ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 629 : ลอกเลียนสกิล
ตอนที่ 629 : ลอกเลียนสกิล
มีงูที่ลำตัวยาวกว่าหลายร้อยเมตรที่รอบตัวห่อหุ้มไปด้วยประจุสายฟ้าสีม่วงปรากฏตัวขึ้นมา มันได้พุ่งเข้าใส่หวังเย่าทันที
หวังเย่ายังยืนนิ่งและยิ้มให้กับโปโปวิชที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าของยานรบที่ไกลออกไป จากนั้นเขาก็มองไปที่เมอเรย์ที่อยู่ด้านหลังของฝูงสัตว์อสูรก่อนที่จะมีไฟกระจายออกมารอบตัวของเขา
มือขวาของเขาชูขึ้นมาพร้อมกับมังกรไฟที่พุ่งออกมาจากฝ่ามือ ก่อนจะม้วนตัวจนกลายเป็นลูกไฟ
ลูกไฟนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนแทบจะเหมือนกับดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ !
เมื่อเห็นแบบนั้น สัตว์อสูรโดยรอบต่างก็พากันชะงักไปทันที พวกมันพากันแสดงสีหน้ากังวลออกมาและมองไปที่ลูกไฟนั้น
“ นี่…อย่างน้อยต้องเป็นไฟจากหินกฎไฟระดับ 110 ! ”
โปโปวิชอึ้งกับไฟที่หวังเย่าสร้างขึ้นมา ในจักรวาลนี้มีหินกฎอยู่นับไม่ถ้วน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะดูดซับหินกฎได้อย่างราบรื่นและควบคุมพลังมันได้อย่างสมบูรณ์ แต่หวังเย่าที่อยู่ตรงหน้าเขาดูราวกับฝึกฝนการควบคุมไฟมาหลายพันปีแล้ว “ถ้าไม่เตรียมการรับมือกับไฟนี้เอาไว้ ยานของเราอาจจะโดนเผาไปด้วย” ทหารข้าง ๆ โปโปวิชพูดขึ้นมา
“ รีบสั่งการออกไปโดยเร็ว ให้ยานที่ล้อมหวังเย่าอยู่ถอยออกมา เปิดเกราะป้องกันระดับ SSS เพื่อรับการโจมตีของ หวังเย่า ! ”
“ได้ ” ทหารคนนั้นหันกลับไป แล้วสั่งการทันที
ที่ด้านหลังของหวังเย่า พวกผู้อาวุโสของกองกำลังดวงดาวต่างก็พากันมองไปที่ไฟในมือของหวังเย่าด้วยสีหน้าตกตะลึง
“มันเหมือนกับไฟจากหินกฎระดับ 100 ที่เราตามหามาก่อน ! ”
“แต่หินกฎไฟนี้อาจจะมีระดับสูงกว่าด้วยซ้ำ ลูกไฟนี่ฉันกลัวว่าคงทรงพลังไม่น้อยกว่าสัตว์อสูรเลเวล 100 ! ”
“นี่…น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ไม่รู้ว่าหวังเย่าจะใช้ลูกไฟนี่ได้กี่ครั้งกัน ? ”
ในสายตาของทุกคนแล้ว แม้ว่าหวังเย่าจะมีหินกฎไฟ แต่ก็ไม่อาจจะใช้การโจมตีแบบนี้ต่อเนื่องได้นาน
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าหวังเย่ามีแร่แม่เหล็กและดินพลังงานมากแค่ไหน ซึ่งมันเพียงพอที่จะช่วยให้เขาใช้ลูกไฟนี้ไปอีกนาน
ในทางทฤษฎีแล้ว หวังเย่าจะใช้ลูกไฟนี่ได้ 5-6 ครั้งเท่านั้น แต่ตราบใดที่หวังเย่าไม่กลัวว่าจะสร้างความเสียหายให้กับร่างกาย เขาก็สามารถกินดินพลังงานเข้าไปเพื่อเป็นเชื้อเพลิงได้ และจะสามารถใช้ลูกไฟนี้ได้ไม่จำกัด !
