ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 404 จัดสรรพลังฟ้าดิน (1)
ตอนที่ 404 จัดสรรพลังฟ้าดิน (1)
……………………………………………………………………..
พลังจิตใจและปราณที่เพิ่มขึ้น รวมกับการฟื้นตัวของกระดูกทองต่างต้องการเวลาเพื่อทำการควบคุมและคุ้นเคยกับพลัง
แต่ตอนนี้ฟางผิงฝีมือแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อก่อน
ฝีมือยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งปรับตัวง่ายขึ้นเท่านั้น
ในสถานการณ์ที่ไม่ต้องกังวลอะไร สิ้นเปลืองค่าทรัพย์สินไปเกือบสองร้อยล้าน ฟางผิงจึงใช้เวลาห้าวันเพื่อปรับตัวให้คุ้นชินเรื่องกับทั้งหมดได้
และห้าวันนี้ นอกจากฟางผิงจะปรับตัวกับพลังที่เพิ่มขึ้น อวัยวะภายในก็มีความก้าวหน้าครั้งใหญ่ด้วย
อวัยวะตันทั้งห้าหลอมจนถึงขีดจำกัดแล้ว ส่วนอวัยวะกลวงทั้งหก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่เล็กและถุงน้ำดีพวกนี้แทบจะหลอมหมดแล้ว
เวลานี้เหลือแค่กระเพาะปัสสาวะและอวัยวะภายในส่วนน้อยที่ยังหลอมไม่เสร็จสิ้น
ใช้เวลาอีกไม่กี่วัน ฟางผิงก็จะสามารถหลอมอวัยวะภายในสำเร็จ เข้าสู่ขั้นห้าตอนกลางอย่างเป็นทางการได้แล้ว
แต่พวกหวังจินหยางที่ทะลวงในเวลาใกล้เคียงกับเขา เกรงว่ายังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
—
ทรัพย์สิน : 9,000,000,000
ปราณ : 2450 แคล (4699 แคล)
จิตใจ : 650 เฮิรตซ์ (829 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูก : 177 ชิ้น (100%) , 26 ชิ้น (90%) , 3 ชิ้น (30%+)
ช่องเก็บของ : 4 ลูกบาศก์เมตร (+)
ม่านพลังงาน : ค่าทรัพย์สินหนึ่งหมื่นต่อนาที
“ปราณและพลังจิตใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย กะโหลกเหลืออีกสามชิ้นที่ไม่ได้หลอม”
ฟางผิงคำนวณพักหนึ่ง กะโหลกสามชิ้นสุดท้ายหลอมเสร็จสิ้น เกรงว่ายังจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เขาอาจไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งได้เสมอไป
กะโหลกที่เหลือสามชิ้น เขาวางแผนรอให้เนื้อหนังและเส้นลมปราณหลอมเสร็จสิ้นก่อน หรือก็คือแตะถึงขั้นห้าสูงสุด เขาถึงจะลองเปลี่ยนแปลงเป็นกระดูกทองอีกครั้ง
“เคล็ดวิชาต่อสู้แทบไม่ได้ฝึกอะไรเลย ต้องตั้งใจอย่างจริงจังซะแล้ว”
ฟางผิงคำนวณในใจ ตอนนี้อันที่จริงเขาเรียนรู้เคล็ดวิชาต่อสู้ไว้ไม่น้อย
ดาบคลั่งโลหิต ดาบพิชิตสวรรค์ หมัดจินกัง หมัดหมัวเหอ วิชาเคลื่อนที่ในอากาศ…รวมทั้งเคล็ดวิชาต่อสู้พื้นฐานและการแทงเท้า
ยังมีวิชาลับอย่างเกาทัณฑ์เลือดและวิชาบ่มเพาะกระบี่ของตาเฒ่าหลี่
สองเคล็ดวิชาดาบ สองเคล็ดวิชาหมัด อันที่จริงต่างเป็นการสืบทอดจากสำนักเดียวกัน
ทั้งเคล็ดวิชาที่สืบทอดจากสำนักเดียวกันยังมีประโยชน์อย่างหนึ่ง นั่นก็คือสามารถประสานนอกและใน มองเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้เดียวกันเพื่อใช้ฝึกวิชาได้
เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลางยึดภายนอกเป็นหลัก เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับสูงยึดภายในเป็นหลัก ฝึกนอกและในพร้อมกัน งั้นก็ไม่จำเป็นต้องแยกฝึกอีกแล้ว
“พูดแบบนี้แสดงว่าก็มีแค่เคล็ดวิชาดาบ วิชาหมัด และวิชาฝีเท้า รวมทั้งวิชาลับอีกไม่กี่อย่างเท่านั้น”
วิชาลับพวกนี้ฟางผิงไม่คิดจะละทิ้ง
รวมถึงวิชาเกาทัณฑ์เลือดก็เหมือนกัน ของสิ่งนี้อย่ามองว่าเป็นเคล็ดวิชาระดับกลาง ในความเป็นจริงแม้จะเป็นปรมาจารย์ขั้นเจ็ดพวกนั้น ขอแค่กระดูกใบหน้ายังหลอมไม่เสร็จสิ้น ภายใต้การลอบโจมตีมีโอกาสถูกฆ่าเช่นกัน
“เคล็ดวิชาฝีเท้าถือว่าทำได้ดี อย่างอื่นขาดแค่เล็กน้อยเท่านั้น”
ฟางผิงสรุปผลการฝึกวิชาของตัวเอง ตั้งแต่เข้าสู่ขั้นสี่จนถึงขั้นห้า ขั้นตอนนี้เขาก้าวกระโดดเร็วเกินไป
กลางเดือนสิงหาคม เขาเพิ่งจะเข้าขั้นสี่ พอถึงเดือนธันวาคมก็ทะลวงขั้นห้าแล้ว
จากระดับกลางจนถึงตอนนี้รวมทั้งหมดสี่เดือนกว่าเท่านั้น
ช่วงเวลานี้เขาไล่ตามการฝึกวิชามาโดยตลอด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เคล็ดวิชาต่อสู้เท่าไหร่ ในถ้ำใต้ดิน…นั่นก็วิ่งหนีเป็นหลัก
คนที่สามารถเอาชนะศัตรูได้ ไม่ใช่อาศัยที่เคล็ดวิชาต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่เป็นการบดขยี้ด้วยพื้นฐานร่างกาย ปราณ พลังจิตใจและวิชาลับพวกนี้
ถ้ามีคนที่มีพื้นฐานเดียวกับฟางผิง อย่างเช่นฉินเฟิ่งชิง อันที่จริงเคล็ดวิชาต่อสู้ของเขาไม่เลวเลย พื้นฐานเหมือนกับฟางผิง ฟางผิงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสมอไปจริงๆ
“ไม่อาจจะอาศัยพื้นฐานกดขี่คนอื่นตลอดได้ หากเจอผู้ฝึกยุทธ์ที่เหมือนกับฉันจริงๆ นั่นไม่ใช่จะถูกบดขยี้หรือไง หากพวกหวังจินหยางกลายพันธุ์ที่อื่นอีก ฉันคงสู้ไม่ไหวแล้วจริงๆ…”
ฟางผิงสะบัดหัว นี่ไม่ใช่ความกังวลที่ไร้สาระ
จากการคาดการณ์ของพวกหลู่เฟิ่งโหรว คนพวกนี้อาจไม่ได้กลายพันธุ์แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หากเป็นแบบนั้นจริงๆ เคล็ดวิชาลึกล้ำกว่าเขา นั่นคงขายหน้าแล้ว
กำลังวางแผนว่าจะฝึกวิชาต่อไปยังไง นอกห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ฟางผิงเก็บข้าวของลวกๆ แล้วก็สาวเท้าออกจากห้องฝึกวิชา ไม่ได้เดินไปเปิดประตู แต่ประตูเปิดโดยอัตโนมัติ
ฟู่ชางติ่งที่ยืนอยู่ข้างนอกเห็นประตูเปิดแต่ไม่มีคน ฟางผิงยังนั่งอยู่บนโซฟาก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “พลังจิตใจ?”
“อืม”
ฟางผิงพยักหน้าเบาๆ ฟู่ชางติ่งเผยสีหน้าอิจฉา ไม่อาจเทียบได้จริงๆ
ดูสิ คนเขาไม่ต้องลุกเปิดประตูเองด้วยซ้ำ
“นั่งเถอะ วันนี้คิดยังไงมาหาฉันที่นี่ได้?”
