ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 534 : พีระมิด
ตอนที่ 534 : พีระมิด
ตอนแรกรอบตัวยังคงเงียบสนิท หวังเย่ายังเดินหน้าต่อราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ยิ่งเดินลึกเท่าไหร่ก็ยิ่งรับรู้ถึงจิตรอบตัวที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
จิตบางดวงบินออกมาจากต้นไม้ มันราวกับลูกธนูที่พุ่งออกมาและเริ่มโจมตีพวกนักโทษที่เข้ามาในป่า
แม้ว่าระดับของสัตว์อสูรพวกนี้จะไม่ได้สูงนัก แต่ก็ยังทำให้บางคนบาดเจ็บได้ไม่มากก็น้อย
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดู พวกนั้นก็พบว่าหวังเย่านั้นหายตัวไปแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาหายไปที่ไหน
“ไอ้เด็กนั่นอยู่ไหนแล้ว ? ”
“เราตามไม่ทันงั้นหรือ ? ”
“เรามีคนตั้งเยอะที่ไล่ตามไอ้เด็กนี่ แต่เรากลับตามมันไม่ทัน”
หลายคนเลือกที่จะยอมแพ้และออกจากป่าไป
แม้ว่าแผนการของหวังเย่าจะได้ผล แต่ก็ยังมีหลายคนที่เลือกจะเดินทางตามเขาต่อไป
สุดท้ายก็มีหมอกออกมาปกคลุมไปทั่วพื้นที่พร้อมกับเสียงร้องของสัตว์อสูร สัตว์อสูรพวกนั้นอาจจะโจมตีพวกเขาตอนไหนก็ได้
ฟ่อออ !
งูตัวใหญ่พุ่งออกมาก่อนจะรัดตัวนักโทษคนหนึ่งแล้วพุ่งหนีไป
“ระวังตัวเอาไว้”
เจี๊ยกก…
เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับเงาขนาดใหญ่ที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า มันคือกลุ่มลิงครึ่งคนที่พุ่งเข้าโจมตีพวกนักโทษ
การต่อสู้อันดุเดือดก็ได้เริ่มต้นขึ้น
พวกนักโทษที่แข็งแกร่งหลุดออกจากวงล้อมมาได้ พวกเขาได้ออกมาจากหมอกนี้ไปได้อย่างถู ๆ ไถ ๆ
เมื่อมองไปยังหินแปลก ๆ รอบตัวก็พบกับสัตว์อสูรจิตที่ล้อมพวกเขาเอาไว้
ตอนนั้นเองก็มีบางคนที่พบว่าฉากรอบข้างได้เปลี่ยนไป
“ฉันจำได้ว่ากลุ่มนักโทษที่เข้ามาที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อนไม่ได้กลับออกไป”
“ผู้คุมเตือนว่าห้ามเข้ามาที่นี่ ไอ้หนูนั่นล่อเรามา ! ”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี ? เราจะกลับไปดีรึเปล่า ? ”
“ไอ้หนูนั่นต้องมีแผนที่แน่ ๆ เราไม่น่าจะออกไปได้ มีแต่ต้องหาตัวมันแล้วให้มันพาเราออกจากที่นี่”
“ไอ้หนู ถ้าฉันจับแกได้ ฉันจะถลกหนังแกออกแน่คอยดู”
อันที่จริงตอนนี้หวังเย่ายังยืนอยู่กับพวกนั้น เขาแค่ใช้ภาพลวงตาให้เขาดูกลายเป็นพวกเดียวกับพวกนั้น
ถึงเขาจะอ่อนแอแต่ก็มีความสามารถเพียงพอที่จะจัดการกับสัตว์อสูรในป่านี้ได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของหวังเย่าตอนนี้แล้วเขาสามารถจัดการกับสัตว์อสูรเพียงลำพังได้ถึงเลเวล 75 เท่านั้น
คนกลุ่มนี้มีพวกระดับ F กันอยู่หลายคนที่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรเลเวล 80 ได้ง่าย ๆ บวกกับการที่มีนักโทษคนอื่น ๆ เกือบร้อยคน การที่จะฝ่าออกจากที่นี่ไปจึงถือว่าเป็นเรื่องง่าย
เป้าหมายเดิมของหวังเย่าคือเขาคงจะลองเสี่ยงมาที่นี่ในอีก 10 ปีให้หลัง แต่พระเจ้ากลับให้โอกาสเขาด้วยการให้คนมากมายตามเขามา
