ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 421 เฒ่าอำมหิต (1)
ตอนที่ 421 เฒ่าอำมหิต (1)
……….
คล้อยหลังจากที่อู๋ขุยซานเปิดปาก ห้องโถงก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง
ดูท่าครั้งนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะตัดสินใจแน่วแน่ เข้าสู่การแก่งแย่งผลประโยชน์แล้ว
ทุกคนไม่ได้โง่ ตั้งแต่ที่ฟางผิงลากสองบริษัทใหญ่ลงน้ำ อันที่จริงทุกคนก็รู้จุดประสงค์ของเขาแล้ว
ฝึกวิชามาถึงขั้นนี้แทบจะอยู่ในตำแหน่งใหญ่โต ใครจะเป็นคนโง่ได้
หรือพวกเจิ้งหมิงหงจะมองไม่ออกอีก?
มองออกตั้งนานแล้ว!
แต่แม้เจิ้งหมิงหงจะถูกคำพูดของฟางผิงไล่ต้อนจนถึงขั้นขายหน้าอยู่บ้างก็ไม่ยอมเอ่ยปาก เพราะไม่อยากให้เรื่องแย่ลงไปกว่านี้
เขาสูญเสียสสารไม่แตกดับของตัวเองไปเล็กน้อย ถูกฟางผิงที่อยู่ขั้นห้าประชดแดกดัน นั่นยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ความสามารถในการกล้ำกลืนฝืนทน คนที่อยู่ตรงนี้มีกันแทบทุกคนอยู่แล้ว มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่จะรับไม่ไหวอยู่บ้าง
เงียบไปพักหนึ่ง อู๋ชวนเอ่ยว่า “ฉันก็อยู่ต่อไม่ได้งั้นเหรอ?”
เขาเป็นถึงผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้
หนึ่งในสี่กองตั้งมั่น!
แม้ประสบการณ์ของเขาจะนับว่าไม่ลึกล้ำพอ แต่เขาเป็นยอดฝีมือขั้นเก้า รวมถึงฐานะผู้บังคับการกองตั้งมั่นเฝ้าระวัง ถือเป็นหนึ่งในระดับสูงของมนุษย์เช่นกัน
อู๋ขุยซานมองเขาอยู่สักพัก จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อผู้บังคับการยินดีที่จะอยู่ต่อ งั้นก็ได้ คนที่อยู่ตรงนี้ ใครยินดีจะอยู่ต่อก็ได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าบางครั้งรู้มากไปอาจไม่ใช่เรื่องดี”
คนฉลาดยังคงมีมาก อู๋ขุยซานพูดแบบนี้ หลายคนก็ไม่มากความ ลุกขึ้นเดินออกไปทันที
รู้มากอาจไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ
สิ่งที่อู๋ขุยซานพูดว่า ‘ไม่ให้ก็ช่วงชิง’ เขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปด อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งหนึ่ง เอาความมั่นใจที่ไหนมาพูดแบบนี้?
แม้ว่าประธานสองบริษัทใหญ่พวกนี้จะเป็นยอดฝีมือขั้นแปด แต่ไม่ได้หมายความว่าสองบริษัทใหญ่มีความสามารถแค่นี้จริงๆ
หลังจากที่คนบางส่วนออกไปแล้ว สุดท้ายในห้องโถงก็มีคนเหลือแค่แปดคน
ประธานสองบริษัทใหญ่ อู๋ชวน อู๋ขุยซาน ฟางผิง ตาเฒ่าหลี่ หวังจินหยาง…คนสุดท้ายกลับเป็นเฉินเย่าถิง
เห็นเฉินเย่าถิงอยู่ต่อ อู๋ขุยซานแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด กลับไม่พูดมากอะไร
เฉินเย่าถิงจะอยู่ที่นี่ให้ได้ งั้นเขาก็จะไม่ไล่คนเหมือนกัน
ส่วนหวังจินหยาง หากเขาจะอยู่ต่อก็ตามใจเถอะ แม้ว่าหวังจินหยางจะฝีมือธรรมดา ดูเหมือนไม่มีคนหนุนหลัง ในความเป็นจริงสามารถมองเป็นตัวแทนของหนานเจียงได้เหมือนกัน
คนอื่นๆ ไปแล้ว จู่ๆ อู๋ขุยซานก็ปลดปล่อยพลังจิตใจออกมา ชั่วพริบตารอบทิศทางของห้องโถงก็ถูกปกคลุมด้วยม่านพลังจิตใจ
เจิ้งหมิงหงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “อู๋ขุยซาน นายอยากพูดอะไร!”
