ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 745 : เขตดาวโบไลด์ – สองพี่น้อง
ตอนที่ 745 : เขตดาวโบไลด์ – สองพี่น้อง
เมื่อเห็นทั้งสองมองมาที่เขา หวังเย่าก็ถามขึ้นมา “พวกคุณมองอะไร ? มีอะไรติดหน้าฉันงั้นหรือ ? ”
“คุณคงไม่ใช่ผู้อาวุโสหรอกใช่ไหม ? ” ซูเสี่ยวซวนมองไปที่หวังเย่าและถามขึ้นมา
เธอรู้ว่ามีคนที่แข็งแกร่งหลายคน แม้ว่าอยู่มาหลายพันปี แต่เพราะความแข็งแกร่งจึงทำให้อายุขัยนั้นมากขึ้นแต่หน้าตายังเด็กดังเดิม มันเหมือนกับฟู่หมิง ที่แม้ว่าจะอายุพอ ๆ กับหยานเทียนและเจียงหยาน แม้เขาจะอยู่มาหลายหมื่นปี แต่หน้าตากลับดูเด็กพอ ๆ กับหวังเย่า
เมื่อเห็นสีหน้าของซูเสี่ยวซวน หวังเย่าก็เดาความคิดของเธอออก เขาส่ายหน้าและยิ้มออกมา “ฉันไม่ใช่ผู้อาวุโส ฉันแค่พอมีวิธีรับมือกับพวกมันได้บ้างก็เท่านั้น”
“ชั้นสี่นี้อันตรายอย่างมาก พวกนายอาจจะเจอกับสัตว์อสูรตอนไหนก็ได้ ถ้ามีแรงเหลือก็รีบออกจากที่นี่ซะ ยิ่งเข้าใกล้เขตกลางมากเท่าไหร่ พวกนายก็จะตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น”
ซูเชิงได้ยินคำพูดของหวังเย่าก็พูดขึ้น “ฉันซูเชิง น้องฉันซูเสี่ยวซวน เราตามอาจารย์ของเราเข้ามา หลังจากที่เข้าที่นี่ก็โดนแยกกับพวกเขาไป และพบกับทหารรับจ้างที่จับตัวเราไว้ที่นี่”
ซูเสี่ยวซวนพูดขึ้นมา “เพื่อนของเราหลายคนโดนสัตว์อสูรไฟนั่นฆ่าไป พวกทหารรับจ้างนั่นมันเลวจริง ๆ ถ้าได้กลับไปหาอาจารย์ ฉันจะบอกอาจารย์เรื่องนี้ ฉันจะให้อาจารย์แก้แค้นให้กับพี่น้องของเรา”
“ถ้าอย่างนั้นหวังว่าพวกนายจะหาอาจารย์เจอโดยเร็ว สัตว์อสูรนั่นแค่ถอยกลับไปชั่วคราวเท่านั้น ฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องไปทำ ฉันคงอยู่ด้วยไม่ได้” หวังเย่าพูดจบก็พร้อมจะเดินทางออกไป
ซูเสี่ยวซวนรีบพูดขึ้นมา “เดี๋ยวก่อน ! ”
เธอมองไปที่หวังเย่าด้วยท่าทีลังเลก่อนจะถามขึ้นมา “พาเราไปด้วยสิ ที่นี่มันอันตรายเกินไป ถ้าเราพบกับสัตว์อสูรพวกนั้นอีก เราคงรับมือไม่ไหว รบกวนนายพาเราไปด้วย”
หวังเย่าขมวดคิ้ว ในชั้นที่สี่นี้สิ่งที่อันตรายไม่ใช่แค่สัตว์อสูรไฟเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสูบเลือดด้วย หากช้าไป 15 นาที ก็จะเสียพลังไปจำนวนมาก การที่เขาเอาอีกสองคนไปด้วยนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะสร้างภาระให้กับตัวเองมากเท่าไหร่
ซูเชิงรู้ว่าคำขอของน้องสาวเขานั้นมันมากเกินไป จึงรีบบอกกับหวังเย่า “ขอบคุณที่ช่วยเราเอาไว้ หากเราได้พบกันอีกในอนาคต เราจะทดแทนอย่างแน่นอน น้องฉันยังเด็กและใสซื่อเกินไป อย่าใส่ใจคำพูดของเธอเลย”
