ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 709 : เกาะมังกร
ตอนที่ 709 : เกาะมังกร
หวังเย่ารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ขมวดคิ้ว เขาคิดอยู่แล้วว่าเสาหินนี่จะต้องมีอะไรลึกลับอยู่ เสาหินนี้ยังจมลงไปอย่างต่อเนื่อง และยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจมลงไปเร็วเท่านั้น
เขากับแมวลงมาพักที่นี่มาก่อน เพราะมีแค่สองคนมันจึงจมลงช้าจนไม่ทันได้รู้สึก แต่เมื่อมีคนหลายสิบคนเพิ่มขึ้นมา ความเร็วที่เสาจะจมลงไปก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนรับรู้ได้ ด้วยความเร็วระดับนี้แล้วไม่ถึง 1 ชั่วโมงเสานี้คงจมลงไปในทะเลอย่างสมบูรณ์
“ไม่แปลกเลยที่คนจากตระกูลหยุนอยากยึดเสานี้เอาไว้ เป็นเพราะพวกเขารู้ถึงเรื่องนี้มานานแล้ว” หวังเย่าคิด
เขากับแมวมองหน้ากันและรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงเป็นปัญหาอย่างแน่นอน ทั้งสองคนอาจจะพอใจเย็นได้แต่คนอื่น ๆ นั้นไม่รู้ว่าคิดยังไง
แน่นอนว่าหลายคนเริ่มรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้
“ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ เสายิ่งจมลงไปเร็วเท่านั้น ถ้าดูจากคนที่มีอยู่ตอนนี้แล้วคงไม่เกิน 1 ชั่วโมงเสานี่คงจะจมลงทะเลอย่างสมบูรณ์ คนที่อยู่ที่นี่เยอะเกินไป เราอย่าให้คนอยู่บนเสาเกิน 20 คน” ผู้อาวุโสจากตระกูลหยุนพูดขึ้นมา
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็พากันคิดตาม หลายคนเริ่มคิดที่จะกำจัดคนอื่นเพื่อยึดเสานี้เอาไว้
ตอนนั้นชายหนุ่มจากตระกูลหยุนก็ได้พูดขึ้นมา “ถ้าใครอยากร่วมมือกับตระกูลหยุนของเรา เราจะให้อยู่บนเสานี่ได้”
“อย่าไปเชื่อเขา ถ้าเชื่อเขาก็เท่ากับไล่คนอื่นออกจากเสา ถึงพวกนายจะได้พักแต่ก็ต้องคอยดูแลพวกตระกูลหยุน ถ้าพวกนั้นคิดจะยึดเสานี้ไว้ งั้นแน่นอนว่าเราคงไม่ได้ประโยชน์ไปด้วย ! ” หวังเย่าไม่คิดเปิดโอกาสให้กับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
หากคนเหล่านี้ร่วมมือกับตระกูลหยุน คนที่โชคร้ายก็คงเป็นเขา แต่หวังเย่าประเมินตระกูลหยุนต่ำเกินไป ชื่อเสียงของตระกูลหยุนนั้นไม่อาจจะสั่นคลอนเพราะคำพูดของเขาได้
แม้แต่ในพื้นที่ห่างไกล ดาวระดับ 170 ก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมาก
สุดท้ายก็มีคนเลือกที่จะเข้าข้างตระกูลหยุน
“นักสู้เลเวล 130 ยอมร่วมมือกับตระกูลหยุนเพื่อที่จะแย่งที่นี่มา” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซงฮี เลเวล 135 ยอมร่วมมือกับตระกูลหยุน หวังว่าท่านหยุนซีจะพาเราออกจากชั้นสองไปได้”
“มาเกล ขอเป็นพันธมิตรกับตระกูลหยุน…”
มันมีคนที่เหลือจะเป็นพันธมิตรกับตระกูลหยุนเพื่อไล่คนอื่น ๆ ออกไปจากเสานี้ เมื่อเห็นแบบนั้นคนอื่นก็อยากร่วมมือกับตระกูลหยุนด้วย สักพักคนที่อยู่บนเสาก็เหลืออยู่แค่ 10 คน คนอื่น ๆ ทำการล้อมเสาเอาไว้และเลือกที่จะร่วมมือกับตระกูลหยุน