เวลานี้อู๋ขุยซานนั่งลงแล้ว ใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอด ไม่สนใจเจิ้งหมิงหง แต่บอกเป็นนัยให้ฟางผิงนั่งลงข้างเขา
รอฟางผิงนั่งแล้ว อู๋ขุยซานก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นายเนี่ยนะ ยังเด็กเกินไป บางครั้งต้องวางแผนเผื่อการเคลื่อนไหวข้างหลังด้วย จะรีบร้อนเกินไปไม่ได้ อันที่จริงเรื่องนี้สามารถค่อยเป็นค่อยไป รออีกหน่อยได้ รอพวกเราได้หลักฐานที่จ้าวอวี่เกี่ยวข้องกับลัทธินอกรีต ภายใต้สถานการณ์ที่หลักฐานมัดตัว เด็ดหัวจ้าวอวี่ไปที่กระทรวงพาณิชย์ได้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่เจรจาต่อรองกับสองบริษัทนี้ เข้าใจความหมายของฉันหรือเปล่า? ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวใหญ่โต ไม่จำเป็นต้องให้คนรู้ทั่วกัน เพื่อสยบปัญหา หลายเรื่องสามารถค่อยๆ พูดกันได้ ขายหุ้นเท่านั้น นับเป็นเรื่องอะไรกัน หุ้นพวกนี้ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ มูลค่าน่าจะไม่กี่เจ็ดหมื่นแปดหมื่นล้าน สำหรับสองบริษัทใหญ่แค่เงินเล็กน้อยเท่านั้น”
ฟางผิงพยักหน้าระรัว “ผมแค่รู้สึกว่าจะช้าเกินไปแล้ว…”
“ช้าหน่อยไม่เป็นไร ตอนที่ควรอดทนก็ต้องอดทน”
“อู๋ขุยซาน ที่นี่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้! ถ้านายอยากสอนนักศึกษา รอกลับมหาวิทยาลัยแล้วค่อยสอน!”
เจิ้งหมิงหงขมวดคิ้ว เผยสีหน้าไม่พอใจ
อู๋ขุยซานหัวเราะ ก่อนจะพยักหน้าว่า “ได้ งั้นฉันไม่สอนแล้ว เอาแบบนี้เถอะ เจิ้งหมิงหง ซุนเยวี่ยชิง หุ้นของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้และหุ้นบางส่วนของบริษัทยาบำรุงในมือฟางผิง พวกนายซื้อกลับไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสด จัดสรรยาบำรุงและอาวุธในมูลค่าสองแสนล้าน…เท่าราคาทุนก็พอแล้ว”
“…”
เกิดเป็นความเงียบจนน่าตกใจ!
ล้ออะไรกันเล่น!
ฟางผิงเผยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน ตาเฒ่าอู๋เจ๋งจริงๆ!
นี่ก็คือช่วงชิงที่เขาพูดถึง?
ช่วงชิงจริงๆ นั่นแหละ ยาบำรุงและอาวุธที่มูลค่าสองแสนล้านเท่าราคาทุน สองบริษัทใหญ่ขายออกไป เกรงว่าน่าจะเกือบล้านล้าน!
นี่เทียบกับช่วงชิงแล้วยังเจ๋งเป้งกว่าอีก!
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่แค่คุณพูดออกไปก็สำเร็จแล้วหรือไง?
แน่นอน ฟางผิงรู้ว่าอู๋ขุยซานต้องมีความมั่นใจอยู่บ้าง ประเด็นอยู่ที่ความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน แค่หุ้นเล็กน้อยนั้นของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้งั้นเหรอ อย่าพูดว่าจัดสรรทรัพยากรเท่าราคาทุนสองแสนล้านเลย ให้แปดหมื่นล้าน ฟางผิงก็คิดว่าได้กำไรแล้ว
เจิ้งหมิงหงยิ้มอย่างเยือกเย็น “อู๋ขุยซาน นายยังไม่ตื่นเต็มตาหรือคิดว่าตัวเองว่างเกินไป?”
ซุนเยวี่ยชิง ประธานจากบริษัทอาวุธก็แค่นยิ้มเช่นกัน “ประธานอู๋ คุณไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือไง?”