หวังเย่ามองไปที่สองพี่น้อง พวกนี้เกือบจะโดนสัตว์อสูรกินไปแล้ว เขาขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา “ฉันจะไปหาเพื่อนอยู่พอดี ถ้าพวกนายสองคนตามทันก็ไปด้วยกันได้ ฉันต้องเตือนพวกนายไว้ก่อนว่าฉันไม่ได้จะช่วยพวกนายตามหาอาจารย์ เมื่อฉันเจอเพื่อนฉันแล้ว เราจะเดินทางไปชั้นต่อไปโดยเร็วที่สุด พวกนายจะตามฉันไปรึไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกนายเอง”
เมื่อได้ยินแบบนั้นสองพี่น้องก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา ซูเสี่ยวซวนรีบพยักหน้าและพูดขึ้น “แน่นอนว่าเราต้องตกลง ยังไงซะเราก็ต้องไปที่ชั้นต่อไปอยู่แล้ว อาจารย์กับคนอื่น ๆ ก็คงต้องไปที่นั่นแน่”
สองพี่น้องตามหวังเย่าไปหาฟู่หมิงและคนอื่น ๆ หวังเย่าได้พบกับสัตว์อสูรไฟระหว่างทาง แต่พวกนั้นก็ไม่ได้แกร่งเท่าไหร่ พวกมันไม่ได้เป็นภัยต่อพวกเขาเลย แม้ว่าหวังเย่าจะไม่ลงมือ แต่สองพี่น้องก็รับมือกับพวกมันได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
ผ่านไปครึ่งวัน หวังเย่าก็เห็นว่าสองพี่น้องสภาพดูอิดโรยมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะพัก สองคนนี้ไม่ได้แกร่งเท่ากับเขา เขาไม่กล้าเร่งความเร็วต่อ ในสภาพแวดล้อมที่โดนสูบเลือดอย่างต่อเนื่องแบบนี้ หากไม่มีของเพื่อเติมพลังแล้ว การฝืนเดินทางต่อก็อันตรายอย่างมาก
แม้ว่าหวังเย่าจะบอกว่าไม่ห่วงสองคนนี้ แต่มันก็เป็นไปไมได้ที่เขาจะปล่อยสองคนนี้ทิ้งเอาไว้
หลังจากที่หาที่ปลอดภัยได้แล้ว ทั้งสามก็ลงไปพักที่เนินเขา
“เส้นทางด้านหน้าอันตรายมากกว่านี้ ถ้าพวกนายสองคนทนไม่ไหวก็รีบถอยกลับไปทันที เมื่อพวกนายโดนสูบเลือดจนหมด พวกนายก็จะกลายเป็นศพแทน” หวังเย่าเตือนขึ้นมา
“เธอคงไม่อยากเป็นผีหรอกนะโดยเฉพาะคนที่สวยแบบเธอ” หวังเย่ามองไปที่ซูเสี่ยวซวนแล้วพูขึ้น
เธอไม่ได้แกร่งอะไร ในหมู่นักสู้ทั่วไปก็ถือ่ว่ามีฝีมืออยู่บ้าง เธอขี้สงสัยอย่างมาก ระหว่างทางเธอคอยถามนู่นถามนี่อยู่ตลอด แม้แต่สัตว์อสูรไฟ เธอก็ยังอยากรู้ว่ามันกำเนิดขึ้นมายังไง
หวังเย่าไม่รู้จริง ๆ ว่าด้วยนิสัยของสองพี่น้องนี้แล้ว พวกเขาจะรอดอยู่ในชั้นสี่ได้นานแค่ไหน แต่การที่ได้เดินทางด้วยกันก็ทำให้ หวังเย่าเข้าใจสองพี่น้องนี้มากขึ้น ทั้งสองเป็นพี่น้องกันและเป็นคนจากตระกูลระดับกลางในเขตดาวโบไลด์ ทั้งสองมีอาจารย์ ตามที่บอกมา อาจารย์ของพวกเขาไม่ใช่แค่แข็งแกร่งแต่ยังเป็นคนที่โด่งดังในเขตดาวโบไลด์ด้วย แต่เมื่อหวังเย่าถามว่าอาจารย์คนนั้นเป็นใคร ทั้งสองกลับเงียบไป ซูเสี่ยวซวนที่มักจะพูดมากกลับเงียบไปราวกับว่าตัวตนของอาจารย์นั้นเป็นความลับ
