ระบบพี่เลี้ยงอสูรขั้นเทพ (神宠进化系统) - ตอนที่ 395 : เส้นขอบฟ้า
ตอนที่ 395 : เส้นขอบฟ้า
ในตอนที่เดินทางนั้นหวังเย่าก็เลือกที่จะเดินข้างชายหัวโล้น
ด้านหลังนั้นคือทีมต่าง ๆ จากแต่ละเมือง
ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะไม่กล้าและไม่อยากเข้าใกล้ชายหัวโล้น
แม้ว่าพลังที่ชายหัวโล้นระเบิดออกมาจะหายไปแล้ว แต่ความรู้สึกกดดันก่อนหน้านี้ก็ยังหลอกหลอนในใจพวกเขาอยู่
ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ แม้แต่กลุ่มทหารรับจ้างกุหลาบที่นำโดยตี้เวยจื๊อก็ยังเว้นระยะห่างกับชายหัวโล้นเอาไว้ ราวกับว่าคอยระวังตัวจากอีกฝ่ายอยู่
ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา พวกเขาได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากนั้นสักพักพวกเขาก็เดินทางเข้ามาถึงส่วนลึกของทะเลทราย ที่นั่นเหมือนไม่มีอะไรเลย
สักพักพวกเขาก็เหมือนกับถึงที่หมาย ชายหัวโล้นได้หยุดและดึงเอาคริสตัลออกมาจากกระเป๋า คริสตัลนี้แผ่แสงอันสดใสออกมา
คนด้านหลังพากันมองไปยังคริสตัลนั้นด้วยความสับสน
ตอนที่คริสตัลนี้โผล่มาก็มีค่ายกลปรากฏขึ้นมาตรงหน้าทุกคนด้วย
แสงสว่างเจิดจ้าขึ้น เมื่อทุกคนปรับตัวกับแสงได้นั้นก็พบว่ามีประตูปรากฏขึ้นมาที่ใจกลางทะเลทราย
“ตามมา” ชายหัวโล้นหันกลับมาก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูนั้น ร่างของเขาหายไปจากตรงหน้าทุกคน
หวังเย่าเดินตามไปอย่างไม่ลังเลก่อนจะหายตัวไปเช่นกัน
คนอื่น ๆ เองก็เดินเข้าไปด้วย
มีคนไม่มากที่ยังลังเล พวกเขาหันกลับไปมองทะเลทรายด้านหลัง แต่เมื่อพบว่าประตูนี้กำลังจะหายไป พวกเขาก็ได้แต่ทำใจแข็งและเดินเข้าไปตาม
สุดท้ายเมื่อทุกคนเข้าไปในประตูหมดแล้ว ประตูนั้นก็ระเบิดออกกลายเป็นแสงสว่างแล้วหายไป
ไม่นานพื้นที่นี้ก็เกิดพายุทรายก่อตัวขึ้นปกคลุมพื้นที่
ตอนแรกมันมีแต่ความมืดมิดและรู้สึกเหมือนกำลังตกจากที่สูง มันเหมือนไม่มีท่าทีว่าจะหยุด และราวกับเหวลึกที่ไร้ขอบเขต
ที่นี่แม้แต่หลักการเรื่องเวลาและมิติก็เหมือนไม่มีอยู่
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่พวกเขาก็พบกับแสงสว่างจ้าจนทำให้ทุกคนต้องหลับตาลง
ความรู้สึกตกจากที่สูงเมื่อตะกี้ได้หายไป หวังเย่ารู้สึกว่าเขาได้กลับมายืนบนพื้นอีกครั้ง เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะเผยสีหน้าตะลึงออกมา
พื้นที่ที่เขายืนอยู่ตอนนี้เป็นเหมือนภาพลวงตา เขากำลังยืนอยู่ในอากาศ
ใช่ ถึงมันเป็นความว่างเปล่าแต่มันก็เหมือนกับพื้นดินที่สามารถรับน้ำหนักตัวเขาได้
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เหตุผลที่หวังเย่าตกใจ สิ่งที่ทำให้เขาตกใจนั่นก็คือด้านล่างของเขาเป็นทะเลทรายที่พวกเขาเคยอยู่
ถูกต้อง ด้านล่างนั้นคือทะเลทรายที่พวกเขาเคยอยู่มาก่อน
ตอนนี้พวกเขาเหมือนกับยืนอยู่บนท้องฟ้า รึว่าอาจจะเป็นเส้นขอบฟ้าแห่งนี้ก็ได้
มันไม่ชัดเจนว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่
ตอนนั้นด้านหลังหวังเย่าก็มีเสียงโวยวายดังขึ้นมา ชัดแล้วว่าพวกที่ตามมาทีหลังต่างก็ตกใจกับสถานการณ์ตอนนี้
