ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 746 : เขตดาวโบไลด์ - หนี
ตอนที่ 746 : เขตดาวโบไลด์ – หนี
ในตอนที่พักกันอยู่นั้น หวังเย่าก็ขมวดคิ้วและมองไปทางหนึ่ง เพราะก่อนที่เขาจะพักนั้นเขาได้วางค่ายกลไว้รอบตัวแล้วเพื่อตรวจสอบพื้นที่รอบตัว แต่ตะกี้นี้หนึ่งในค่ายกลของเขากลับพังลง มันแสดงให้เห็นแล้วว่ามีคนเข้ามา และตอนที่ค่ายกลพังลงนั้น หวังเย่าก็คุ้นเคยกับคลื่นพลังของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ตระกูลหยุน ? ” หวังเย่าตาเป็นประกายก่อนจะบอกกับสองพี่น้อง “ฉันมีปัญหา ฉันคิดว่าพวกนายคงต้องเดินทางต่อเองแล้วละ ”
เขาเอาเชือกจิตออกมาแล้วตัดส่วนหนึ่งให้กับซูเชิง ก่อนจะพูดขึ้น “นี่คือเชือกจิตที่บอกตำแหน่งเพื่อนของฉัน พวกนายตามเชือกจิตนี้ไปก็จะพบกับพวกเขา บอกพวกเขาว่ามาช่วยฉันที เมื่อมีพวกเขาอยู่ด้วย พวกนายจะปลอดภัยจนกว่าจะหาอาจารย์พบ”
เมื่อเห็นว่าหวังเย่าพูดแบบนั้นออกมา สองพี่น้องก็มองไปที่หวังเย่าด้วยสีหน้าสับสน พวกเขาสงสัยว่าทำไมหวังเย่าถึงได้ทำแบบนี้
“คนแบบนายยังมีปัญหาได้ ศัตรูของนายตามมารึไง ? ” ซูเสี่ยวซวนพูดขึ้นมา
ในความเห็นของเธอแล้ว หวังเย่านั้นแกร่งอย่างมาก แม้ว่าจะเทียบกับอาจารย์ของเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่น ๆ ที่เธอเคยเห็นมา หากคนแบบนี้ยังมีศัตรู เธอกับพี่ก็คงไม่อาจจะรับมือได้แน่
เมื่อคิดได้แบบนั้น ซูเสี่ยวซวนก็ถามขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว “ปัญหานี้นายรับมือคนเดียวได้รึเปล่า ? ”
หวังเย่าพูดขึ้น “มันไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องกังวล เธอควรรีบออกไปได้แล้ว ถ้าเธอพบกับเพื่อนฉันก็บอกพวกเขาเรื่องนี้ด้วย”
หลังจากที่จัดแจงเรื่องสองพี่น้องแล้ว หวังเย่าก็ได้พยายามควบคุมสติ อีกฝ่ายคือตระกูลหยุน เขาไม่กล้าจะประมาท แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยปะทะกันมาแล้ว แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายคงเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่งั้นแล้วคงไม่กล้ามาหาเขาแบบนี้
“หวังเย่า แม้ว่าฉันจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ฉันคงทำเป็นเมินเฉยกับเรื่องนี้ไม่ได้ ตอนนี้นายมีปัญหา จะให้พวกเราหนีไปได้ยังไง ให้ฉันช่วยนายเถอะ” ซูเชิงพูดขึ้นมา
นี่คือเกียรติของคนตระกูลซู แม้ว่าความแข็งแกร่งจะไม่ได้มากเท่ากับหวังเย่า แต่ก็ไม่ยอมจะทิ้งเพื่อน ทั้งที่รู้ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับตระกูลหยุน พวกเขาจะไม่ต่างอะไรกับมดปลวกก็ตาม