หวังเย่าแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคน หลังจากที่รับมือกับสัตว์อสูรได้สักพัก ทุกคนก็พากันเหนื่อยขึ้นมา
หวังเย่านั่งลงบนหินและหอบหายใจ เขายกมือขึ้นมาดูและพูดขึ้น “ภาพลวงตาหมดเวลาแล้ว”
หวังเย่ารีบหันกลับไปมองนักโทษคนอื่น ๆ ทันที
นักโทษระดับ F คนหนึ่งยืนอยู่ตรงกันข้ามหวังเย่า เขาถึงกับขนลุกขึ้นมาทันที “ไอ้เด็กนั่นอยู่นี่ รีบจับมันไว้”
ทุกคนต่างก็พากันตะลึงและพุ่งเข้าใส่หวังเย่า
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก หวังเย่าจึงลุกขึ้นหนีทันที
นักโทษระดับ F อีกคนเดินไปที่จุดที่หวังเย่านั่งก่อนจะลองดมกลิ่น “ฉันจำกลิ่นแกได้แล้ว มาดูกันว่าแกจะหนีไปไหนได้ ! ”
เมฆค่อย ๆ ลอยออกไป ภูเขารอบข้างค่อย ๆ เปลี่ยนไป เส้นทางนั้นเริ่มซับซ้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ
โชคดีที่ชายหัวสุนัขนั้นเก่งในเรื่องการดมกลิ่น เขารู้เส้นทางที่หวังเย่าหนีไปได้และตามหวังเย่าไป
หวังเย่าจับเถาวัลย์ก่อนจะกระโดดข้ามบึงไป
หลังจากที่วิ่งมาได้กว่า 1 ชั่วโมง สุดท้ายเส้นทางตรงหน้าก็เปิดโล่งขึ้น มันมีสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับพีระมิดในป่าแห่งนี้
แสงแดดส่องลอดผ่านใบไม้สะท้อนให้เห็นพีระมิดที่สูงหลายร้อยเมตร
เถาวัลย์พันรอบพีระมิดนั้นเอาไว้ พร้อมกับมีดอกไม้สีเหลืองและสีแดงบานอยู่โดยรอบ
มันมีแผ่นจารึกตรงหน้าพีระมิดนี้ แม้ว่าจารึกนี่จะแตกหักไปบ้างแต่ก็ยังพอเห็นตัวหนังสือได้อยู่
แม้ว่าจะมีเครื่องแปลภาษาติดอยู่ที่หลังหูทำให้เขาเข้าใจภาษาและอ่านหนังสือจำนวนมากได้ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจข้อความบนจารึกนี้อยู่ดี
หวังเย่าค่อย ๆ เดินเข้าไปหาพีระมิดนั้น
ทางเข้าของพีระมิดนั้นราวกับงูตัวใหญ่ที่กำลังอ้าปากรออยู่ หวังเย่าเดินเข้าไปในปากของมันก่อนจะผลักประตูที่สูงกว่า 5 เมตรออก
ลมเย็น ๆ พัดออกมาจากด้านในอัดเข้าใส่ตัวหวังเย่า
“มันอยู่นั่น ! ”
ไกลออกไปนักโทษคนหนึ่งก็ได้ตะโกนออกมา
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเด็กนี่ต้องมีความลับ เราตามมาจนเจอ”
เมื่อเห็นพีระมิดตรงหน้าที่อยู่มาหลายหมื่นปี ทุกคนก็รู้ว่าบางทีพวกเขาอาจจะมีโอกาสพลิกชะตาตัวเอง
ถ้าได้พลังลึกลับที่นี่ไป งั้นก็อาจจะหนีออกจากเหมืองนี่ไปได้
“จับตัวมันไว้ ! ”
ทุกคนพากันแห่ไปที่พีระมิดทันที
เมื่อเดินเข้ามาผ่านประตูหินก็ได้พบกับอัญมณีสีเขียวด้านใน เมื่อเห็นแบบนั้น ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
จารึกตรงด้านหน้าได้บอกเล่าเรื่องราวเมื่อหลายหมื่นปีก่อน แต่ไม่มีใครสนใจว่ามันจะบอกถึงอะไร
ทุกคนพากันมองไปยังห้องด้านในก่อนที่จะมีคนคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ไอ้หนูนั่นไปไหน ? ”
เมื่อต้องจับตัวของหวังเย่ามาให้ได้ พวกนักโทษจึงได้แบ่งกันเป็น 3 ทีม แยกย้ายไปตามทางแยกทั้ง 3 ทาง
มีแค่มนุษย์จิ้งจอกเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสนก่อนจะมองไปที่ทางแยก
“เบล เอายังไง ? ”
นักโทษ 7-8 คนยืนอยู่ด้านหลังเบลก่อนจะถามขึ้นมา
“ฉันดมกลิ่นอยู่..”