“หวังเย่า มันไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกเรื่องอาจารย์กับนาย แต่ตัวตนของอาจารย์นั้นเป็นความลับ เราไม่อาจจะพูดได้ตามใจ” ซูเชิงพูดขึ้นมา
แม้ว่าตัวตนของสองคนนี้จะน่าสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเรื่องนี้เป็นความลับ งั้นไม่ว่าตัวตนของอาจารย์ทั้งสองจะเป็นใคร แต่เมื่อเดินทางไปถึงเขตหลัก ก็คงจะรู้เองว่าอาจารย์ของสองคนนี้มีตัวตนแบบไหน
“ใช่สิ เรายังไม่รู้เลยว่านายมาจากไหน นายยังเด็กแต่แกร่งได้แบบนี้ หากมองจากทั้งเขตดาวโบไลด์แล้ว นายคงไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง นายมาจากดาวอื่นงั้นหรือ ? ” ซูเชิงถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เขารู้แล้วว่าหวังเย่าบ่มเพาะมาแค่ร้อยปี ในหมู่นักสู้แล้ว นี่คือช่วงทองในการบ่มเพาะเลยก็ว่าได้ ในโลกของนักสู้แล้ว 100 ปีคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะ เพราะมันก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว การที่ก้าวหน้ามาได้ระดับนี้ก่อนอายุจะพันปีจะเป็นตัวตัดสินความสามารถของคน ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะของตระกูลหยานหรือหยูเจียที่เป็นแม่ทัพหนุ่ม พวกนี้ต่างก็ก้าวหน้าอย่างน่าทึ่งในอายุ 100 ปีแรก แต่หวังเย่ากลับทะลวงผ่านเลเวล 100 ได้ใน 100 ปี และเกือบขึ้นมาถึงเลเวล 130 ในหมู่อัจฉริยะแล้วคนที่ทำแบบนี้ได้มีแค่หยิบมือเท่านั้น
แม้ว่าสองพี่น้องจะยังเด็กโดยเฉพาะซูเสี่ยวซวนที่อายุพอ ๆ กับหวังเย่า แต่ก็บ่มเพาะมาจนเกือบถึงเลเวล 100 แล้ว
ถ้าทะลวงผ่านเลเวล 100 ได้ก่อนอายุ 200 ปีก็ถือว่าเธอมีพรสวรรค์แล้ว นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อเห็นความแข็งแกร่งที่หวังเย่าแสดงออกมา สองพี่น้องจึงคิดว่าหวังเย่าเป็นผู้อาวุโสที่ยังดูหนุ่มอยู่
หลังจากที่รู้ว่าหวังเย่าบ่มเพาะมาแค่ร้อยปี ทั้งสองก็ต้องแปลกใจจนพูดอะไรไม่ออก
หวังเย่าได้ยินคำพูดของซูเชิงก็ยิ้มและพูดขึ้น “ฉันไม่ใช่คนจากดาวอื่น แต่แค่มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่น บ้านเกิดของฉันอยู่ในที่ห่างไกล แต่มันก็อยู่ในเขตดาวโบไลด์นี่แหละ”
เมื่อได้ยินซูเชิงพูดถึงบ้านเกิด หวังเย่าก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเพื่อนของตัวเอง พวกนั้นอาจจะตายไปแล้ว
“รับนี่เอาไว้” ซูเสี่ยวซวนส่งบางอย่างให้กับหวังเย่า “ นี่คือขนมปังที่โด่งดังที่สุดของตระกูลซู มันโด่งดังอย่างมากในเขตดาวโบไลด์ มีแค่ตระกูลใหญ่เท่านั้นที่จะได้กินมัน”