หวังเย่าขมวดคิ้วและพูดขึ้น “เรื่องสำคัญที่พวกนายต้องทำตอนนี้คือไปหาเพื่อนของฉัน ถ้าพวกนายอยากช่วยฉันจริง ๆ ก็รีบไปบอกพวกเขาซะ ! ”
“แต่..” ซูเชิงอยากจะพูดบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสายตาที่หนักแน่นของหวังเย่าแล้ว เขาก็รู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ หวังเย่าไม่มีทางให้เขาอยู่ต่อแน่ เขารู้ว่าตัวเองอ่อนแอโดยเฉพาะในดินแดนนรกแห่งนี้ แม้แต่พวกคนที่อยู่ระดับกลางก็ไม่อาจจะรอดจากที่นี่ไปได้ อย่างพวกเขา ถ้าไม่ได้หวังเย่าช่วยเอาไว้ สองพี่น้องก็อาจจะตายไปแล้ว
แต่ตอนนั้นเองกลับมีคลื่นพลังที่แข็งแกร่งพุ่งเข้ามา ในพริบตาก็มีกลุ่มคนได้เดินทางมาถึงเนินเขาที่พวกเขาอยู่
“หวังเย่า แกเล่นให้ฉันตามหาซะทั่ว ! ” หยุนซีมองไปที่หวังเย่าแล้วฮึดฮัดออกมา
ก่อนที่จะมายังดินแดนนรก เขามีเงินเป็นล้านเหรียญ ไม่คิดเลยว่าเขากลับต้องมาเสียเงินเป็นล้านในพริบตาด้วยฝีมือของเด็กนี่ ไม่ใช่แค่ทำลายยานบินเท่านั้น แต่ยังทำลายฐานการผลิตอีกด้วย
หวังเย่าเห็นใบหน้าที่คุ้นตาก็พูดออกมาด้วยสีหน้าเฉยเมย “หยุนซี ดูเหมือนว่าเราจะมีชะตาต้องกันจนได้มาพบกันที่นี่อีก พี่ฉันอยู่ใกล้ ๆ พอดี เขาค่อนข้างเสียดายที่ไม่ได้ลงมือกับแกในตอนนั้น”
คำพูดของหวังเย่าทำให้สีหน้าของหยุนซีหม่นลง หวังเย่าเยาะเย้ยเขาอยู่ชัด ๆ แต่เมื่อเขาคิดถึงข้อมูลที่ได้รู้มา เขาก็พูดขึ้น “แกไม่ต้องมาปั่นหัวฉันหรอก ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แกอยากเอาชื่อของเขามาขู่ฉันสินะ แกคิดว่าฉันโง่รึไง ? ”
“วันนี้แกต้องตาย แกกล้าหาเรื่องตระกูลหยุน แกก็ต้องชดใช้ ! ” หยุนเชามองไปที่หวังเย่าด้วยสีหน้าแค้นเคือง เขาได้เล็งหอกเพื่อแทงไปที่หวังเย่า และไม่คิดจะปล่อยให้หวังเย่าได้พูดอะไรต่อ
“พวกนายสองคนไปได้แล้ว ! ” หวังเย่าบอกกับพี่น้องตระกูลซู
แม้ว่าความแข็งแกร่งของสองคนนี้จะไม่มาก แต่ก็เคยได้ยินเรื่องตระกูลหยุนมาบ้าง โดยเฉพาะก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนนรกแห่งนี้ ตระกูลหยุนนั้นเปิดตัวได้อย่างโดดเด่น ดังนั้นทั้งสองจึงรู้จักคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่าหวังเย่าต้องมีศัตรู แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนใหญ่โตแบบนี้ กองกำลังแบบนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลใหญ่ของเขตดาวโบไลด์เลย
“ห้ามใครหนีไปจากที่นี่เด็ดขาด ! ” ตอนที่ทั้งสองกำลังจะหนีไปนั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถือโล่อันใหญ่ ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของทั้งสองคน