อันที่จริงทั้งสองคนอยู่ห้องใกล้กัน แต่ช่วงนี้ทุกคนต่างยุ่งกับการฝึกวิชา
ไม่ใช่แค่ฟางผิง พวกฟู่ชางติ่งก็มีแรงกดดันอย่างหนัก ตอนนี้แทบจะบากบั่นฝึกวิชาไม่หลับไม่นอน หลายวันนี้ฟู่ชางติ่งก็อยู่ในห้องฝึกวิชามาโดยตลอดไม่ออกไปไหนเช่นกัน
เจ้าหมอนี้ครั้งนี้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จะไม่เอาเงินจากครอบครัว แต่ไปกู้ยืมคะแนนเองมาสามพันคะแนน
ผู้ฝึกยุทธ์ที่กล้าตัดสินใจเด็ดเดี่ยว กู้ยืมคะแนนเยอะๆ ในครั้งเดียวแบบนี้ มีน้อยจริงๆ
ฟู่ชางติ่งถอนหายใจ นั่งลงบนโซฟา ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “เพิ่งกลับมาจากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ หลายวันนี้นายไม่ได้ไปเลยถือโอกาสมาแจ้งข่าวด้วย”
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องของทางหนานเจียง สองวันก่อนรุ่นพี่จางอวี่และประธานเหลียงก็ตามเข้าไปเหมือนกัน เมื่อวานกลุ่มของพวกประธานเซี่ยออกมาบางส่วนแล้ว”
ฟางผิงดึงสติกลับมาทันที เอ่ยว่า “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
ฟู่ชางติ่งขมวดคิวเล็กน้อย “คนที่ออกมามีแต่อาจารย์และนักศึกษาที่บาดเจ็บ ครั้งนี้บาดเจ็บกันหลายคน แม้ว่าตอนนี้ถ้ำใต้ดินหนานเจียงจะยังไม่เปิดสงครามของระดับสูง แต่ยังคงมีการต่อสู้ของระดับกลางและระดับล่างหลายครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าไปบาดเจ็บล้มตายไปส่วนหนึ่งเหมือนกัน ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางของหนานเจียงเอง ครั้งนี้ตายไปหลายสิบคน ส่วนทางพวกเรา…”
ฟางผิงสีหน้าหนักแน่นขึ้นมา “มีคนตายแล้ว?”
“ไม่มี ก่อนที่จะเข้าไป ทุกคนพกยาฟื้นคืนชีวิตไปไม่น้อย แต่บาดเจ็บหนักหลายคนเหมือนกัน”
จำเป็นต้องพูดว่ามีเงินกับไม่มีเงิน ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันจริงๆ
ผู้ฝึกยุทธ์หลายคน เพราะไม่มียารักษาชีวิต หลังจากอวัยวะภายในบาดเจ็บหนัก ช่วงที่ไม่อาจยืดเวลาเพื่อรักษาจึงทำให้ต้องทิ้งชีวิตไป
แม้ทางหนานเจียงจะซื้อยาบำรุงไปจำนวนมาก แต่มีคนไม่น้อย ทุกคนแบ่งยาฟื้นคืนชีวิตคนละหนึ่งเม็ดได้ก็ไม่เลวแล้ว
แต่ในถ้ำใต้ดิน หนึ่งเม็ดอาจไม่พอใช้เสมอไป
ฟางผิงได้ฟังก็โล่งใจ “ไม่ตายก็ดีแล้ว คนที่บาดเจ็บกลับมาหรือยัง?”
หลายวันนี้เขาเอาแต่ปรับสภาพร่างกายอยู่ตลอด ไม่ทันได้สนใจเรื่องพวกนี้
“กลับมาแล้ว แต่พวกคณบดีหลัวยังอยู่ข้างใน…”
ระหว่างที่พูด ฟู่ชางติ่งก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เฉินอวิ๋นซียังอยู่ในนั้นไม่ออกมาเหมือนกัน แต่ได้ยินรุ่นพี่ที่ออกมาบอกว่าคนไม่เป็นไร ทั้งตอนนี้เฉินอวิ๋นซียังเก่งขึ้นแล้ว ในถ้ำใต้ดินถูกคนขนานนามว่าเทพธิดากระบี่ สองวันก่อนเธอออกกระบี่เดียวสังหารผู้ฝึกยุทธ์สูงกว่าขั้นสามตอนปลายตายไปเจ็ดแปดคน!”