งูยักษ์นั่นยังไม่ทันได้ถึงตัวหวังเย่า แต่เขาก็โยนลูกไฟในมือออกไปใส่มันแล้ว
ปัง…
ลูกไฟได้ระเบิดออกพร้อมกับคลื่นพลังที่กระจายออกไปโดยรอบ และภายใต้เปลวเพลิงนั้นก็มีร่างของงูยักษ์อยู่
เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่บริเวณนั้นกลับโดนไฟของหวังเย่าเผาไป ซึ่งมันทำให้เมอเรย์ต้องตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างมาก
แต่ไม่นานเขาก็ใจเย็นขึ้นมาได้และทำการเป่าแตร
ปรู๊น….
ตอนนั้นมันได้ไปปลุกพลังให้สัตว์อสูรโดยรอบกลับมาไม่เกรงกลัวอีกครั้ง พวกมันไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป และได้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารไปในทันที
หวังเย่าได้ทำการเปิดใช้โล่เงาก่อนจะยกมือขึ้นใช้ฝ่ามือฉลามดำโจมตีเข้าใส่พวกสัตว์อสูรตรงหน้าจนมันกลายเป็นเถ้าไป
เมื่อเห็นว่าฝูงสัตว์อสูรเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ข้างกายหวังเย่าก็มีแสงส่องประกายขึ้นมา จากนั้นแฟนธอมและเอไนน์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายเขา
“พี่เย่าฆ่าศัตรูโดยไม่มีฉันข้างกายมันไม่สนุกหรอก ? ” แฟนธอมหัวเราะออกมา
“ก็นายกำลังคลั่งรักอยู่ไม่ใช่รึไง ฉันจะกล้าไปรบกวนนายได้ยังไง ? ”
“ไม่ ไม่ใช่เลย” เอไนน์รีบพูดขึ้นมา “นายท่านสำคัญที่สุดแล้ว แฟนธอมน่ะรองลงมา”
หวังเย่ามองไปที่เอไนน์แล้วรู้สึกว่าเธอนั้นสวยกว่าเดิมเข้าไปอีก
“ฉันไม่ถือสาก็แล้วกัน” หวังเย่าพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“นายท่านเพ่งสมาธิไปที่ผู้ดูแล สัตว์อสูรที่เหลือปล่อยให้เราจัดการเอง” เอไนน์พูดขึ้น
“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะรู้งานเร็วแบบนี้”
เอไนน์ยิ้มออกมา จากนั้นเธอก็ประกบมือเข้าด้วยกันก่อนที่ใต้เท้าของทั้งสามคนจะมีค่ายกลปรากฏขึ้นมา
ค่ายกลนี้ส่องแสงออกมาสว่างกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อเทียบกับเมื่อ 6 เดือนก่อน
พลังของมันไม่ได้ชัดเจนแต่กลับให้ความรู้สึกลึกลับ
หวังเย่ามองไปที่เอไนน์พร้อมกับใช้ระบบประเมินและพบว่าตอนนี้เธอเลเวล 88 แล้ว !
ดูเหมือนว่าเอไนน์กับแฟนธอมจะไม่ได้เสียเวลาไปเปล่า ๆ เธออาจจะได้รับคำแนะนำจากแฟนธอมก็เป็นได้ รึการจูบกันของทั้งคู่จะทำให้เอไนน์พัฒนาตัวเองขึ้นมา ?