“อ๊า…”
ด้านในห้องหินนั้นมีเสียงร้องของนักโทษดังขึ้นมา มันมีลูกธนูนับไม่ถ้วนถูกยิงออกมาจากกำแพง
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ทำไมนายไม่ออกไปตามหาเด็กนั่นล่ะ ? ”
เบลยิ้มและพูดขึ้นมา “แกยังไม่ไป แล้วฉันจะไปได้ยังไง ? ”
ร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา นั่นคือหวังเย่า “ถ้าแกไม่ไป งั้นฉันไปก่อนแล้วกัน”
หวังเย่าฮึดฮัดออกมาแล้ววิ่งออกไปยังทางแยกทางขวา
หวังเย่าส่ายหน้าและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ใครบอกให้พวกแกตามฉันมา ฉันรังแกคนเก่งนะไม่รู้รึไง ? ”
หวังเย่าเหยียบอีกฝ่ายก่อนจะพุ่งไปที่หน้าประตูบานหนึ่ง
หลังจากที่เปิดประตูออก กระถางไฟในห้องก็ติดขึ้นมาให้แสงสว่างกับทั้งห้อง
“มีบ่อน้ำอยู่ ! ”
หวังเย่าลองใช้นิ้วจิ้มลงไปในบ่อน้ำ เขารู้สึกว่ามันเย็นจนขนลุก
เขาเอาชุดกันน้ำที่ได้จากโทมัสออกมาก่อนจะใส่มัน ตอนนั้นนักโทษคนอื่น ๆ ก็ได้ตามเขาเข้าในห้องนั้นทันที
หวังเย่าโบกมือให้กับพวกนั้นแล้วโดดลงไปในบ่อน้ำ
“เบล เราจะยังไล่ตามมันไปไหม ? ”
เบลลองวัดอุณหภูมิน้ำดูก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น “น้ำนี่เย็นไปหน่อย แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเราแล้ว มันก็รับมือไม่ยาก ตามไป ! ”
เบลเป็นคนแรกที่กระโดดลงไปในบ่อน้ำ
คนอื่น ๆ เห็นแบบนั้นก็พากันกระโดดลงไปตาม
หลังจากที่ดำน้ำมาได้กว่า 30 นาที หวังเย่าก็พบแสงสีขาวบนหัว
“มันมีห้องลับอยู่ที่นี่ ! ” หวังเย่าว่ายน้ำเข้าไปหาแสงก่อนจะรีบปีนออกจากบ่อน้ำไป
เมื่อถอดแว่นดำน้ำออกและมองออกไปก็พบกับโลงศพขนาดใหญ่ที่ทำมาจากหยก ด้านในนั้นมียักษ์นอนอยู่ ยักษ์ตัวนี้สูงกว่า 50 เมตร มันใส่ชุดฟาโรห์และถือไม้เท้าที่มีอัญมณีเอาไว้ในมือ
หวังเย่าเปลี่ยนชุดและเดินไปที่หน้าโลงศพ เขามองไปที่ศพนั้นก่อนจะพบว่ามันตายมาหลายล้านปีแล้ว
ร่างนั้นมีรอยเหี่ยวย่นแต่กลับไม่มีความเสียหายใด ๆ ราวกับยังมีชีวิตอยู่
เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าที่นี่ไม่ต่างจากพระราชวังเลยแม้แต่น้อย
มันใหญ่ซะจนบางคนคิดว่าอยู่ในพิพิธภัณฑ์
โครงกระดูกของสัตว์อสูรที่สูงกว่าร้อยเมตรยืนอยู่รอบ ๆ วัง หวังเย่าเดินเข้าไปและพบว่ากระดูกเหล่านี้กลับเป็นหยกรึไม่ก็ทองคำ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าพวกมันตายมาแล้วกี่ปี แต่แสงเหล่านี้ก็ยังส่องแสงออกมาอยู่
“ นี่มันศพของสัตว์อสูร ! ”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย่าได้พบกับสัตว์อสูร