หยุนเชาเกลียดหวังเย่าเข้ากระดูกดำ เขาลงมือโดยไม่ปราณีแม้แต่น้อย การแทงแต่ละครั้งได้เล็งไปที่จุดสำคัญทั้งนั้น เขาไม่ได้อ่อนแอไปกว่าวานเซ่เลย
ต่อหน้าศัตรูแบบนี้ หวังเย่าก็ไม่กล้าที่จะประมาท เขาได้เปิดใช้งานเกราะมังกรทันที แต่หอกที่ยิงมานั้นก็ทำให้หวังเย่าต้องถอยกลับ หวังเย่าดึงดาบออกมาเพื่อรับมือกับการโจมตีของหยุนเชาเอาไว้ โดยที่สองพี่น้องมีเล่ยหยานที่คอยขวางทางอยู่
“แกต้องตาย ไม่ต้องห่วงคนอื่นหรอก ! ” หยุนเชาเห็นว่าหวังเย่ายังกล้าไปสนใจคนอื่น ก็รู้สึกว่าโดนดูถูก
หอกในมือแยกออกราวกับห่าฝน พุ่งกระหน่ำเข้าใส่หวังเย่า มันแทงออกมาหลายร้อยครั้ง การโจมตีแต่ละครั้งเพียงพอที่จะฆ่าคนที่เลเวลเท่ากับหวังเย่าได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าหยุนเชาตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าเขาด้วยตัวเอง
หวังเย่ารู้สึกได้ถึงการโจมตีที่เป็นอันตรายจึงใช้ดาบปัดการโจมตีเพื่อเว้นระยะห่างออกมา อีกฝ่ายแกร่งกว่าหวังเย่า เล็กน้อย อาวุธของอีกฝ่ายก็เป็นสมบัติล้ำค่าแกร่งกว่าดาบในมือของหวังเย่าอย่างมาก ตอนที่หวังเย่ายกดาบขึ้นมารับการโจมตีเอาไว้ ดาบของเขาก็ได้ระเบิดออกเหลือแต่ด้ามในมือ
โชคดีที่หวังเย่ารู้ตัวทัน ตอนที่อาวุธของเขาพังลง เขาก็ได้ถอยกลับและดึงเอามีดออกมารับการโจมตีเอาไว้ แต่ผ่านไปไม่ถึงสามอึดใจ มีดของเขาก็ต้องพังลงเพราะพลังของหอกอีกครั้ง
หวังเย่าถอยกลับมาและเปลี่ยนอาวุธสี่ถึงห้าอัน แต่ก็ทำได้แค่กันการโจมตีของหยุนเชาเอาไว้เท่านั้น ตัวของเขาเริ่มมีบาดแผลจากการโจมตี สุดท้ายเขาก็มีแผลกว่าสิบที่บนตัว
หลังจากที่กระเด็นออกมาเพราะการโจมตีของหยุนเชา หวังเย่าก็กลับลงมาที่พื้น เขาวางมือลงกับพื้นก่อนที่พื้นดินจะสั่นไหว พลังงานอันแข็งแกร่งได้รวมตัวกันที่เท้าของหวังเย่า เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังนี้ก็ทำให้สีหน้าของหยุนเชาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เร็วเข้า รีบหยุดเขาเอาไว้” หยุนซีตะโกนออกมาและพุ่งไปหาหวังเย่า
เมื่อได้ยินคำสั่ง หยุนเชาและเล่ยหยานก็ไม่สนใจคนอื่น ทั้งสองรีบพุ่งเข้าหาหวังเย่า พยายามที่จะหยุดเขาเอาไว้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ตอนที่ทั้งสองพุ่งเข้าหาหวังเย่านั้น พลังงานอันแข็งแกร่งก็กวาดไปทั่วภูเขา ในพริบตาค่ายกลขนาดใหญ่ที่ปกคลุมภูเขาทั้งลูกก็ได้ก่อตัวขึ้น มันครอบคลุมระยะในท้องฟ้าด้วย เมื่อค่ายกลทำงานร่างของเล่ยหยานและหยุนเชาก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าทันที
แม้แต่หยุนซีและคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่อาจจะต้านทานได้ พวกเขาต้องกระเด็นออกไปเพราะพลังจากค่ายกลนี้