ระหว่างที่พูด ซุนเยวี่ยชิงก็เอ่ยต่อ “แบบนี้เถอะ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของพวกนายตัดสินใจจะเดินคนละเส้นทางกับพวกเรา ในเมื่อความคิดไม่ตรงกัน พวกเราก็ไม่คิดขัดขวาง จะซื้อหุ้นกลับมาในราคาสองหมื่นล้าน ถ้าไม่อยากได้เงินสด พวกเราสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มูลค่าห้าหมื่นล้านในราคาตลาดให้พวกนายได้ อธิการอู๋ นี่ถือเป็นการให้ข้อยกเว้น นายน่าจะรู้ว่าสามารถให้ค่าตอบแทนแบบนี้ได้ ถึงขีดจำกัดพวกเราแล้ว”
ตอนนี้คนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว ซุนเยวี่ยชิงไม่วางท่าเหมือนก่อนหน้านี้อีก คนน้อยลง อันที่จริงถึงจะสามารถเจรจาเงื่อนไขได้ง่ายกว่า
แม้สองบริษัทใหญ่จะประนีประนอม ก็ไม่อาจประนีประนอมต่อหน้าคนอื่นได้
อู๋ขุยซานหัวเราะ เอ่ยว่า “ไม่รีบ ฟังฉันพูดให้จบก่อน สองแสนล้านแทบไม่หนักหนาอะไร บางทีฟังจบแล้ว พวกนายอาจจะรู้สึกว่าสองแสนล้านน้อยเกินไปซะอีก”
เจิ้งหมิงหงกระวนกระวายในใจอยู่บ้าง กดเสียงว่า “ได้ ฉันกลับอยากฟังว่านายจะพูดอะไร!”
ฟางผิงทำหน้าสงสัยเช่นกัน ไม่ได้พูดอะไร รอคอยอย่างเงียบๆ
ตกลงอู๋ขุยซานจะพูดอะไร?
อู๋ขุยซานกลับเผยสีหน้าสบายๆ เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “แผนเก็บเมล็ดพันธุ์…บางทีน่าจะเรียกแบบนี้ได้ล่ะมั้ง ฉันไม่รู้ว่าพวกนายให้คำนิยามแบบนี้หรือเปล่า นี่คงพอแล้วสินะ?”
ตอนที่อู๋ขุยซานพูดประโยคนี้ออกมา พวกเจิ้งหมิงหงก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก!
ไม่ใช่แค่พวกเขา อู๋ชวนก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “อู๋ขุยซาน นายไปรู้มาจากไหน!”
“รู้กันหมดจริงๆ ด้วย”
อู๋ขุยซานพูดด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก สัพยอกว่า “ฉันคาดเดาออกมา พวกนายเชื่อหรือเปล่า?”
ทั้งสามคนสีหน้าแทบดูไม่ได้
เฉินเย่าถิงและตาเฒ่าหลี่ที่อยู่ด้านข้างเผยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน ไม่ปริปากพูดอะไร
ฟางผิงและหวังจินหยางงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ราวกับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
อู๋ขุยซานยังคงเผยรอยยิ้มขี้เล่น ปัดฝุ่นล่องหนที่ขาเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สองแสนล้าน ไม่อยากได้มากกว่านี้ อย่าบีบเค้นพวกเรา พวกเราแค่อยากเอาของของตัวเองกลับคืนเท่านั้น! อีกอย่างมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่ขอทาน! หากทั้งสองคนไม่สามารถตัดสินใจได้ ก็หาคนที่ตัดสินใจได้มาแทน”
สีหน้าของเจิ้งหมิงหงเยียบเย็นอย่างถึงที่สุด เอ่ยอย่างจริงจัง “อู๋ขุยซาน นายต้องยอมรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาจากคำพูดของนาย!”
‘ปัง!’
จู่ๆ อู๋ขุยซานก็ซัดฝ่ามือลงมา โต๊ะชาที่อยู่ด้านข้างแหลกเป็นผุยผงในชั่วพริบตา!
เวลานี้อู๋ขุยซานเผยสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมาเช่นกัน เยือกเย็นจนทำให้บรรยากาศของห้องโถงหนาวเหน็บขึ้นมา
“ฉันต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว! แม้จะตาย ฉันก็จะตายในถ้ำใต้ดินเท่านั้น ไม่อาจมาตายระหว่างทางหนีได้!”
