ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 421-2 เฒ่าอำมหิต (1)
ตอนที่ 421 เฒ่าอำมหิต (1)
……….
อู๋ขุยซานกลับหัวเราะ หยุดมือแค่นั้น เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ปลาหมอตายเพราะปาก คนอย่างนายก็กล้าโวยวายกับฉัน? ไปเรียกปู่นายมาสิ นายนับว่าเป็นเรื่องอะไรกัน!”
เวลานี้จู่ๆ กะโหลกก็เกิดเสียงปริแตกเล็กน้อย บนกะโหลกสีทองอร่ามปรากฏรอยแยกอยู่บ้าง
ครู่ต่อมาเนื้อหนังก็งอกใหม่ หลังจากนั้นสักพักใบหน้าของเจิ้งหมิงหงก็ฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง สีหน้ากลับซีดเผือดอยู่บ้าง
หันไปมองอู๋ขุยซาน เจิ้งหมิงหงฝืนยิ้มอย่างเจ็บปวด “อู๋ขุยซาน ฉันกลับประเมินนายต่ำไป โลกข้างนอกบอกว่านายยากที่จะขึ้นขั้นเก้า ฉันว่าเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น”
เขาไม่ได้คิดหยุมหยิมกับเรื่องที่ถูกอู๋ขุยซานซัดฝ่ามือจนกระดูกทองแตกเมื่อครู่ ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ คำว่า ‘สารเลว’ ที่เขาตะโกน ก็ไปกระตุ้นโทสะของอู๋ขุยซานจริงๆ เวลานี้พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
ส่วนฆ่าเขา อู๋ขุยซานไม่ทำหรอก ทั้งไม่กล้าด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นอู๋ชวนยังอยู่ที่นี่ อู๋ขุยซานฆ่าเขาไม่ได้เหมือนกัน
แต่ทำพลาดไปก็ต้องถูกลงโทษ อู๋ขุยซานซัดฝ่ามือเดียวก็โจมตีเขาได้ เรื่องนี้ไม่อาจหาความยุติธรรมจากใครได้ เว้นเสียแต่ว่าจะปะทุสงครามใหญ่จริงๆ
อู๋ขุยซานหยุดมือแล้ว ซุนเยวี่ยชิงที่กำลังเตรียมตัวหนีก็หยุดลงเช่นกัน หน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด
อู๋ชวนแค่ตำหนิไปเท่านั้น กลับไม่ได้ขัดขวางอะไร เวลานี้ไม่พูดอะไรอีกแล้ว
อู๋ขุยซานหัวเราะ เอ่ยเสียงเบาว่า “ขั้นเก้าเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว แต่ถึงจะไม่ได้เข้าสู่ขั้นเก้า คนอย่างพวกนายยังคงไม่อยู่ในสายตาฉันอยู่ดี! สิ่งที่ควรพูด ฉันก็พูดไปแล้ว ยาบำรุงและอาวุธมูลค่าสองแสนล้าน กลับไปก็ส่งไปถึงมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ หลังจากนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะไม่จัดสรรวัตถุดิบใดใดให้ทั้งสองบริษัทอีก วางใจเถอะ ฉันแค่เอาสิ่งที่เป็นของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้กลับคืนมา คนอื่นๆ ฉันคร้านจะสนใจ ถ้ารู้สึกว่าไม่ยินยอม ให้คนมาหาฉันได้ แต่ขั้นเก้าทั่วไปอย่าเสียเวลามาเลย หาขั้นเก้าขั้นสุดยอดมาสักคนเถอะ ฉันก็อยากเปิดหูเปิดตาเหมือนกัน ขั้นเก้าขั้นสุดยอดของมนุษย์จะโหดเหี้ยมขนาดไหน เลือดเย็นถึงขั้นไหน!”
พวกเจิ้งหมิงหงไม่รับบทสนทนา อู๋ชวนเอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “อธิการอู๋ เรื่องราวยังไม่ได้บทสรุป นี่ก็เป็นแค่แผนสุดท้ายเท่านั้น!”
“ฮ่าๆ”
อู๋ขุยซานหัวเราะอย่างดูแคลน เอ่ยหยอกว่า “บางทีละนะ แน่นอนว่าถึงเวลานั้นจริงๆ บางทีฉันอาจจะเห็นด้วยกับแผนนี้ แต่ว่า…นักศึกษามหาวิทยาลัยของฉัน หรือยังต้องกลายเป็นของสังเวยทั้งหมด? ยังไงก็ต้องพาไปบางส่วนหรือเปล่า”
อู๋ชวนสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยอย่างสุขุมว่า “ฉันบอกว่ายังไม่ได้บทสรุป! หากถึงเวลานั้นจริงๆ ไม่อาจเป็นอย่างที่นายจินตนาการแบบนั้นหรอก ขั้นเก้าขั้นสุดยอดก็ไม่สามารถตัดสินใจชี้ขาดได้เหมือนกัน หากเป็นแบบนั้นจริงๆ ฉันคนหนึ่งแล้วที่ไม่เห็นด้วย!”