การที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูรนั้นแน่นอนว่าต้องมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่น ด้วยความแข็งแกร่งของหวังเย่าตอนนี้แล้ว เขาไม่อาจจะทำอะไรโครงกระดูกของพวกมันได้
หวังเย่าลองจับกระดูกพวกนั้นดูก่อนจะพบสัตว์อสูรตัวเล็กที่วิ่งออกมาจากดวงตาของโครงกระดูกพวกนี้
การกินเนื้อของศพสัตว์อสูรนี่อาจจะทำให้หนูพวกนั้นพัฒนาขึ้นมา
เมื่อเดินออกไปไม่กี่ก้าว หวังเย่าก็พบกับโครงกระดูกของครึ่งมนุษย์ที่สูงราว ๆ 7-8 เมตรนั่งอยู่บนกำแพงหินหันหน้าเข้าหาโลงศพ
ร่างนั้นสวมชุดเกราะที่เป็นประกายแต่ไม่ได้ใส่หมวก และมีผมยาวประบ่า
เขามีปีกงอกออกมาที่ด้านหลัง ปีกนั้นมีสีแดงก่ำ ที่เข่านั้นมีดาบสีทองส่องประกายอยู่
ผ่านมาหลายหมื่นปีแล้ว แม้ว่าจะเหลือแค่กระดูกแต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของเขาได้
เมื่อมองไปที่มือขวาที่จับดาบไว้แน่น ดูเหมือนว่าดาบนี่จะเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของเขา
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นอาวุธที่หายากแบบนี้ง่าย ๆ นี่ไม่ต้องนับการครอบครองมันเลย
แม้ว่าหวังเย่าจะอยากได้มัน แต่เขาก็รู้ดีว่าเขาไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะง้างมือของโครงกระดูกนี่เพื่อเอาอาวุธมา
“เขาน่าจะเป็นผู้พิทักษ์ของห้องนี้” เมื่อมองไปที่โครงกระดูกนั้น หวังเย่าก็รู้สึกราวกับกำลังตกลงจากท้องฟ้าสู่ขุมนรก
รอบตัวเกิดการบิดเบี้ยวพร้อมกับหวังเย่าที่รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เมื่อทุกอย่างสงบลง หวังเย่าก็พบว่าในหัวตัวเองมีสกิลเพิ่มมาอีกอย่าง “แปลงร่าง ! ”
แปลงร่าง ร่างกายโตขึ้นมาหลายเท่า ความสามารถในการต่อสู้และความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก
“ขอบคุณผู้อาวุโส ! ” หวังเย่าป้องมือให้กับโครงกระดูก
ซ่า…
เสียงน้ำดังขึ้นมาพร้อมกับเบลที่พุ่งจากน้ำขึ้นมายืนอยู่ที่พื้น
“ดูซิ แกจะหนีจากฉันได้อีกรึเปล่า ? ” เบลยิ้มออกมา
ซ่า…
นักโทษอีก 10 กว่าคน โผล่มาที่ด้านหลังของเบล
หวังเย่าไม่กล้าจะอยู่เฉย เขาได้โค้งให้กับโครงกระดูกก่อนจะรีบวิ่งหนีออกจากที่นี่
“ดาบนั่นเป็นของฉัน พวกแกห้ามเอาไป” นักโทษระดับ G คนหนึ่งวิ่งไปง้างมือโครงกระดูกออกแต่ก็ไม่อาจจะง้างมือนั้นออกมาได้
“มา ฉันจะช่วยเอง” นักโทษระดับ G อีกคนวิ่งเข้าไปช่วย
ปัง …
ห้องเริ่มสั่นไหวพร้อมกับหินนับไม่ถ้วนที่ตกลงมา
“ไม่ใช่ว่ามันจะถล่มรึไง..”