ตระกูลซูนั้นเป็นตระกูลที่โดดเด่นเรื่องธุรกิจ ซูเสี่ยวซวนเป็นเจ้าหญิงน้อยของตระกูล เธอได้รับการเอาใจใส่มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นหวังเย่าจึงยากที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมเจ้าหญิงน้อยคนนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้
ในตอนที่ทั้งสามคนพักกันอยู่นั้น บนภูเขาที่อยู่ไกลออกไปก็มีเงาของหลายคนโผล่ออกมา พวกนั้นต่างก็พากันคอยสังเกตการณ์รอบตัว
“นายท่าน เด็กนั่นน่าจะอยู่แถวนี้ ข้อความที่เจียงหยูส่งมาบอกว่าเด็กนั่นกำลังมุ่งหน้าไปหาเทพไฟ เมื่อพวกมันพบกันแล้ว เราคงเสียโอกาสนี้ไป” นายพลโรม่าพูดขึ้น
หยุนซีถามขึ้นมา “ชิรูยังไม่ส่งข้อความกลับมาอีกหรือ ? นี่มันผ่านมา 1 ชั่วโมงแล้ว ในระยะ 100 ไมล์ เธอน่าจะค้นหาเสร็จแล้ว”
โรม่าได้รับข้อความปรากฏขึ้นมาที่แขนของเขา เขามองดูข้อความแล้วพูดขึ้น “ชิรูส่งข่าวบอกมาว่าเด็กนั่นอยู่บนเนินเขาไม่ห่างจากที่นี่นัก นอกจากเขาแล้วก็ยังมีผู้หญิงและผู้ชายอีกสองคนอยู่กับเขาด้วย”
หยุนซีพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่ว่าใครจะอยู่กับมัน แต่ถ้าคิดจะหยุดเรา ก็จัดการสองคนนั้นด้วย”
ฟังจากน้ำเสียงที่อาฆาตของหยุนซีแล้ว โรม่าก็รู้ว่าหยุนซีเกลียดหวังเย่าเข้ากระดูกดำแค่ไหน เล่ยหยานได้สั่งการคนด้านหลังให้มุ่งหน้าไปตามตำแหน่งที่ชิรูส่งมาทันที
“เราเสียเลือดไปมาก แต่สิ่งนี้สามารถช่วยฟื้นฟูพลังงาน เพื่อทดแทนเลือดที่เสียไปได้” หวังเย่าโยนน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้กับทั้งสองคน
เมื่อทั้งสองคนเปิดออกดูก็พบกับของเหลวสีเขียวใสที่อยู่ด้านใน
“ไม่ต้องถาม ถามไปฉันก็ไม่บอก” เมื่อเห็นว่าซูเสี่ยวซวนกำลังจะถาม หวังเย่าก็ขัดเธอไว้ก่อน อันที่จริงแล้วนี่คือน้ำน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เจือจางแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้อายุยืนยาวขึ้น แต่ก็เพิ่มพลังชีวิตได้ หลังจากที่เจือจางกว่าร้อยเท่า ผลของน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถือว่าสูงอยู่ดี โดยเฉพาะในที่ที่เสียเลือดไปมากแบบนี้
สองพี่น้องดื่มมันไปและรู้สึกได้ถึงเลือดที่เริ่มฟื้นฟูกลับมา
แม้ว่าความเร็วในการฟื้นฟูจะไม่มากนัก แต่ทั้งสองคนก็ดีใจอย่างมาก น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เจือจางนี้สำหรับหวังเย่าแล้วมันแทบไม่ส่งผลอะไรเลย แต่มันก็ยังถือว่าพอเป็นเสบียงเติมพลังได้อยู่