“นายคัดค้านมีประโยชน์หรือไง?” อู๋ขุยซานดูแคลนอยู่บ้าง
อู๋ชวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “หรือนายคิดว่าโลกนี้มีแค่นายที่ไม่กลัวอะไรเลย? ฉันก็มีความกล้าเหมือนกัน! ยิ่งไปกว่านั้นคนส่วนมากไม่เห็นด้วย รวมถึงผู้บัญชาการหลี่!”
“ผู้บัญชาการหลี่…”
อู๋ขุยซานฟังจบก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ถูก งั้นจะตั้งตารอดูละกัน”
พูดจบ อู๋ขุยซานก็หันไปมองฟางผิง ยิ้มเบาๆ ว่า “ไอ้หนู เรียนรู้ไว้เถอะ พูดกับพวกเขาไปมากมายขนาดนั้นมีประโยชน์อะไร! ช่วงชิงมาตรงๆ ซะ ไม่ให้งั้นก็สู้! เอาชนะพวกนี้ก็ได้แล้ว”
เจิ้งหมิงหงไม่พูดอะไร ซุนเยวี่ยชิงเผยสีหน้าจนใจ ถอนหายใจว่า “อธิการอู๋ บางเรื่องพวกเราก็ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเหมือนกัน นายน่าจะเข้าใจ”
“เข้าใจ เข้าใจอยู่แล้ว”
อู๋ขุยซานเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่ยินยอมก็คือไม่ยิมยอม แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจไม่ได้ ต่อให้เข้าใจ ฉันก็ไม่อาจนั่งมองอาจารย์และนักศึกษาของฉันถูกกำหนดให้กลายเป็นของสังเวยได้! ดังนั้นฉันก็ไม่ได้ต้องการเกินตัว ฉันแค่อยากเอาของของมหาวิทยาลัยกลับคืนมา”
เจิ้งหมิงหงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “นายคำนึงถึงแค่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ อู๋ขุยซาน นายไม่คิดว่าตัวเองก็มีความเห็นแก่ตัวอย่างนั้นเหรอ?”
“เห็นแก่ตัว?”
อู๋ขุยซานเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เป็นความเห็นแก่ตัว แต่แล้วจะยังไง? ทุกคนล้วนเป็นคนเหมือนกัน อาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมนุษย์หรือไง? มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ได้หลบหลีกสงครามสักหน่อย? มีทรัพยากร มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น อาจารย์และนักศึกษาของฉันต้องต่อสู้จนถึงท้ายที่สุดอยู่แล้ว สู้จนคนสุดท้ายล้มลง!”
“ฉันตายได้แค่ในถ้ำใต้ดิน ไม่อาจตายในโลกที่สับสนอลม่านนี้!”
อู๋ขุยซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน “ตาย ก็ต้องยืนตายอย่างองอาจเท่านั้น!”
เจิ้งหมิงหงไม่ได้พูดอีก ซุนเยวี่ยชิงก็รักษาความเงียบเช่นกัน
อู๋ชวนเอ่ยเสียงเบา “ชั่วชีวิตนี้ของพวกเราไม่อาจคุกเข่าใช้ชีวิตได้เช่นกัน”
อู๋ขุยซานชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แค่นยิ้มว่า “ค่อยๆ ดูกันไปเถอะ ขอตัวล่ะ”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้ อู๋ขุยซานก็สาวเท้าออกไปทันที
ฟางผิงรีบตามออกไป หวังจินหยางก็ไม่ชักช้า ตามออกไปด้วยกัน
เฉินเย่าถิงหยัดกายเดินออกไปด้วยท่าทีเรียบนิ่งเช่นเคย
—
รอทุกคนออกไปแล้ว จู่ๆ เจิ้งหมิงหงก็ระเบิดโทสะทันที “ฉันเป็นคนที่ต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตหรือไง? สิ่งที่ฉันทำทั้งหมด หรือเพื่อตัวเองคนเดียว? อู๋ขุยซานทำเป็นองอาจกล้าหาญ เขาจะเป็นวีรบุรุษ หรือฉันเป็นแค่คนไร้ความสามารถ? เถียนมู่ด่าว่าฉันเป็นไส้ศึก อู๋ขุยซานลงมือกับฉันตรงๆ ถือสิทธิ์อะไรกัน? พวกเขามีความสามารถก็ไปถามกับขั้นเก้าขั้นสุดยอดพวกนั้นสิ มาหาฉัน เพราะฉันรังแกง่ายอย่างนั้นเหรอ? แม่งเหอะ ฉันไม่ทำแล้ว! ใครอยากจะทำก็ทำไป! เดิมทีเรื่องบ้าๆ บอๆ พวกนี้แทบไม่เกี่ยวกับฉันด้วยซ้ำ รังแกคนเกินไปแล้ว!”