ตอนที่พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานอยู่นั้น พวกเขาก็พบว่าโครงกระดูกนั้นฮึดฮัดออกมา
แสงได้ส่องประกายออกมาจากดาบ !
“ไม่ ! ”
ฟรืด
แสงสีขาวส่องประกายออกมาพร้อมกับนักโทษสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าโครงกระดูกนั้นได้ระเหยไปกับอากาศ
นักโทษคนอื่น ๆ พากันขนลุกและพูดขึ้นมา “โชคดีที่ฉันไม่คิดจะแย่งเอาดาบนั่นมา”
“อย่าแตะต้องอะไรที่นี่ ตามไอ้เด็กนั่นไปต่อ” เบลตะโกนขึ้น
คนอื่น ๆ ได้สติกลับมาและพากันตามเบลออกไป เพื่อไล่ล่าหวังเย่าต่อ
เมื่อมาถึงประตูอีกห้องก็ต้องพบกับฉากที่ทำให้พวกเขากลัวขึ้นมา
แม้ว่าจะยังอยู่ด้านในพีระมิด แต่ที่นี่ก็ราวกับสนามรบเก่าแก่
กองกระดูกนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วพร้อมกับอาวุธต่าง ๆ
กองกระดูกของสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนพวกนี้ทำให้พวกนักโทษรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากมดปลวกเลยในตอนนี้
สัตว์อสูรที่ตายแทบทั้งหมดอยู่ระดับเทพ เมื่อหลายแสนปีก่อนที่นี่จะน่ากลัวแค่ไหนกัน
เผ่าจิ้งจอกได้กำเนิดขึ้นที่นี่จริง ๆ หรือ ?
นี่คือคำถามที่โผล่ขึ้นมาในหัวของทุกคน
เมื่อเดินผ่านสนามรบนั้นมา เบลก็พาพวกเขามาถึงประตูอีกบาน
พวกเขาต้องแปลกใจที่พบว่ามีภูเขาลูกเล็ก ๆ ในพีระมิดด้วย
เมื่อเห็นกองศพสัตว์อสูรที่ชุ่มไปด้วยเลือด เบลก็พูดขึ้นมา “มันน่าจะเป็นสัตว์ในสุสานในอดีต มันอาจจะมีสายพันธุ์ใหม่กำเนิดขึ้นมา เราต้องระวังตัวเอาไว้”
สุสานแห่งนี้ได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของสัตว์อสูร หลังจากที่เข้ามาในพีระมิดแห่งนี้ได้ พวกมันก็ได้ทำการกินซากศพที่นี่
ตามการคำนวณแล้วสัตว์อสูรที่นี่ส่วนมากแล้วเลเวลคงไม่ต่ำกว่า 80-89 แต่ระหว่างทางพวกเขาเจอกับสัตว์อสูรแค่ไม่กี่ตัว มันแทบไม่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเลย
“ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรที่ฝ่าเข้ามา…โดนสัตว์อสูรด้านในกินหมดแล้วหรือ ? ” เบลเริ่มใจสั่น
เดินเข้ามาในถ้ำได้ไม่นาน พวกเขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งออกมาจนทำให้ทุกคนต้องขมวดคิ้ว
ครืน….
