบกับชายในชุดสีฟ้าเดินเข้ามา เขาดูอายุประมาณ 30-40 ปี พอ ๆ กับ หัวหน้าฉิน แต่เขาดูเหมือนกับนักเลง จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์ประหลาดเฒ่าเลย
ในโลกแห่งการบ่มเพาะนี้ รูปลักษณ์ไม่อาจจะบอกอายุที่แท้จริงได้ พวกคนระดับสูงบางคนมีความสามารถพอที่จะทำให้ตัวเองดูอ่อนเยาว์ลง แม้ว่าจะอยู่มาหลายพันปีแต่ก็ยังดูหนุ่มได้ ยกตัวอย่างเช่นฟู่หมิง ที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ยังดูหล่อเหลาเหมือนเด็กหนุ่มไม่เปลี่ยนแปลง
ชายคนนี้แม้ว่าจะดูเป็นชายวัยกลางคน แต่สายตาของเขาก็ไม่อาจจะปกปิดประสบการณ์ที่เขามีได้
“ท่านเจ้าเมือง นี่นายพลยู่เหมย ผู้ส่งสารจากเมืองซีหลง” หัวหน้าฉินบอกกับชายวัยกลางคน
ทุกคนเพิ่งจะรู้ว่าชายวัยกลางคนคนนี้แท้จริงกลับเป็นเจ้าเมือง
“ยินดีที่ได้พบ ท่านเจ้าเมือง ! ” ยู่เหมยไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะเป็นเจ้าเมือง เธอรีบลุกขึ้นแล้วทำความเคารพทันที จงเชิง คือหนึ่งในเจ็ดคนที่แข็งแกร่งของเขต แม้แต่พ่อของเธอก็ยังเคารพชายคนนี้ ไม่คิดเลยว่าเขาจะมีรูปลักษณ์เป็นแค่ชายวัยกลางคน แต่เธอก็รู้ดีว่าพวกที่บ่มเพาะระดับสูงนั้นไม่ได้แก่ตามอายุ
“ฉันได้ยินเรื่องที่เด็กนั่นมีลูกมานานแล้ว แต่ไม่ได้มีโอกาสเห็นเธอเลยสักครั้ง มาเห็นอีกทีก็โตถึงขนาดนี้แล้ว” จงเชิง พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะนั่งลงไป จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมา “แต่เมื่อเธอมาที่นี่ก็คงมีเรื่องสำคัญมาแจ้งสินะ”
เมืองซีหลงและเมืองปูหยางนั้นอยู่คนละเขตกัน หากไม่มีเรื่องสำคัญ งั้นเจ้าเมืองซีหลงคงไม่ส่งคนมาแบบนี้
เมื่อได้ยินแบบนั้น ยู่เหมยก็พูดขึ้นมา “ครั้งนี้มีเรื่องสำคัญจริง ๆ ที่จะมาแจ้งกับเจ้าเมือง เมื่อเดือนก่อนเราได้ข้อความจากกองทัพที่สู้กับอสูรสูบเลือดมา กองทัพอสูรสูบเลือดตอนมีราชาคนที่สองแล้ว ! ”
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ จงเชิงและหัวหน้าฉินก็พากันแปลกใจ แม้แต่หวังเย่าเองก็ต้องแปลกใจไปด้วย เขารู้ถึงความน่ากลัวของราชาอสูรสูบเลือด ราชาอสูรสูบเลือดจะกำเนิดขึ้นมาทุก ๆ ร้อยปี พวกนี้ยึดครองดินแดนได้กว่าครึ่งแล้ว แค่ตัวเดียวที่ผ่านมาพวกเขาก็แทบจะเอาตัวรอดไม่ได้แล้ว มันเห็นได้ว่าราชาแต่ละตัวนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
ราชาอสูรสูบเลือดทำให้ผู้คนกังวลอย่างมาก เพราะมันยากที่จะรับมือได้ แต่นี่กลับมีราชาตัวที่สองปรากฏขึ้นมาอีก
“ที่พูดมานั้นจริงหรือ ? ได้ข่าวนี้มาจากไหน ? ” หัวหน้าฉินถามขึ้นมา
“เมื่อเดือนก่อนเราจับกุมหุ่นเชิดระดับสูงได้และรู้ข่าวเรื่องราชาจากปากพวกนั้น 10 ปีหลังจากนี้อสูรสูบเลือดจะลดการโจมตีลง ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเราเพียงพอที่จะรับมือกับพวกมันได้ แต่เพราะราชากำลังกำเนิดขึ้นมา” ยู่เหมยพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินข่าวนั้น เจ้าเมืองก็เครียดขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าข่าวนี้เป็นความจริง งั้นเราก็ต้องวางแผนเพื่อฆ่าราชาตัวที่สองให้ได้ ไม่งั้นแล้วทวีปนี้คงโดนพวกมันยึดแน่ ๆ ”