ซุนเยวี่ยชิงถลึงตาใส่เขา ผ่านไปพักหนึ่งก็เอ่ยอย่างจนใจ “เมื่อกี้ทำไมนายไม่พูดล่ะ”
เจิ้งหมิงหงเอ่ยอย่างโมโห “ฉันสู้เขาไม่ได้ จะพูดได้ไงกัน!”
อู๋ชวนกวาดสายตามองเขา เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ไม่ต้องมาพูดกับฉัน ฉันไม่สนใจเรื่องนี้ อีกอย่าง ตกลงจ้าวอวี่เป็นเรื่องยังไงกันแน่?”
เจิ้งหมิงหงเอ่ยอย่างมีโทสะ “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง! บริษัทยาบำรุงมีคนเยอะขนาดนั้น จะให้แม่งจับตามองทุกคนหรือไง?”
อู๋ชวนหน้าเปลี่ยนสีทันที แค่นเสียงว่า “นายลองพูดแม่งอีกครั้งดูสิ!”
เจิ้งหมิงหงหุบปากลงทันที ก่อนจะหงุดหงิดกลบเกลื่อน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ทะยานขึ้นฟ้าไปทันที หายไปในชั่วพริบตา
อู๋ชวนถูขมับเล็กน้อย ซุนเยวี่ยชิงเห็นแบบนั้นก็เอ่ยอย่างขมขื่นว่า “ผู้บังคับการ งั้นฉันก็ขอตัวก่อน ทางมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้…ช่างกล้าละโมบจริงๆ อู๋ขุยซานควบคุมพวกเราไว้ทุกด้านแล้วสินะ?”
อู๋ชวนแค่นเสียงว่า “ดูแลคนของพวกนายให้ดีเถอะ! ไม่มีตัวจุดชนวนอย่างฟางผิง อู๋ขุยซานคงไม่ระเบิดแบบนี้หรอก ฉันเตือนพวกนายไว้ก่อน คนอย่างพวกเราสามารถตายในสงครามถ้ำใต้ดินได้ แต่ไม่อาจตายในเงื้อมมือคน! ครั้งหน้าถ้ามีคนของสองบริษัทใหญ่โผล่หน้ามาอีก ฉันจะฝังพวกนายซะ!”
ซุนเยวี่ยชิงเผยสีหน้าจนใจ “คนเยอะขนาดนั้น…ช่างเถอะ พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้แค่เพิ่มการป้องกันแล้ว ใช่สิ อู๋ขุยซานจะเข้าสู่ขั้นเก้าแล้วงั้นเหรอ?”
อู๋ชวนส่ายหัว “ขั้นแปดสูงสุดแล้ว เจ้าคนอำมหิตนั่นทะลวงด่าอย่างเงียบเชียบ ไม่บอกใครสักคน เตือนพวกนายไว้ก่อน อย่าไปยั่วโทสะเขา…สามปีก่อน คนที่บุกเข้าไปในเมืองเทียนเหมินอาจจะเป็นเขา”
“อะไรนะ!”
ซุนเยวี่ยชิงตกตะลึงอยู่บ้าง ก่อนจู่ๆ จะตระหนักอะไรได้ ขมวดคิ้วว่า “งั้นเขา…มีอาวุธวิเศษขั้นเก้า?”
