ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 703 : ลำแสง
ตอนที่ 703 : ลำแสง
ค่ายกลได้เปิดการทำงาน ค่ายกลขังมังกรได้ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ หมอกขาวพรั่งพรูขึ้นมา, ภูมิประเทศเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง บางทีวินาทีต่อไปพวกเขาอาจจะยืนอยู่เหนือเมฆก็เป็นได้
“ ค่ายกลเริ่มทำงานแล้ว เรามีเวลาไม่มาก เราต้องหาค่ายกลเคลื่อนย้ายให้ได้โดยเร็วที่สุดก่อนที่จะเจอกับอันตราย” เหิงหยูเทพธิดาน้ำแข็งเห็นหมอกก็ได้บอกกับคนรอบตัวของเธอ
การดูดพลังจิตของที่นี่หนักหนาเกินไป ไม่ใช่แค่เสี่ยงต่อชีวิตแต่ยังทำให้การรับรู้มีปัญหา พวกเขาอาจจะแยกตัวกันตอนไหนก็ได้เพราะภูมิประเทศที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาเช่นนี้
แม้ว่าคนตระกูลเหิงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์จะเข้ามาที่นี่ แต่มันก็ง่ายที่คนจำนวนมากจะตายเพราะภูมิประเทศและหมอกนี่ได้
ครั้งนี้เพื่อที่จะแย่งเอาอสูรมิติมา เหิงหยูไม่ใช่แค่ลงมือเอง แต่ยังพาคนสนิทของเธอเข้ามาที่นี่ด้วย
แม่ทัพทั้งสามของเขตดาวโบไลด์ แม่ทัพอากาศ เฟิงหยู, แม่ทัพภาคพื้นดิน หยวนหยุนซี แม่ทัพทางน้ำ ยู่จี ก็ยังเข้ามาด้วย คนเหล่านี้ดูแลกองกำลังกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ภายใต้การนำของเทพธิดาหิมะในเขตดาวโบไลด์ มันคือกองกำลังที่แกร่งที่สุดนอกจากตัวเหิงหยูเอง
“ เฟิงหยู ภารกิจของนายคือกำจัดกองกำลังอื่นให้ได้โดยเร็วที่สุดในการหาค่ายกลเคลื่อนย้าย ถ้าพวกนั้นไปสมทบกับคนอื่นได้ เราจะกำจัดพวกนั้นได้ยากขึ้นไปอีก ” เหิงหยูพูดขึ้น
มันมีคนมากมายที่คิดจะแย่งเอาอสูรมิติ เพื่อให้มั่นใจว่าอสูรมิติจะตกเป็นของพวกเขา เหิงหยูจึงคิดจะลดจำนวนคู่ต่อสู้ให้ได้มากที่สุด แม้แต่กองกำลังเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เป็นภัยอะไรก็ยังถูกมองว่าเป็นปัญหา
“ได้ ! ” เฟิงหยูตอบกลับและถามขึ้นมา “ เทพธิดา ทำไมถึงไม่เห็นแม่ทัพเหลียนฉีมาด้วย ถ้าเขาอยู่ที่นี่ ฉันเชื่อว่าเราจะมีโอกาสมากกว่านี้”
“เขามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปจัดการ นายแค่จัดการกับงานของตัวเองก็พอ” เหิงหยูพูดขึ้นมา
“กองกำลังทางอากาศคงใช้เวลาไม่นาน คนอื่น ๆ มากับฉัน เราจะออกจากชั้นนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด” เหิงหยูพูดขึ้น
ปรากฏว่าเธอรู้เกี่ยวกับที่นี่มากกว่าใคร ไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งของค่ายกลแต่ยังรวมถึงตำแหน่งของค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะนำไปสู่ชั้นต่อไปอีกด้วย
เหิงหยูได้มอบหมายภารกิจให้กับแม่ทัพอีก 2 คน แต่อยู่ ๆ ก็มีลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าที่แม้แต่หมอกก็ไม่อาจจะบดบังได้
“ลำแสงพวกนี้คือค่ายกลเคลื่อนย้าย มีแค่พลังของค่ายกลเคลื่อนย้ายเท่านั้นที่จะแทงทะลุค่ายกลกักขังนี้ได้ ! ” เหิงหยูมองออกไปและพูดขึ้น
หวังเย่าเห็นลำแสงที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้า เขารู้ทันทีว่าการจะออกจากที่นี่ได้ต้องเกี่ยวข้องกับลำแสงพวกนั้น เขาได้วิ่งไปที่ลำแสงที่ใกล้ที่สุดทันที