อู๋ขุยซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะโมโหขึ้นมาอย่างสุดขีด เอ่ยอย่างน่าสะพรึงกลัว “พวกเราเป็นของสังเวย แม้จะต้องสังเวยชีวิตก็ไม่อาจทำเพื่อพวกนาย! พวกเราต่อสู้เพื่อมนุษย์ที่ถูกละทิ้งไว้ข้างหลังพวกนั้น ต่อสู้เพื่อตัวเอง! ลัทธินอกรีตกวาดล้างไม่สิ้นซาก ขั้นเก้าขั้นสุดยอดพวกนั้น สนใจลัทธินอกรีตจริงๆ งั้นเหรอ? หลายปีมานี้ พวกนายคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยหรือไง? อย่าบีบฉัน ไม่ได้พูดเล่น อย่าได้บีบพวกเราเด็ดขาด! คนที่ซื่อตรงก็มีโทสะเช่นกัน! พวกเราหลั่งเลือดอยู่แนวหน้า ตกลงเพื่ออะไรกัน? พวกนายลองบอกมาว่าตกลงสู้เพื่อใคร เพื่อสิ่งที่เรียกว่าเมล็ดพันธุ์และชนชั้นอภิสิทธิ์? ถือสิทธิ์อะไร!”
อู๋ขุยซานปะทุโทสะขึ้น กลางห้องโถงปรากฏลมพัดอย่างบ้าคลั่ง ฟางผิงและหวังจินหยางอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้
“นักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของฉันมีคนตายไปเท่าไหร่แล้ว! นักรบหน่วยทหาร สละชีพในถ้ำใต้ดินไปตั้งกี่คน ตายในถ้ำใต้ดิน ฝังในถ้ำใต้ดิน!”
“ตอนนี้กระทั่งการฝึกวิชาของตัวเอง พวกเรายังไม่อาจเติมเต็มได้ด้วยซ้ำ ยังต้องรอดูท่าทีของพวกนายอีก ถือสิทธิ์อะไร!”
“เพื่อชนชั้นอภิสิทธิ์กลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยเข้าสู่ถ้ำใต้ดินงั้นเหรอ?”
“น่าขำ!”
“บางเรื่อง อย่ามองว่าทุกคนเป็นคนโง่ เป็นคนปัญญาอ่อนกันหมด! หลายคนรู้ แต่พวกเขาแค่ไม่พูด ไม่อยากพูด ไม่ยินดีจะพูด แต่ฉันไม่กลัว!”
“เรื่องที่ฟางผิงไม่กล้าทำ ไม่สามารถทำได้ ไม่ได้แปลว่าฉันจะทำไม่ได้!”
“สองแสนล้าน นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยของฉันใช้เลือดเนื้อแลกมา! หากกล้าพูดคำว่าไม่ออกมา ถ้าฉันยังไม่ตาย จะมาโทษว่าฉันไม่สนใจต่อสิ่งที่เรียกว่าภาพรวมไม่ได้!”
เวลานี้อู๋ขุยซานเผยความแข็งแกร่งและความน่าเกรงขามจนถึงขีดสุด!
พวกเจิ้งหมิงหงสีหน้าดูไม่ได้อย่างยิ่ง
เฉินเย่าถิงที่อยู่ด้านข้างพูดเบาๆ ว่า “ไม่ต่างจากที่ฉันคาดจริงๆ ด้วย ช่างเถอะ มหาวิทยาลัยจิงหนานคงไม่ยุ่งกับผลประโยชน์พวกนี้ ทั้งสองคนแบ่งปันเทคนิคบางอย่างก็เพียงพอแล้ว หลังจากนี้มหาวิทยาลัยจิงหนานก็จะผลิตเองใช้เองบ้าง”
“หนานเจียงก็เหมือนกัน!” แม้หวังจินหยางจะไม่เข้าใจเรื่องราวภายในเท่าไหร่ แต่ช่วงเวลานี้เขาต้องช่วงชิงผลประโยชน์ให้หนานเจียง
“สารเลว!”
เจิ้งหมิงหงตะโกนอย่างโมโห ปรากฏว่าพูดไม่ทันขาดคำ ครู่ต่อมาประกายแสงสีทองก็สะท้อนทั้งฟ้าดิน ฝ่ามือเหล็กซัดเข้าหน้าผากของเขาอย่างเงียบเชียบ
‘แกร็ก…’
เกิดเสียงดังก้องเบาๆ หัวของเจิ้งหมิงหงยุบลงไปทันที ชั่วพริบตานั้นเนื้อหนังก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือแต่กะโหลกเอาไว้
“อธิการอู๋!”
อู๋ชวนตะโกนเสียงดัง ซุนเยวี่ยชิงที่อยู่ด้านข้างขวัญกระเจิงแล้ว เสี้ยวนาทีนั้นก็เตรียมจะหนีออกจากที่นี่ทันที
——————
……….