หวังเย่าใช้มีดฟันเข้าใส่หยุนเชา ก่อนที่จะใช้โอกาสนั้นลากสองพี่น้องตระกูลซูแล้วหนีจากที่นั่นไป
ในพริบตา หวังเย่าก็หนีออกมาพร้อมกับสองพี่น้อง
หยุนเชาเห็นหวังเย่าหนีไปก็เบิกตากว้าง ทักษะนี้แปลกประหลาดอย่างมาก พลังของมันมากเกินกว่าระดับของเขาและคนอื่น ๆ มันทำให้พวกเขาไม่อาจจะขยับตัวได้ในเวลาอันสั้น
แม้แต่หยุนซีที่แกร่งที่สุดในบรรดาคนกลุ่มนี้ก็โดนค่ายกลที่แปลกประหลาดนี้ควบคุมเอาไว้ด้วย จนกระทั่งร่างของ หวังเย่าเกือบหายไปในท้องฟ้า พวกเขาถึงพอควบคุมร่างกายของตัวเองได้บ้าง
“พี่สี่ เด็กนั่นทำอะไรกัน ? ทำไมค่ายกลของมันถึงสามารถสยบพี่ได้ ! ” หยุนเชามองไปทางที่หวังเย่าหายตัวไป และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึง
หยุนซีสีหน้าหม่นและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายคิดว่าเด็กนี่คนเดียวจะใช้ค่ายกลสยบฉันได้หรือ ? มันคือเทพค่ายกล เขาต้องทิ้งค่ายกลเอาไว้ให้เด็กนี่แน่ มีแค่เจ้าแก่นั่นเท่านั้นที่จะใช้ค่ายกลที่ทรงพลังแบบนี้ได้”
ทุกคนพากันแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเมื่อได้ยินชื่อของหยานเทียน แม้ว่าพวกเขาจะเคยโดนหยานเทียนสั่งสอนมาแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับค่ายกลนี้ มันก็ยากที่พวกเขาจะสลัดความตะลึงในใจออกไปได้ ค่ายกลที่ใช้โดยคนเลเวล 125 แต่กลับจำกัดการเคลื่อนไหวของหยุนซีได้ มันต้องไม่ธรรมดา
“เราจะไล่ตามต่อไหม ? เด็กนั่นหนีไปได้ ไม่รู้ว่ามันมีทักษะที่แข็งแกร่งอีกกี่อย่างอยู่กับตัว หากเรายังไล่ตามไป ฉันกลัวว่า…” หยุนเชาลังเลขึ้นมา
หยุนซีพูดขึ้น “ถ้ามันยังมีของอย่างอื่นอยู่กับตัว ก็คงไม่หนีไปแบบนี้ ? ถึงจะมีแต่ก็ทำให้มันใช้พลังงานมากขึ้น มันต้องมีข้อจำกัด แม้ว่าเราจะจัดการมันไม่ได้แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป มันก็จะโดนสูบเลือดจนหมดตัวอยู่ดี”
หวังเย่าหันกลับมามองที่ด้านหลังและพบว่าคนตระกูลหยุนไม่ได้ไล่ตามมา เขาจึงโล่งอกขึ้นมาและลดความเร็วลง
มันเป็นแบบที่หยุนซีบอกมาจริง ๆ เขาเหลือพลังไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ หากยังใช้พลังแบบเดิมอีก มันก็ยากจะรับมือกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ได้
ในฝ่ามือของเขา รูนแสงได้จางหายไป มันคือการสลายของพลัง เมื่อเห็นว่ารูนในมือหายไป หวังเย่าก็ต้องแสดงสีหน้าเสียดายออกมา
ก่อนที่จะเข้ามาในถ้ำมังกร เขาได้รูนนี่มาจากหยานเทียน แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้มันเร็วแบบนี้