หวังเย่ารู้สึกว่าลำแสงที่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่ห่างไปแค่ 10 ไมล์ แต่เขากลับวิ่งมาตลอดและกระโดดข้ามหน้าผามาหลายลูกแต่ก็ยังไม่เห็นว่าตัวเองจะเข้าใกล้ลำแสงนั้นได้
ในทางกลับกันแล้ว ระหว่างทางก็เห็นคนจำนวนมากต่อสู้กันอยู่ หลายคนยังไม่ทันได้ไปยังชั้นต่อไปแต่ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ พวกนี้เลเวลไม่ถึง 120 พลังจิตของพวกนี้ไม่ได้แข็งแกร่งนัก หมอกนี้กลืนกินพลังของพวกเขาไป เพื่อที่จะปกป้องตัวเองแล้ว พวกเขาได้แต่ต้องฆ่าคนอื่น ๆ เพื่อชิงเอายาเพิ่มพลังวิญญาณ
หวังเย่าเดาว่าเพราะเหตุผลนี้จึงคนจำนวนมากที่ตกรอบไป แม้ว่าจะไม่โดนหมอกกลืนกินแต่ก็คงตายเพราะฝีมือคนอื่น
“โชคดีที่ฉันไม่ได้พาหลินฉีมาด้วย ไม่งั้นแล้วคงมีปัญหาแน่ ๆ ” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะดีใจ ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และตอนนี้เขากำลังวิ่งอยู่ในป่า
ตอนนั้นกลับมีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังของหวังเย่า
หวังเย่าหลบการโจมตีและหันกลับไปมองก่อนจะพบกับคนที่ยืนอยู่บนต้นไม้ มันเป็นชายวัยกลางคนพร้อมกับมีดในมือ เดาว่าเขาคือคนที่เพิ่งโจมตีหวังเย่าไป
ชายคนนี้ไม่คิดว่าจะโจมตีพลาด เขามองไปที่หวังเย่าด้วยสายตาอาฆาตทันที
แต่หวังเย่าเองก็เป็นผู้ใช้อสูร อสูรทั้งสองของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างดี และร่างกายของเขาก็เหนือกว่าพวกเลเวลเท่ากันโดยเฉพาะหลังจากที่ได้ทำสัญญากับแมวมา เมื่อแมวผ่านการลงโทษมากได้ ร่างกายของหวังเย่าก็แกร่งขึ้นจากเดิมอย่างมาก
ชายคนนั้นพุ่งเข้าใส่หวังเย่า แต่ก็พบว่าหวังเย่าหายตัวไป เขาแปลกใจอย่างมาก เมื่อรู้สึกว่าเผชิญหน้ากับคนที่แกร่งกว่า เขาก็คิดที่จะถอยทันที
“นายลงมือแล้ว ฉันยังไม่ได้เอาคืนเลย” เสียงของหวังเย่าดังขึ้นจากด้านหลังชายคนนั้นจนทำให้ใจของเขาหล่นวูบ
“ครั้งนี้องค์กรนายส่งคนมาเท่าไหร่กัน ? ” หวังเย่าจับไปที่คอของอีกฝ่ายและถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เพราะเขาพบเครื่องหมายรูปอีกาดำที่แขนของอีกฝ่าย
“ฉันไม่บอกหรอก ! ” นักฆ่าพูดขึ้นมาพร้อมกับใช้หลังมือฟาดเข้าใส่หวังเย่าเพื่อที่จะฆ่าหวังเย่า
หวังเย่าหักคอของอีกฝ่ายทันที ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่บอกเขาจริง ๆ แม้ว่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เขาก็ไม่คิดจะเสียเวลากับเรื่องพวกนี้
หมอกกินพลังจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ หวังเย่าพบว่าพลังจิตของเขาโดนกลืนไปอย่างรวดเร็วจนเขาต้องขมวดคิ้ว
ด้วยการผลาญพลังระดับนี้แล้ว ผู้บ่มเพาะทั่วไปคงอยู่ได้แค่ครึ่งวันรึอาจจะแค่ 2-3 ชั่วโมงวิญญาณคงโดนสูบไปหมด สุดท้ายก็คงเหลือแต่ศพ
เขาไม่กล้าเสียเวลาและมุ่งหน้าไปที่ลำแสงต่อ ก่อนที่เขาจะเดินทางไปได้ไกลนักก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นจากด้านหน้า
ผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งหนีมาทางหวังเย่า เธอดูอายุพอ ๆ กับฟ่านฉิงเหมย เมื่อเห็นใบหน้าลนลานของเธอก็พบว่าด้านหลังเธอมีชายหนุ่มในชุดแดงไล่ตามเธอมา และมีดาบอยู่ในมือ
หวังเย่ารู้ว่าตอนนี้ไม่ควรที่จะเสียเวลา เขาต้องหลีกเลี่ยงปัญหาให้ได้มากที่สุด แต่ในตอนที่เขากำลังจะหลบนั้น เธอกลับวิ่งมาหาเขาแทน