“เมื่อต้องปรึกษากันเรื่องนี้ เดาว่ามันไม่เหมาะที่จะมีคนนอกอยู่ด้วย ผมขอตัวก่อนจะดีกว่า” หวังเย่าพูดขึ้นมา
หวังเย่าเห็นว่าทุกคนแสดงสีหน้าหนักใจและพูดคุยเรื่องสำคัญ เขาจึงรู้สึกว่าควรต้องออกไปข้างนอก เพราะไม่อยากยุ่งอะไรกับเรื่องนี้ และหวังเย่าเองก็พอรู้สถานการณ์บ้างแล้ว
“เดี๋ยวก่อน ! ” แต่เจ้าเมืองที่ไม่ได้สนใจเขาตั้งแต่แรก กลับพูดขึ้นมา
จงเชิงได้มองไปที่หวังเย่าแล้วพูดขึ้น “สหายไม่ได้มาจากเมืองซีหลงงั้นหรือ ? ”
“ผมเป็นแค่นักเดินทาง ผมเก็บตัวอยู่ในภูเขามานานหลายปีและเพิ่งออกมาก่อนจะพบกับนายพลยู่เหมยเข้าโดยบังเอิญ” หวังเย่าอธิบายตัวตนของตัวเองสั้น ๆ
ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับความสนใจจากเจ้าเมือง เพราะบางเหตุผลเจ้าเมืองจึงสนใจเขาอย่างมาก
“ทุกคนคือคนของดินแดนนี้ เราควรที่จะสู้กับอสูรสูบเลือดไปด้วยกัน” จงเชิงพูดขึ้นมา
นี่ไม่ต้องพูดถึงหวังเย่าเลย คนอื่น ๆ ต่างก็เห็นว่าเจ้าเมืองนั้นกังวลจริง ๆ
สำหรับนักสู้แล้ว ยู่เหมยรู้ว่านักสู้อย่างหวังเย่านั้นไม่ได้อ่อนแอ แต่ก็ไม่น่าจะแกร่งเพียงพอที่จะทำให้จงเชิงสนใจได้
จงเชิงไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่น ๆ และพูดขึ้นต่อ “เมื่อนายได้รู้เรื่องนี้แล้ว งั้นก็มาพูดคุยกันจะดีกว่า มีคนเพิ่มขึ้นก็ทำให้เราแกร่งขึ้นไปด้วย บางทีเราอาจจะได้วิธีที่เหมาะก็ได้ ”
เมื่อจงเชิงพูดแบบนั้น งั้นหวังเย่าก็ไม่อาจจะหนีออกไปไหนได้ ยังไงซะจงเชิงก็ไม่ได้บอกให้เขาจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด แต่ก็ไม่อาจจะอยู่เฉยได้เมื่อได้ยินแบบนี้
คนอื่น ๆ เห็นว่าจงเชิงพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้คัดค้านอะไร พวกเขาเองก็ไม่ได้คิดสงสัยอะไรในตัวหวังเย่าเช่นกัน
“ฉันคิดว่าควรส่งทีมนักสู้ไปโจมตีรังที่ให้กำเนิดราชาตัวใหม่ขึ้นมา นักสู้ทั่วไปไม่อาจจะเข้าใกล้รังของพวกมันได้ ดังนั้นเราต้องใช้คนที่มีประสบการณ์และมากความสามารถ” คนแรกที่พูดคือหัวหน้าฉิน
เขาได้สู้กับอสูรสูบเลือดมาหลายสิบปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าเขาฆ่าพวกมันไปมากแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงรู้เกี่ยวกับอสูรสูบเลือดและราชาสูบเลือดเป็นอย่างดี
“ฉันเห็นด้วยกับหัวหน้าฉิน เรื่องนี้ต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด ขอให้เจ้าเมืองเลือกนักสู้อันดับต้น ๆ ในเมืองปูหยางเพื่อมาจัดการกับรับราชาที่กำลังจะกำเนิดขึ้นมา” ยู่เหมยพูดขึ้นมา
“เราส่งคนไปได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของฉันและเมืองปูหยางแล้ว มันยากที่จะทำภารกิจนี้เพียงลำพังให้สำเร็จได้ ฉันคิดว่าเรื่องนี้พ่อของเธอคงรู้ดีว่ามันยากแค่ไหน ดังนั้นเธอคงไม่ได้มาบอกข่าวนี้แค่กับฉันหรอกสินะ ? ” จงเชิงถามขึ้นมา
“นอกจากท่านแล้ว ก็ยังมีเจ้าเมืองตงหยูและเป่ยชวน” ยู่เหมยพยักหน้า
เรื่องนี้พ่อของเธอได้ส่งคนหลายกลุ่มออกไปแจ้งเมืองที่ยังไม่โดนอสูรสูบเลือดยึดเอาไว้ โดยหวังว่าจะรวบรวมนักสู้ของอาณาจักรมนุษย์ และจะได้จัดการกับราชาอสูรสูบเลือดตั้งแต่มันยังอยู่ในไข่