“เราบอกว่าต้องอยู่บนเสาแค่ 20 คน ถ้ายังเลือกต่อต้านตระกูลหยุน งั้นก็อย่าหาว่าเราไม่ไว้หน้า” ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังหยุนซีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนก็พากันร้อนใจ มีหลายคนที่พากันกระโดดออกจากเสาไปและเลือกที่จะเข้าข้างตระกูลหยุน
หยุนซีเห็นท่าทีของคนเหล่านั้นก็พยักหน้าออกมาอย่างพอใจและพูดขึ้น “เมื่อทุกคนเห็นด้วยกับฉัน งั้นก็ขอให้คนอื่นออกจากเสานี้ไปด้วย ตระกูลหยุนของเราจะให้โอกาส หวังว่าพวกนายจะรักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดี”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยุนซี คนที่ยังอยู่บนเสาก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ชัดแล้วว่าหยุนซีขู่ให้พวกเขาออกไปจากที่นี่
“เสานี้ไม่ได้เป็นของตระกูลหยุน ที่นี่ใหญ่พอที่จะจุทุกคนได้ ตระกูลหยุนนั้นใช้อำนาจของตัวเองขู่ให้เราออกไป นี่คือนิสัยของตระกูลหยุนงั้นหรือ ? ” หวังเย่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะมองไปรอบ ๆ “ ที่นี่เปิดรับทุกคน เราไม่รู้เลยว่าเสาต้นต่อไปอยู่ห่างออกไปไกลแค่ไหน ถ้าเสาต้นอื่นโดนยึดไปแล้ว มันก็มีแต่จะเสียเวลาและพลังไปเปล่า ๆ การบินออกไปสำรวจก็อาจจะเจอกับอันตราย บางทีอาจจะเจอกับพายุที่เป็นภัยถึงชีวิต ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเย่า คนอื่น ๆ ที่กลัวคำขู่ของตระกูลหยุนต่างก็พากันนึกถึงพายุที่เจอมา พวกเขาไม่อยากไปเผชิญหน้ากับพายุแบบนั้นอีก
“นี่คือข้อตกลงที่ดี เราต่างมาหาสมบัติในดินแดนนรก ทำไมเราต้องฟังคำขู่ของตระกูลหยุนด้วย แม้ว่าเสานี้จะจมแต่ก็ดีกว่าไม่ได้พัก” บางคนพูดขึ้นมา
“ใช่ ! ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขาจะกล้าสู้กับทุกคน” หลายคนเริ่มไม่พอใจกับการกระทำของตระกูลหยุน
“ไอ้เด็กนี่รนหาที่ตาย ! ” เล่ยหยานโกรธจัดจนอยากฆ่าหวังเย่าทิ้ง
เขาเห็นว่าคนอื่น ๆ เริ่มลังเลเพราะคำพูดของหวังเย่า ทำให้พวกนี้กล้าจะแข็งข้อกับพวกเขา พวกเขาจึงคิดจะลงมือสั่งสอนหวังเย่า
หวังเย่าเห็นว่าเล่ยหยานพุ่งเข้ามาหาเขา เขาก็ไม่กล้าที่จะประมาท เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหนแต่วานเซ่เคยบอกเรื่องความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายให้เขารู้มาบ้างแล้ว
แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสนี้ทิ้ง “ตระกูลหยุนไม่คิดจะไว้หน้าใคร ทำไมฉันต้องไว้หน้าพวกแกด้วย ? ”
“ตระกูลหยุนเป็นเหมือนกับสัตว์ไร้สมอง เมื่อเห็นที่ดินไร้เจ้าของก็อยากจะยึดเป็นของตัวเอง” หวังเย่าถากถางออกมา
“ฉันจะฆ่าแกแน่ ! ” เล่ยหยานตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิด “ฉันจะถลกหนังแกทั้งเป็น ! ”
เขาพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนจะต่อยเข้าใส่หวังเย่า
ปัง !