“นะ นะ นะ นี่มันที่ไหนกัน ! ? ”
“เรายืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายงั้นหรือ ? ”
“นี่มันบ้าอะไร ! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น ? ”
ทุกคนกลัวจนพากันร้องออกมา
มันคือฉากที่พวกเขาเกินจะรับไหว
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับสถานการณ์แบบนี้
ตี้เวยจื๊อสวมหน้ากากอยู่แต่สายตาของเธอก็บ่งบอกว่าเธอเองก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย
แม้แต่เธอก็ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน
“เงียบก่อน ! ” เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหน้าจนทำให้ทุกคนต้องเงียบไป
“ที่นี่คือเส้นขอบฟ้าหรืออาจจะเรียกว่าปลายขอบฟ้าก็ได้ มันเป็นสถานที่ที่ใกล้กับกำแพงโลกมากที่สุด ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยนายท่านของข้าและชายคนนั้น ตราบใดที่พวกเจ้าตามข้ามาก็ไม่มีปัญหาอะไร ต่อไปพวกเจ้าก็หุบปากแล้วตามข้ามา อย่าคิดเดินไปที่อื่น ถ้าไม่งั้นแล้วหากพวกเจ้าร่วงลงไป แม้แต่ข้าก็คงช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้”
เมื่อพูดจบชายหัวโล้นก็หรี่ตาลงกวาดตามองทุกคนก่อนจะเดินหน้าต่อ
หวังเย่าไม่ได้สนใจและรีบเดินตามไป พวกคนด้านหลังเองก็รีบตามไปเช่นกัน ตอนนี้ในหัวพวกเขาไม่มีความคิดที่จะหนีอยู่เลยแม้แต่น้อย
ที่นี่ทั้งลึกลับและน่ากลัวเกินไปสำหรับพวกเขา
ตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่ทำตามที่ชายหัวโล้นบอกมา พวกเขาต้องเดินตามไป ใครกันจะกล้าเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับที่นี่
พวกเขาเดินไม่เร็วนักเพราะชายหัวโล้นเองก็ไม่ได้เดินเร็วเช่นกัน แม้แต่ชายหัวโล้นเองก็ไม่กล้าที่จะประมาท
มันเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่ากำแพงโลกนี้น่ากลัวแค่ไหน
ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา บางคนกลัวจนพูดไม่ออก บางคนปรับตัวได้แล้วและมองดูสภาพแวดล้อมรอบตัวพร้อมกับครุ่นคิดไปด้วย
ยกตัวอย่างเช่นหวังเย่า ตอนนี้เขาขมวดคิ้ว ในที่สุดเขาก็รับรู้ได้ถึงคลื่นพลังของปีศาจ
มันทำให้เขากังวลใจอย่างมาก มันหมายความว่าที่หมายที่เขาจะไปนั้นมีคำตอบที่เขาคาดหวังอยู่
หลังจากที่เดินบนเส้นขอบฟ้าได้สักพัก พวกเขาก็ราวกับเข้าไปยังพื้นที่อื่น พื้นที่ด้านล่างไม่ใช่ทะเลทรายอีกแล้วแต่กลับเป็นความว่างเปล่าแทน
บนหัวพวกเขาตอนนี้กลับมีจุดแสงโผล่ขึ้นมา
สุดท้ายจุดแสงนั้นก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นดวงดาวที่กระพริบอยู่ในท้องฟ้า
แม้ว่าจะอยู่ไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่ แต่รูปร่างและความงดงามของดวงดาวก็ยังแสดงให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจน
หากอยู่บนพื้นดิน พวกเขาคงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นฉากที่งดงามแบบนี้
ตอนนี้พวกเขาราวกับอยู่ในจักรวาล
มันราวกับพวกเขาอยู่นอกโลก..