หลังจากที่ได้รับบัฟมา หวังเย่าก็รู้สึกว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
แฟนธอมกางมือออกพร้อมกับดาบคู่ปรากฏขึ้นมาในมือของเขา เขามองไปที่เหล่าสัตว์อสูรก่อนที่จะมีค้างคาวพุ่งออกมาจากตัวเขาพุ่งเข้าใส่เหล่าสัตว์อสูร เหล่าสัตว์อสูรพวกนั้นตัวสั่นพร้อมกับสายตาที่แสดงความกลัวออกมา
“นี่มัน..” เมอเรย์ ที่กำลังจะเป่าแตรในมืออยู่ก็รู้สึกว่าไม่อาจจะควบคุมสัตว์อสูรได้ดังเดิม
“สัตว์อสูรเทพงั้นหรือ”
“บนดาวทมิฬมีแต่สัตว์อสูรขยะ ฉันจะแสดงให้ดูเองว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเป็นยังไง ! ”
เมอเรย์ตะโกนออกมาพร้อมกับคลื่นเสียงที่กระจายออกไปโดยรอบ
มิติรอบตัวสั่นไหวก่อนที่จะมีพายุอันแข็งแกร่งก่อตัวขึ้นมารอบตัวเขา จากนั้นก็มีสัตว์อสูรตัวขนาดใหญ่ได้โผล่ออกมาจากประตูวาร์ป
“นี่…” ผู้คนรวมถึงนอร์แมนต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
ต่อหน้าสัตว์อสูรตัวนี้ พวกเขาถึงกับรู้สึกไปชั่วครู่ว่ามันตัวใหญ่กว่าหนวดปีศาจ มันใหญ่เพียงพอที่พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากมดเลย
มันสร้างแรงกดดันให้กับทุกคนทันที
หวังเย่าเงยหน้าขึ้นมองสัตว์อสูรขนาดใหญ่แล้วใช้ระบบประเมินมัน
ชื่อ : อสูรเงาเกาโดเลเวล : 96ขอบเขต : เทพขั้นกลาง สกิล : ร่างยักษ์ ร่างกายนั้นใหญ่ราวกับว่าไม่สิ้นสุด ผู้คนไม่อาจจะรู้ที่สิ้นสุดจริง ๆ ของมันได้, กรงเล็บลม กรงเล็บขนาดใหญ่ที่สร้างความเสียหายได้อย่างหนักหน่วง , เงาจันทร์คู่ ใช้อาวุธในมือสร้างพลังงานมืดในรูปเสี้ยวพระจันทร์ออกมาเพื่อสร้างความเสียหายให้กับศัตรู การโจมตีนี้จะสร้างเครื่องหมายไว้บนตัวศัตรู เมื่อโจมตีสำเร็จแล้วจะทำเกิดการระเบิดและสร้างความเสียหายรอบตัวสกิลเทพ : คลื่นดวงจันทร์ อ้าปากออกมาเพื่อรวบรวมพลังทั้งหมดในร่างกาย ใช้การโจมตีดวงจันทร์ออกมา เมื่อการโจมตีสำเร็จจะทำเครื่องหมายเอาไว้และทำให้ศัตรูตกอยู่ในความสับสน เมื่อทิ้งเครื่องหมายครบ 99 อัน ศัตรูจะโดนทรมานจนตาย
หวังเย่าได้ส่งข้อมูลนี้ให้กับแฟนธอมทันที
แฟนธอมตรวจสอบข้อมูลที่ได้ก่อนจะยิ้มออกมา “ เครื่องหมายดวงจันทร์งั้นหรือ ฉันจะแสดงให้ดูเองว่าการโดนโจมตีนับไม่ถ้วนนั้นมันเป็นยังไง ! ”
ในตอนที่ทุกคนตะลึงอยู่นั้น ที่เท้าของแฟนธอมกลับมีค้างคาวปรากฏตัวขึ้นมา
เขามองไปที่อสูรเงาด้วยสายตาราวกับอ่านอีกฝ่ายออกทะลุปรุโปร่ง
แฟนธอมได้ใช้สกิลเทพของตัวเองออกมา ดาบในมือของเขาสั่นไหวก่อนที่แฟนธอมจะพุ่งเข้าใส่ศัตรูทันที
“โฮกก…”
เกาโดคำรามออกมา มันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อยู่ ๆ กลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและร้องออกมา
แฟนธอมรวดเร็วดั่งสายฟ้า เขาได้พุ่งไปมารอบตัวเกาโดพร้อมกับใช้ดาบฟันเข้าใส่อีกฝ่าย
ไม่นานเกาโดก็ตัวชุ่มไปด้วยเลือด มันราวกับโดนทรมานอยู่ !
“เกิดอะไรขึ้น ! ” สายตาของเกาโดนเต็มไปด้วยความกลัว มันราวกับกำลังเผชิญหน้ากับความตายอยู่
มันพยายามหนีออกมาแต่เท้าของมันกลับโดนตรึงเอาไว้ด้วยสกิลของแฟนธอม
ทั้ง ๆ ที่เป็นสัตว์อสูรเทพขั้นกลาง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแฟนธอมกลับไม่อาจจะตอบโต้อีกฝ่ายได้เลย นี่มันเป็นสัตว์อสูรเทพจริง ๆ หรือ ?