หวังเย่าใช้ฝ่ามือฉลามดำออกมาพร้อมกับฉลามที่ตัวใหญ่หลายเมตรปรากฏตัวขึ้นปะทะกับหมัดของอีกฝ่าย หวังเย่า ถึงกับต้องช็อกเพราะเขากลับต้องกระเด็นออกมา
“อย่างน้อยก็เลเวล 140 ! ” หวังเย่าคิ้วขมวดและมองไปที่เล่ยหยาน
เล่ยหยานเป็นแค่ลูกน้องของตระกูลหยุนแต่กลับเลเวลถึง 140 ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ จะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน
เล่ยหยานไม่รู้ว่าหวังเย่าคิดอะไร เขาไม่เปิดโอกาสให้หวังเย่าได้พักหายใจเลยแม้แต่น้อยและพุ่งเข้าใส่หวังเย่าต่อ
“แกคิดว่าแกจะรับมือฉันได้กี่หมัดกัน ? ” เล่ยหยานฮึดฮัดออกมา เด็กน้อยที่เลเวลไม่ถึง 130 แต่กลับรับหมัดของเขาไว้ได้ มันเกินคาดจริง ๆ
แต่เขาได้ข้อมูลหวังเย่ามาหมดแล้ว เขารู้ว่าร่างกายของหวังเย่าแกร่งกว่าผู้ใช้อสูรทั่วไปและยังมีสกิลมากมาย ตามข้อมูลที่ดูฉีชุยให้มา เขาถึงกับเอาชนะอสูรน้ำที่เลเวล 130 ได้
แต่เล่ยหยานไม่ได้คิดจะใส่ใจอะไรมาก เพราะเลเวลของเขานั้นสูงเพียงพอที่จะบดขยี้หวังเย่าได้ แค่หมัดที่ต่อยออกไปเล่น ๆ ก็ยังทำให้หวังเย่าหน้าถอดสีได้
หมัดที่มีพลังอันน่ากลัวทำให้อากาศรอบตัวบิดตัวไปด้วย มันทำให้ที่นั่นกลายเป็นสูญญากาศ ในระยะ 2-3 ตารางไมล์รอบ ๆ นั้นไม่มีอากาศให้หายใจเลย
หมัดนี้รวดเร็วอย่างมาก แม้ว่ามันจะดูเป็นหมัดธรรมดาแต่พลังของมันก็เพียงพอที่จะฆ่าคนเลเวลต่ำกว่า 130 ได้
“หมัดมังกรไฟหยินหยาง ! ” หวังเย่าเองก็หงุดหงิด หมัดของเขาห่อหุ้มไปด้วยไฟหยินหยางก่อนจะเปลี่ยนเป็นอุกกาบาตนับไม่ถ้วนที่พุ่งออกมาจากหมัด
หวังเย่ารับรู้ได้ถึงแรงโน้มถ่วงอันน่ากลัว แม้แต่สัตว์อสูรเทพก็อาจจะรับมือกับหมัดอีกฝ่ายไม่ไหว แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ หมัดมังกรนี้คือสิ่งที่หวังเย่าฝึกมานานแล้ว ความเข้าใจไฟหยินหยางของหวังเย่านั้นลึกซึ้งขึ้นมาเรื่อย ๆ เขาพบว่าการใช้ทักษะหมัดรวมกับไฟหยินหยางนั้นจะทำให้การโจมตีทรงพลังกว่าเดิมอย่างมาก
แต่แค่ว่าศัตรูที่เขาเคยเจอมาในอดีตนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พลังระดับนี้
ไฟพุ่งเข้าหาหมัดของเล่ยหยาน แม้ว่าลูกไฟที่พุ่งมานั้นจะถูกดับลงเพราะหมัดของเล่ยหยานไปบ้างแล้วแต่มันก็ดูทรงพลังอยู่ดี แม้ว่าลูกไฟนั้นจะโดนทำลายแต่ก็ทำให้พลังหมัดของเล่ยหยานนั้นอ่อนแอลง