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมกับมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น
เบลเดินหน้าต่อก่อนจะพบกับหวังเย่าที่กำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรเลเวล 85 อยู่
สัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์นี่ตัวยาวหลายสิบเมตร ตัวมันเหมือนกับกิ้งก่าและมังกรผสมกัน ตัวของมันแดงก่ำราวกับมีลาวาไหลวนอยู่ในตัว ผิวของมันสะท้อนแสงสีเหลืองออกมา
ด้านหลังมันมีปีกสีทองขนาดใหญ่ หากกางปีกออกแล้วเนื้อที่ของถ้ำนี้คงไม่เพียงพอสำหรับมัน
ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่มันก็ยังสร้างลมพัดหวังเย่าออกไปได้
ครืน !
แกร๊ก…
ที่กำแพงด้านหลัง หวังเย่าถูกลมเฉือนจนมีหินกระเด็นออกมา
ตาของหวังเย่าอาบไปด้วยเลือด ที่อกของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล ปากของเขายังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด
มือหนึ่งกุมไปที่อกและมองไปที่สัตว์อสูรตรงหน้าก่อนที่จะมีข้อมูลโผล่มาในหัวของเขาชนิด : กิ้งก่าปีกทองคำแนะนำ : สัตว์ผู้พิทักษ์เก่าแก่ สัตว์อสูรหายาก เลเวล : 85 ระดับ : ศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางสกิล : ธนูปีกทอง ยิงธนูทองออกมาจากปีก ใช้ได้ 3 ครั้งต่อวัน จะทำให้เป้าหมายกลายเป็นหิน, คำราม สร้างพายุด้วยเสียงคำราม ทำให้เป้าหมายมึนงงและทำให้ความแม่นยำในการโจมตีลดลงอย่างมาก, พายุมีด พายุที่สามารถตัดทะลุเกราะของสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ง่าย ๆ ทำความเสียหายร้ายแรงให้กับศัตรู
ตะกี้นี้ หวังเย่าเพิ่งเข้ามาในถ้ำ เขาไม่คิดว่าที่นี่จะมีสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ เขาเจอรังของมันในถ้ำนี้ ในรังมันมีไข่ขนาดใหญ่ที่ส่องแสงสีแดงออกมา ตอนที่เขากำลังจะแตะไข่นั่น อยู่ ๆ สัตว์อสูรนี่ก็ปรากฏตัว
มันคำรามใส่หวังเย่าด้วยความโกรธก่อนจะมีพายุมีดพุ่งเข้าใส่เขา
ตอนที่เบลและคนอื่น ๆ เข้ามาในถ้ำนั้น มันก็มีแผนโผล่เข้ามาในหัวของเขา
เบลคิดว่าจะให้หวังเย่าโดนสัตว์อสูรนี้จัดการให้ตายไปโดยที่พวกเขาไม่ต้องลงมืออะไร แต่ไม่รู้เลยว่าหวังเย่านั้นใช้ภาพลลวงตาให้เห็นว่าเขาโดนสัตว์อสูรนี่ฆ่า
เมื่อหวังเย่าตายไป เบลก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากในเรื่องนี้
กิ้งก่าปีกทองเห็นว่าหวังเย่าโดนฆ่าไปแล้ว มันจึงหันไปสนใจเบลและคนอื่น ๆ แทน
ปีกของมันกางออกพร้อมกับลูกธนูที่ยิงออกมา
แกร๊ก …
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถในการอ่านสถานะแบบหวังเย่า พวกนักโทษไม่รู้ความสามารถของสกิลนี้เลย
เมื่อเห็นธนูนั้นพุ่งเข้ามา พวกนั้นก็พากันยกอาวูธของตัวเองป้องกันเอาไว้ บางคนถึงกับจับลูกธนูเหล่านี้เอาไว้
แต่ในพริบตาพวกนั้นก็พบว่าฝ่ามือของตัวเองกลายเป็นหิน
“ ไม่ อย่าแตะต้องลูกธนูพวกนี้” เบลรีบตะโกนออกมาแต่ก็พบว่าพวกของเขา 7-8 คนได้กลายเป็นหินไปแล้ว