หวังเย่าขมวดคิ้ว เขาพยายามจะเปลี่ยนเส้นทาง แต่ชายหนุ่มชุดแดงเห็นว่าเธอวิ่งไปหาหวังเย่าจึงได้ฟันออกมา ซึ่งระยะการโจมตีนั้นอยู่ในระยะที่หวังเย่าอยู่พอดี
เธอรู้สึกได้ถึงดาบที่ฟันเข้าใส่ที่ด้านหลังจนต้องกรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง เธอได้แต่หลับตาลงเพื่อรอความตาย หลังจากที่อดทนรอสักพัก เธอก็ลืมตาขึ้นและพบกับชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอกันการโจมตีเอาไว้ให้
“ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีคนมาช่วยด้วย แต่ก็ดีฉันจะได้พลังจิตเพิ่ม” ชายหนุ่มชุดแดงพูดขึ้นและฟันดาบเข้าใส่หวังเย่า
เธอมองไปที่แผ่นหลังของชายตรงหน้า พยายามจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักอีกฝ่ายแต่ก็ยังลังเล
ในตอนที่เธอเห็นหวังเย่า เธอก็รู้สึกสิ้นหวังไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าหวังเย่าจะมาช่วยเธอและกันการโจมตีเอาไว้
“นายมาจากกลุ่มอีกาดำรึเปล่า ? ” หวังเย่าถามขึ้นมา เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังที่น่ารังเกียจเหมือนกับชายวัยกลางคนที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้
“เมื่อแกรู้จักองค์กรเรา แกก็น่าจะรู้ว่าเรามาจากไหน ฉันจะให้แกตายสบาย ยอมแพ้ซะ ยิ่งเสียเวลาเท่าไหร่ พลังจิตของแกก็น้อยลงเท่านั้น” ชายชุดแดงพูดขึ้น
“แกมีความสามารถพองั้นหรือ ! ” หวังเย่าพูดจบก็ได้พุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที
ชายชุดแดงกำลังจะโจมตีต่อ แต่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว หวังเย่าก็มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว
มือเขายกค้างเอาไว้ ตัวของเขาแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว ฝ่ามือของหวังเย่ากดลงที่ไหล่เขา เด็กสาวมองดูฉากนี้ด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ต่อมาเธอก็ต้องกุมปากด้วยความแปลกใจ เพราะร่างของชายชุดแดงนั้นกลับกลายเป็นตอตะโกไปในทันที แม้แต่ดาบเองก็ยังละลายไปด้วย
“นาย….” เธอชี้ไปที่หวังเย่า แต่ก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้
หวังเย่าไม่ได้สนใจเธอและวิ่งต่อไป ผ่านไปสักพัก เธอก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีก
เธอวิ่งตามไปและพบกับศพโดนเผากองอยู่ตามพื้นพร้อมกับมีชายคนหนึ่งที่นั่งยอง ๆ อยู่ที่นั่น
“พี่ ! ” เธอวิ่งเข้าไปประคองตัวชายคนนั้นเอาไว้
“ชายหนุ่มคนตะกี้เป็นใคร ? ทำไมเขาถึงมีพลังน่ากลัวแบบนั้นได้ ! ” ชายคนนั้นมองไปที่ศพที่โดนเผาและถามขึ้นมาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ฉันเองก็ไม่รู้ ฉันบังเอิญไปเจอเขา เขาฆ่าคนที่ไล่ตามฉันไป” เธอส่ายหน้าและพูดขึ้นมา
…
ตอนที่หวังเย่ามาถึงลำแสง เขาก็พบว่ามีคนรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ หลายคนเป็นคนที่แข็งแกร่ง แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลหยานก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย และด้านหลังของเขาคือคนในตระกูล
“ไม่ใช่เด็กที่มากับเทพไฟรึไง ? ” หวังเย่าโดนอีกฝ่ายเห็นก็โดนจำได้ทันที
“แค่ขยะที่โชคดี” เสียงฮึดฮัดด้วยความเย็นชาดังขึ้น
“ขยะงั้นหรือ ? ” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุดมองมาที่หวังเย่าและพูดขึ้นมา “เด็กคนนี้น่ะไม่ธรรมดา”