เมอเรย์ที่อยู่ด้านหลังตกตะลึงจนลืมจะใช้แตรของตัวเอง จึงทำให้ตอนนั้นเหล่าสัตว์อสูรตรงหน้าของเขาต่างก็ตกอยู่ในความสับสนอีกครั้ง
“เมอเรย์ ระวังหวังเย่าเอาไว้…เขากำลังจะไปฆ่านาย ! ”
บนยานรบหลักของดาวเฟนเซอร์ ทหารคนหนึ่งรีบติดต่อไปหาเมอเรย์ทันที
เมอเรย์เหงื่อตก เขามองไปที่กองทัพสัตว์อสูรก่อนจะรีบเป่าแตรทันที
เพราะตอนนี้เขาไม่อาจจะพึ่งเกาโดได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือยื้อหวังเย่าเอาไว้แล้วตัวเองถอยออกมา
สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนพากันแห่เข้าไปหาหวังเย่า แต่หวังเย่าไม่ได้ลนลานเลยแม้แต่น้อย เขากลับใช้ระบบในการวิเคราะห์เสียงแตรนี้แทน
วิเคราะห์สำเร็จ !
เสียงสัตว์อสูร : อสูรดวงดาว !
ข้อมูลได้ปรากฏขึ้นมาในหัวของหวังเย่าพร้อมกับที่เขาได้เผยรอยยิ้มออกมา
“เอไนน์ เธอเล่นดนตรีเป็นรึเปล่า ? ”
เอไนน์หลับตาแล้วพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “อ่ะ ฉันไม่เคยเล่น…”
“ไม่เป็นไร ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องเล่นได้แน่ ”
เอไนน์ยังไม่ทันได้เข้าใจว่าหวังเย่าพูดอะไร แต่อยู่ ๆ ก็มีท่อสีเขียวถูกดึงออกมาจากแหวนมิติ
นี่คือของที่ได้มาจากด้านในของหนวดปีศาจ มันราวกับไม้ไผ่ ด้วยการประเมินจากระบบ หวังเย่าก็สามารถทำให้มันกลายเป็นขลุ่ยได้
“เอไนน์ ลองเป่ามันดู”
“อ่ะ ? ฉันเป่าไม่เป็น”
เอไนน์รับขลุ่ยมา แต่เธอก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับดนตรีเลย
หวังเย่าเดินไปหาเอไนน์แล้วจิ้มไปที่หน้าผากของเธอก่อนที่ข้อมูลจากระบบจะส่งเข้าไปในหัวของเอไนน์ทันที
เอไนน์ได้ทำการคัดลอกสกิลของอสูรดวงดาวทันที
ไม่มีใครได้ยินเสียงดนตรี แต่มันจะมีคลื่นพลังพิเศษแผ่ออกมา ผู้คนที่ได้ยินมันจะรู้สึกสบายใจ
สัตว์อสูรที่บ้าคลั่งโดยรอบตอนนั้นพากันสงบลงในทันที พวกมันกลับผ่อนคลายขึ้นมา
การเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนจะพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลยทีเดียว
เมื่อโดนควบคุมโดยขลุ่ยของเอไนน์ เหล่าสัตว์อสูรก็พากันหันไปหายานรบด้านหลังแทน
“เกิดอะไรขึ้นกัน ? ”
“ไม่ …เป็นไปไม่ได้ ฉันฝึกพวกมันมาหลายร้อยปีแล้ว คนอื่นไม่อาจจะควบคุมพวกมันได้ นอกซะจากว่า…..เธอจะเข้าใจเรื่องดนตรีมากกว่าฉัน ! ”
เมอเรย์ตัวสั่นไปทั้งตัว ตอนนี้ในสายตาของเขามีแต่เอไนน์ จนลืมเล่นแตรที่อยู่ในมือของตัวเองไป
ด้วยความช่วยเหลือจากระบบ การรับรู้และความสามารถของเอไนน์ก็เหนือกว่าเมอเรย์ไม่น้อย
ฟรืด…
ในตอนที่เมอเรย์กำลังสับสนอยู่นั้น หวังเย่าก็ได้อ้อมไปด้านหลังของอีกฝ่ายก่อนจะตัดหัวอีกฝ่ายทิ้งทันที
“ฉันคิดว่าแกทำสัญญากับสัตว์อสูรทั้งหมดแสนตัวนี่และควบคุมพวกมันได้ซะอีก” หวังเย่าจับหัวเมอเรย์เอาไว้แล้วพูดขึ้นมา
เขามองไปที่โปโปวิชด้วยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนจะยิ้มให้กับอีกฝ่ายแล้วโยนหัวของเมอเรย์ให้กับอีกฝ่ายไป