ปัง ปัง ปัง…
ไฟระเบิดออกมาแต่หวังเย่าก็ยังโดนหมัดของอีกฝ่ายต่อยเข้าใส่ แต่ตอนนั้นหวังเย่าถอยออกมาไม่ถึง 10 เมตรก่อนที่พลังในหมัดของเล่ยหยานหมดลง แม้ว่าไฟจะดับจากหมัดของเล่ยหยานแล้ว แต่เขาก็ยังรับรู้ความร้อนที่มาจากมือได้
นี่คือพลังของไฟหยินหยาง แม้แต่คนเลเวล 140 ที่ร่างกายทำมาจากเหล็กก็ยังต้องหวั่นใจ
“น่าสนุกดี ฉันรู้ว่าแกเอาชนะดูฉีชุยมาได้ แต่ความแข็งแกร่งของแกก็ทำได้แค่สะกิดฉันก็เท่านั้น ฉันยังไม่ได้เอาจริง แกอย่าทำให้ฉันหงุดหงิดก็แล้วกัน” เล่ยหยานพูดออกมาอย่างภูมิใจ
“งั้นหรือ ? ฉันไม่ได้ใช้ทักษะหมัดแบบเอาจริงมานานแล้ว ทักษะนี่เหมือนจะขึ้นสนิม แกเป็นกระสอบทรายชั้นดีเลยล่ะ” หวังเย่าพูดขึ้น
“อย่าลืมว่าเขาเป็นผู้ใช้อสูร เขายังมีสัตว์อสูรอยู่ที่นี่ด้วย ” แมวปรากฏตัวขึ้นมาข้าง ๆ หวังเย่าและพูดขึ้น “เจ้าอยากพักหน่อยไหมล่ะ ไอ้เด็กนี่ก็ดูไม่เท่าไหร่หรอก”
เมื่อได้ยินคำพูดของแมว เล่ยหยานก็สีหน้าหม่นลง สิ่งที่แมวพูดทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก หากเขาฆ่าหวังเย่าได้ เขาจะจัดการแมวนี่ต่อทันที
เขาเลเวลสูงกว่าหวังเย่าแค่ 15 เลเวล แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ได้ใช้สกิลของสัตว์อสูรแต่ก็กันการโจมตีเขาได้ถึง 2 ครั้ง สำหรับเล่ยหยานแล้วมันทำให้เขาอับอาย
หยุนซีเห็นว่าเล่ยหยานยังไม่อาจจะจัดการกับหวังเย่าได้ก็บอกกับคนอื่น ๆ “ ไปช่วยเล่ยหยาน รีบจัดการคนพวกนั้นซะ”
“หากมีโอกาสก็ไม่ต้องเหลือไว้สักคน ! ”
“ได้ ! ” ลูกน้องอีกสามคนตอบกลับและพุ่งไปที่เสาหิน
หวังเย่าเห็นแบบนั้นก็บอกกับแมว “ฉันจัดการไอ้นี่เอง นายไปรับมือคนอื่น ๆ เอาไว้”
แมวมองไปที่หวังเย่าก่อนจะพยักหน้า เขาพุ่งกลับไปด้านหลังแล้วพูดขึ้นมา “พวกเจ้าแข็งแกร่งดีนี่ ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะทำอะไรเกราะนี่ได้รึเปล่า ! ”
ไฟสีทองลุกขึ้นมาปกคลุมตัวของหวังเย่าราวกับว่าทั้งตัวของเขากำลังลุกไหม้ มันมีมังกรสองตัวโผล่มาในมือเขา จากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นเกราะมังกร
ก่อนที่หวังเย่าจะเข้ามาในดินแดนนรกนั้น เขาก็ได้ใช้กฎไฟเพื่อสร้างทักษะใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือเกราะมังกร