ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 755 : เมืองปูหยาง
ตอนที่ 755 : เมืองปูหยาง
นี่เป็นวันที่สามของการทดสอบ หวังเย่า, แมวและกองทัพได้เดินทางไปหลายพันไมล์ และด้วยเวลา 2-3 วันที่ผ่านมา หวังเย่าจึงได้เข้าใจสถานการณ์ของโลกนี้มากขึ้น
ทวีปที่พวกเขาอยู่นี้เรียกว่าดินแดนพระเจ้า บอกกันว่ามันคือโลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า คนที่อาศัยอยู่บนทวีปนี้เชื่อในตัวตนของพระเจ้า แต่ตอนนี้สิ่งมีชีวิตบนทวีปไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเลย
หวังเย่าพบว่ากฎของทวีปแห่งนี้ต่างจากดาวเคราะห์ที่เขาเคยเห็นมา ในที่อื่นแม้แต่ดาวระดับสูงอย่างเขตดาวโบไลด์ ด้วยความแข็งแกร่งของหวังเย่า อาจจะบินได้หลายพันไมล์ในวันเดียว แต่ที่นี่ไม่อาจจะทำแบบนั้นได้ มันไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอลงแต่เป็นกฎโลกที่เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบินรึการต่อสู้ล้วนแต่ต้องใช้พลังมากกว่าเดิม ถึงหวังเย่าจะแกร่งพอที่จะทำลายดาวเคราะห์ดวงหนึ่งได้ แต่ที่นี่มันยาก แม้จะทำลายภูเขาลูกหนึ่งก็ไม่ง่าย
ในทวีปแห่งนี้มี 7 เขต ตอนนี้ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปที่เมืองปูหยาง มันอยู่เขตที่ 7 ตั้งอยู่ทางใต้ของทวีป และเป็นหนึ่งเขตที่โดนโจมตีโดยสัตว์อสูรน้อยที่สุด
ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ระหว่างทางพวกเขาก็โดนอสูรไฟโจมตีอยู่หลายครั้ง มันแสดงให้เห็นแล้วว่าอสูรไฟได้ยึดทวีปนี้มากแค่ไหนแล้ว
หวังเย่าคิดถึงตำนานของหุบเขาในชั้นที่ 4 แม้ว่าจะไม่นับอสูรไฟในมิติทดสอบนี้ แต่หากมันเป็นจริงตามที่ยู่เหมยบอกมาแล้ว งั้นจำนวนอสูรไฟในมิตินี้อาจจะมากกว่าจำนวนสัตว์อสูรไฟในชั้น 4 อีก
แน่นอนว่านั่นแค่การคาดเดาของหวังเย่า ด้วยเวลาที่ผ่านไปก็ทำให้หวังเย่าเข้าใจมิตินี้มากขึ้น และหวังเย่ายิ่งรู้สึกว่ามิตินี้เหมือนมีอยู่จริง กองทัพตรงหน้าเขาคือคนจริง ๆ มันไม่เหมือนโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการทดสอบเอาเสียเลย
มิตินี้เหมือนกับโลกจริง ๆ !
“อีกครึ่งวันเราก็จะเห็นเมืองปูหยางแล้ว จางจินและคนอื่น ๆ ก็น่าจะไปถึงเมืองแล้วเช่นกัน” ยู่เหมยพูดขึ้นมา
เธอเลือกที่จะส่งพวกนั้นออกไปขอความช่วยเหลือ
ทีมที่นำโดยจางจินน่าจะไปถึงเมืองปูหยางแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเร่งฝีเท้าในการเดินทาง แต่ก็ไม่อาจจะตามอีกฝ่ายได้ทัน
หวังเย่าไม่ได้สนใจอะไรมากกับเรื่องนี้ ตลอดหลายวันมานี้เขาพอคาดเดาเกี่ยวกับที่นี่ได้บ้าง เวลาของที่นี่เหมือนจะต่างจากโลกด้านนอก เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว หากเวลามันเดินเท่ากัน เมื่อจบการทดสอบแล้ว ดินแดนนรกอาจจะปิดไปแล้ว
เขาพบว่ามิติแห่งนี้แก๊สที่คอยสูบเลือดนั้นไม่มีอยู่เลย มันราวกับว่าเขาได้ออกมาจากชั้น 4 จริง ๆ นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา อย่างน้อยก็ในตอนนี้
อีกครึ่งวันต่อมาพวกเขาก็เดินออกมาจากป่าและพบกับบางอย่าง มันไม่ได้มีแต่ต้นไม้รึภูเขาอีกต่อไป แต่กลับเป็นพื้นที่ราบแทน
ไกลออกไปนั้นมีเมืองปรากฏขึ้นมาให้เห็น ขนาดของเมืองนั้นใหญ่กว่าที่หวังเย่าคิดเอาไว้ มันคือเมืองที่ดูยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็นมา
กำแพงเมืองนั้นยาวกว่าล้านฟุตตั้งขึ้นรอบเมือง มันสูงอย่างน้อยก็พันฟุต และราวกับผู้พิทักษ์ที่คอยดูแลที่ราบแห่งนี้เอาไว้
กำแพงนี้เหยียดยาวไปสุดลูกหูลูกตา
ยู่เหมยชี้ไปที่กำแพงแล้วพูดขึ้น “นั่นคือเมืองปูหยาง เมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตหนานจิง”
“นี่เมืองปูหยางงั้นหรือ ? ” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะตะลึง
ชื่อของเมืองนี้ก็ดูธรรมดาเหมือนกับเมืองในดาวโลกของเขา แค่ว่าเมืองนี้ใหญ่กว่าเป็นร้อยเท่า มันไม่ได้ต่างจากป้อมปราการขนาดใหญ่เลย
เมื่อมองจากด้านนอกก็พบว่าเมืองนั้นได้เตรียมการรบไว้แล้ว ตอนที่เขาเดินทางเข้าไปเขาก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมา
ตอนที่ห่างจากกำแพงเมืองไปประมาณ 100 เมตร ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากกำแพง “ หยุด ! พวกนายเป็นใคร ? ”
ยู่เหมยเงยหน้าขึ้นมองยามที่อยู่บนกำแพงแล้วพูดขึ้น “เราคือผู้ส่งสารจากเมืองซีหลงทางตะวันตก เรามาที่นี่เพื่อแจ้งข่าว”
“เมืองซีหลงงั้นหรือ ? เราไม่เคยพบกับทีมจากเมืองซีหลง พวกนายมีอะไรมายืนยันตัวเอง ถ้ายืนยันตัวเองไม่ได้ก็ออกจากที่นี่ไปซะ” ทหารยามพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินคำพูดของทหารยาม สีหน้าของยู่เหมยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย คนอื่น ๆ เองก็แสดงท่าทีแปลกใจออกมาเช่นกัน
พวกเขาเสี่ยงชีวิตฝ่าวงล้อมจากอสูรมาได้ และมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าว แต่ทหารยามของเมืองนี้กลับบอกว่าไม่เคยเห็นทีมพวกเขามาก่อน
“จางจินเจอปัญหาระหว่างทางรึเปล่า ? รึว่าเขาไปผิดทาง ? ” รองหัวหน้าพูดขึ้นมา
“เราต้องเข้าไปในเมืองให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม” ยู่เหมยคิ้วขมวด
แต่เธอให้จดหมายกับจางจินไปแล้ว เธอไม่มีหลักฐานเพื่อยืนยันตัวเอง ตอนนี้มันจึงเป็นปัญหาขึ้นมา
หวังเย่าเงยหน้าขึ้นมองกำแพง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่ากำแพงนั้นสูง แต่ในฐานะที่เป็นป้อมปราการกันศัตรูแล้วมันควรได้รับการปรับปรุงมากกว่านี้ โดยเฉพาะจำนวนทหารที่คอยสังเกตการณ์บนกำแพง
แต่หลังจากที่ทหารยามส่งเสียออกมา เขาก็พบว่าสูงขึ้นไปจากพื้นกว่า 100 ฟุตนั้นมีหน้าต่างที่เปิดออกได้อยู่
เมื่อเปิดหน้าต่างเหล่านั้นออกมาก็จะมีแท่นที่ยื่นออกมาจากกำแพงเพื่อคอยสังเกตสถานการณ์ด้านล่างได้
ตอนนั้นชายวัยกลางคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา เขาคิ้วขมวดและมองไปที่ทหารยามก่อนจะพูดขึ้น “ นายไปทำหน้าที่ตัวเอง ไม่ต้องอยู่ที่นี่ ไปคอยสังเกตการณ์ แท่นนี่ไม่ควรเปิดออกง่าย ๆ ให้คนอื่นรู้ตำแหน่งของเรา”
เมื่อเห็นหัวหน้า ทหารยามก็รีบทำความเคารพทันทีและรีบอธิบายออกมา “หัวหน้าฉิน มันมีกลุ่มคนด้านล่างบอกว่าเป็นผู้ส่งสารจากเมืองซีหลง แต่คนพวกนี้ไม่มีจดหมายรับรอง ผมเลยสงสัยในตัวพวกเขา”
หัวหน้าฉิน มองไปที่พวกคนด้านล่างด้วยความแปลกใจก่อนจะถามขึ้นมา “นั่นคนจากตระกูลยู่รึเปล่า”
ยู่เหมยมองไปที่หัวหน้าฉินและจำได้ทันที เธอจึงพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “ลุงฉิน ฉันเอง ยู่เหมย ฉันมีข้อความสำคัญที่จะมาแจ้ง รบกวนลุงฉินให้เราเข้าเมืองด้วย ! ”
ทหารยามคนอื่น ๆ ค่อย ๆ เปิดประตูให้ทุกคนเข้ามาในเมือง หวังเย่าเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเมืองนี้อย่างมาก ไม่ใช่แค่ขนาดที่ใหญ่แต่การออกแบบและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ของเมืองก็คล้ายกับเมืองที่เขาจำได้
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาก็พบกับถนนที่ทอดยาว ถนนนี้กว้างพอที่รถม้าจะวิ่งผ่านได้ มันเพราะยู่เหมยและพวกผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ดังนั้นนอกจากทหารที่เหลืออยู่แล้วเธอจึงไม่มีพาหนะเหลืออยู่เลย
“ฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าหลานจะมาที่เมืองของลุงด้วย ลูกน้องลุงตาไม่ดีเอง ลุงขอโทษด้วย” หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในเมือง หัวหน้าฉินก็เดินเข้ามาต้อนรับ
“ลุงฉินไม่ต้องสุภาพก็ได้ ฉันมาที่นี่เพื่อพบกับเจ้าเมือง รบกวนลุงพาฉันไปหาเขาด้วย ฉันมีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเมืองทั้งหมดในทวีปต้องบอก”
เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวหน้าฉินก็เงียบไปชั่วครู่แล้วพูดขึ้นมา “เจ้าเมืองกำลังพูดคุยเรื่องสำคัญอยู่ หลานคงต้องรอสักพัก เมืองนี้กับเมืองซีหลงห่างกันอย่างมาก หลานคงเดินทางมาไกล พักก่อนเถอะ ไม่ต้องรีบร้อน” เขามองไปที่ทหารด้านหลังแล้วพูดขึ้นมา “พวกนี้ก็น่าจะผ่านการต่อสู้ที่หนักเอาการ พวกเขาควรได้พักก่อน”
ยู่เหมยมองไปที่ทหารด้านหลังก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาเดินทางกันมานาน แม้ว่าทหารพวกนี้จะเป็นนักสู้ แต่พวกเขาก็เหนื่อยล้ากันมามาก และจำเป็นต้องพัก
หัวหน้าฉิน ได้ให้คนไปจัดแจงที่พักให้กับทหารจากเมืองซีหลง จากนั้นเขาก็ไปที่บ้านพร้อมกับยู่เหมย, หวังเย่า และทหารคนสำคัญอื่น ๆ
พวกเขาได้เข้าไปนั่งพักโดยที่มียู่เหมยและหัวหน้าฉินพูดคุยกัน
จากบทสนทนาของทั้งคู่แล้ว หวังเย่าก็รู้ว่าเธอนั้นเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองซีหลง ยู่ฉิง
“คิดถึงตอนที่ฉันได้สู้กับอสูรสูบเลือดเคียงข้างพ่อหลานจริง ๆ พวกเราสู้ด้วยกันมาไม่น้อยกว่าร้อยครั้ง จากนั้นพ่อหลานก็กลับไปที่เมืองซีหลง และรับตำแหน่งเจ้าเมืองไป ทิ้งฉันไว้ที่เมืองนี้คนเดียว ผ่านมาก็หลายสิบปีแล้วไม่คิดเลยว่าเขาจะยังเป็นเจ้าเมืองอยู่” หัวหน้าฉินพูดขึ้นมา
“พ่อฉันเองก็พูดถึงลุงบ่อย ๆ และอยากมาเยี่ยมลุงที่นี่ แต่แค่ว่ามีธุระมากมายต้องจัดการ” ยู่เหมยพูดขึ้น
หัวหน้าฉินพูดขึ้นมาและมองไปรอบ ๆ ก่อนที่สุดท้ายจะมองไปที่หวังเย่า เขามองไปที่หวังเย่าแล้วพูดขึ้น “นายดูไม่เหมือนคนจากเมืองซีหลงเลย ไม่รู้ว่านายเป็นใครแล้วทำไมถึงได้มากับพวกเขาด้วย ? ”