ตอนที่ทุกคนกำลังปรึกษากันเรื่องนักสู้ที่จะลงมือในครั้งนี้ จงเชิงก็ได้บอกกับหวังเย่า “ฉันไม่รู้ว่านายมีอะไรจะแนะนำรึเปล่า ? ”
หวังเย่าคิดสักพักแล้วพูดขึ้นมา “เมื่อมันเป็นการบุกโจมตี งั้นก็น่าจะรีบลงมือโดยเร็วที่สุด”
ถ้าราชาตัวใหม่กำเนิดขึ้นมา งั้นพวกเขาก็ควรที่จะลงมือทันทีแทนที่จะมาเสียเวลาคัดเลือกคน รีบรวบรวมคนที่มีความสามารถในตอนนี้แล้วส่งออกไปเลย หวังเย่าเชื่อว่าพวกเขาก็พอจะสู้กับอสูรสูบเลือดเลเวล 100 ได้อยู่บ้าง เพราะเขาไม่คิดว่าพวกนี้จะขาดความแข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น
“แน่นอนว่านั่นเป็นแค่ข้อเสนอ ผมไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับการตั้งทีมขึ้นมา ถ้ามีปัญหาอะไร ผมคงไม่ยุ่ง”
“แต่…ตอนนี้พวกอสูรสูบเลือดต่างก็พากันคุ้มกันราชาของมัน เมื่อเราลงมือแล้ว เกรงว่าเราคงโดนจับได้” ยู่เหมยพูดขึ้นมา
ถ้าเรื่องมันง่ายดาย งั้นพวกเขาคงไม่ต้องเดินทางข้ามภูเขามาถึงเมืองนี้
แค่จงเชิงคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการกับกองทัพอสูรได้แล้ว แต่คนที่แข็งแกร่งแบบนั้นต้องโดนจับตามองโดยอสูรอยู่ตลอด เมื่อจงเชิงออกจากเมืองไป งั้นกองทัพอสูรสูบเลือดต้องตื่นตัวอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของยู่เหมย หวังเย่าก็กระจ่างทันที ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในดินแดนนรก อสูรสูบเลือดไม่ใช่อสูรไฟ ทวีปนี้ถูกปกครองโดยอสูรสูบเลือดซึ่งแทบจะได้เปรียบพวกมนุษย์ในทุกด้าน
อย่างน้อย ๆ ราชาก็ไม่ใช่แค่มีพลังที่น่ากลัว แต่ยังมีความฉลาดด้วย
“ฉันว่าเวลามันกระชั้นชิด เราเสียเวลาไม่ได้ แทนที่จะเลือกคน เราควรใช้คนที่มี ตอนนี้ฉันมีคนที่แข็งแกร่งสุดก็เลเวล 150 อยู่ในเมือง แต่คนพวกนั้นต่างก็มีตำแหน่งที่สูงในกองทัพ พวกอสูรสูบเลือดรู้จักพวกนั้นดี มันไม่ดีที่พวกเขาจะลงมือ”
“พวกรุ่นเยาว์ก็พอมีคนที่มีฝีมืออยู่บ้าง แต่ฉันคิดว่าคงมีไม่กี่คนที่จะเข้าร่วมแผนครั้งนี้ได้” จงเชิงพูดขึ้นมา
ยู่เหมยแสดงสีหน้ายินดีออกมาและพูดขึ้น “ถ้าเจ้าเมืองจะทำแบบนั้นจริง ๆ ก็ฟังดูเข้าท่า”
เธอรู้ว่ามันคงไม่มีทางที่จงเชิงจะลงมือเอง
แม้แต่พ่อของเธอก็ยังตัดสินใจที่จะเลือกเด็ก ๆ เพื่อตั้งทีมขึ้นมา
แต่เมื่อจงเชิงพูดจบก็ได้มองไปที่หวังเย่า “น้องเย่าเก็บตัวมานาน ฉันคิดว่าความแข็งแกร่งของนายคงไม่น้อยไปกว่าพวกรุ่นเยาว์ที่เรามี นายไม่เคยปรากฏตัวที่โลกภายนอกด้วย ฉันคิดว่านายเหมาะกับแผนนี้ที่สุด”
หวังเย่าได้ยินแบบนั้นก็สีหน้าแข็งทื่อไปในทันที เขาได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “ผมไม่ได้แกร่งอะไรเลย เมื่อมีคนที่ท่านเลือกอยู่แล้ว งั้นคงไม่ต้องการคนที่อ่อนแออย่างผมหรอก ”
จงเชิงส่ายหน้าและพูดขึ้น “เรื่องนี้จะตัดใครออกไม่ได้ เพราะมันนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของดินแดนเทพ มันเกี่ยวข้องกับนายด้วย ฉันคิดว่านายควรที่จะเข้าร่วมกับแผนการครั้งนี้”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของจงเชิง หวังเย่าก็แปลกใจ เจ้าเมืองมองเขาออกรึไง ?