อู๋ชวนพยักหน้าเบาๆ กดเสียงว่า “สามปีก่อน ต้นเทียนเหมินถูกฟันกิ่งหลักออกไปส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นเขา งั้นเขาก็ต้องมีอาวุธวิเศษขั้นเก้าแน่ ดังนั้นฉันจึงบอกว่าอย่าได้ยั่วโทสะเจ้าคนอำมหิตนั่น ให้เจิ้งหมิงหงยอมรับแต่โดยดี หากปู่เขาไปหาเรื่องจริงๆ ถูกซ้อมตายอย่าโทษว่าพวกเราไม่ช่วยล่ะ”
“นี่…นี่…”
ซุนเยวี่ยชิงรู้สึกว่าตัวเองแทบจะอกแตกตายแล้ว นับวันก็ใช้ชีวิตยากขึ้นเรื่อยๆ
แก่ก็อำมหิต เด็กก็เจ้าเล่ห์ หากอู๋ขุยซานเฒ่าอำมหิตนั่นซ่อนอาวุธวิเศษขั้นเก้าไว้ ขั้นเก้าทั่วไปยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริงๆ
ซุนเยวี่ยชิงถูขมับเช่นกัน ถอนหายใจว่า “รู้แล้ว ตาเฒ่านี่อดทนเก่งจริงๆ ใจก็เหี้ยมพอด้วย”
ที่บอกว่าอดทนเพราะอู๋ขุยซานไม่เคยเปิดเผยความสามารถมาโดยตลอด
ใจเหี้ยม เพราะสงครามที่อธิการเฒ่าตายในครั้งนั้น อู๋ขุยซานไม่ได้ลงมือ ปล่อยให้อธิการเฒ่าไปรบจนตาย
ถ้าเขามีอาวุธวิเศษขั้นเก้าจริงๆ ฝีมือแข็งแกร่ง เขาลงมือก็สามารถลดคนตายไปได้หนึ่งคน
อู๋ชวนเอ่ยอย่างลึกล้ำว่า “เกรงว่าเขาจะอยากเข้าสู่ขั้นเก้าเพื่อฟันเจ้าเมืองเทียนเหมิน”
ซุนเยวี่ยชิงม่านตาหดเกร็งเล็กน้อย เข้าใจทันที “ไม่น่าล่ะ…”
หากเพราะเรื่องนี้จริงๆ งั้นก็สามารถเข้าใจได้
แต่ครั้งนี้อู๋ขุยซานเปิดเผยความลับไม่น้อย…
ระหว่างที่คิด จู่ๆ อู๋ชวนก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ซื้อใจฟางผิงยังไงล่ะ เขาทะลวงขั้นเก้า…เมื่อไหร่ยังพูดยาก แต่ฟางผิง…เข้าใจความหมายของฉันหรือเปล่า?”
ซุนเยวี่ยชิงกระจ่างใจอีกครั้ง ยิ้มเจื่อนว่า “เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ตาแก่นั่นปล่อยให้ฟางผิงดิ้นรนไป จากนั้นก็ออกมาเผยอย่างหมดเปลือก เหอะ หน้าเนื้อใจเสืออย่างที่คิด ฟางผิงเจ้าเด็กเวรนั่น ตอนนี้น่าจะซาบซึ้งจนน้ำตาไหล กลับไปถวายชีวิตให้เขาแล้ว”
“นั่นก็พูดยาก”
อู๋ชวนหัวเราะว่า “ฟางผิงไม่ใช่คนที่ต่อกรง่ายเหมือนกัน…”
จู่ๆ อู๋ชวนก็ตบเข่าฉาดใหญ่ ขมวดคิ้วว่า “ลืมถามเรื่องอื่นไปเลย…”
เมื่อกี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไป ลืมถามฟางผิงว่าเรื่องกระดูกทองเป็นมายังไง ยังมีเรื่องของหวังจินหยางอีก ตอนนี้คนพวกนั้นเผ่นหายไปจนไม่เห็นเงาแล้ว
“นายกลับไปก่อนเถอะ เรื่องที่ฉันคาดเดาพวกนี้…ไม่จำเป็นต้องรายงานขึ้นไป”
ซุนเยวี่ยชิงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ตาเฒ่านั่นรู้ว่าฉันยื่นคำร้องไป ใครจะรู้ว่าคิดยังไง ถูกเขาหลอกฆ่าตายยังไม่รู้ว่าจะไปหาใครมาล้างแค้นให้เลย”
อู๋ชวนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง นายเข้าใจก็ดีแล้ว
อู๋ขุยซานสามารถรับช่วงต่อเป็นอธิการมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ทั้งก่อนที่อธิการเฒ่าจะจากไปก็มอบอำนาจให้เขาอย่างไร้ความกังวลใจ ไม่ใช่แค่เพราะว่าฝีมือขั้นแปดของเขาอย่างเดียว
คนอย่างอธิการเฒ่าที่ไม่ชอบวางแผนการอะไรพวกนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่เข้าใจอะไรเลย
กล้าไปต่อสู้ตายในสนามรบอย่างสบายใจ ย่อมต้องมีความมั่นใจอยู่แล้ว
มีอู๋ขุยซานอยู่ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่อาจล่มสลายได้
ส่วนฟางผิงที่ถูกผลักออกมาตอนนี้…ก่อนที่เจ้าเด็กนี้ยังไม่ถึงขั้นแปด อย่าพูดว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะแซ่ฟางเลย
ถึงขั้นแปดแล้ว เจ้าเด็กนี้อาจโหดเหี้ยมสู้อู๋ขุยซานไม่ได้เสมอไป
———————–
……….