“เธอ?”
ฟางผิงตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ “เรื่องปกติ ยังไงก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกเกือบสามครั้ง ปราณเข้มข้นขึ้น พกยาบำรุงไปเยอะขนาดนั้น อาวุธก็ดี…”
พูดง่ายๆ ไม่กี่ประโยคแล้ว ฟางผิงก็ไม่สาวความยาวต่อ
ฟู่ชางติ่งเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยหยอกว่า “ไม่กังวลสักนิดเลย?”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย!”
ฟู่ชางติ่งหัวเราะออกมาทันที หัวเราะอยู่พักหนึ่งก็ไม่หยอกเขาต่อแล้ว เอ่ยว่า “อีกอย่างคณบดีหลัวให้คนเอาหินพลังงานกลับมาไม่น้อย!”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ได้ยินว่าครั้งนี้พวกเขาลงไป ขุดสายแร่เล็กๆ ได้เจ็ดแปดแห่ง! จากความต้องการของคณบดีหลัว หินพลังงานพวกนี้ขายให้มหาวิทยาลัยครึ่งราคา…”
ฟางผิงส่ายหัวว่า “ไม่จำเป็น ควรได้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น ทุกคนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนกัน เดิมทีมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้รับซื้อราคาสูงอยู่แล้ว อีกอย่างขายให้นักศึกษา นักศึกษาก็ต้องใช้เงินจ่าย มหาวิทยาลัยคงไม่หาเงินจากส่วนต่างราคานี้หรอก”
ฟางผิงเอ่ยต่อว่า “แบบนี้ก็ดี ฉันกำลังกังวลอยู่เลย ตอนนี้สิ้นเปลืองหินพลังงานมากเกินไป กลัวว่าจะประคองไม่ได้นานเท่าไหร่ ตอนนี้มีเข้ามาเพิ่ม สามารถประคองได้อีกระยะหนึ่งแล้ว”
ฟู่ชางติ่งฟังจบก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเผยท่าทีลังเลอยู่บ้าง
ฟางผิงไม่แปลกใจเช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไรกันแน่”
ฟู่ชางติ่งมาหาเขา คงไม่ได้มาพูดแค่ข้อมูลพวกนี้อยู่แล้ว ไม่งั้นฟางผิงออกด่านแล้ว ไม่นานก็จะมีคนมารายงานเขาอยู่ดี
“สองเรื่อง”
ฟู่ชางติ่งไม่ลังเลอีก เอ่ยปากว่า “เรื่องแรก นับว่าเป็นทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม ฉันมีพี่ชายคนหนึ่ง ปีนี้อายุสามสิบสองปี ขั้นห้าตอนต้น ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์อัจฉริยะเช่นกัน ก่อนหน้านี้รับตำแหน่งที่หน่วยสืบสวนของปักกิ่งมาโดยตลอด แต่หน่วยสืบสวนของปักกิ่งมีภารกิจไม่เยอะ ไม่มีอะไรให้จัดการมาก สองวันก่อนพี่ชายฉันพูดเรื่องนี้กับฉัน ฉันเลยเอ่ยไปว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของพวกเรากำลังรับสมัครอาจารย์…”
ฟางผิงยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ปู่นายก็รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่ใช่หรือไง”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เกี่ยวข้องกันหรือไง? ปู่ก็คือปู่ ฉันยังเรียนในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เลย นายแค่พูดมาว่ารับหรือไม่รับ”
“รับอยู่แล้ว! ขั้นห้าไม่ได้หาง่ายๆ พี่นายยินยอมมามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยต้องยินดีต้อนรับอยู่แล้ว! ดำเนินตามขั้นตอนปกติก็เพียงพอแล้ว พอดีเลย อีกไม่กี่เดือนก็จะเปิดรับนักศึกษารุ่นต่อไปเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ตอนนี้ฉันยังกังวลอยู่ว่าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีน้อยเกินไป”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็เอ่ยต่อว่า “เรื่องที่สองล่ะ?”
“ฉันอยากไปหนานเจียง”
ฟางผิงขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “นายเพิ่งจะทะลวงขั้นสามตอนปลาย…”
“ขั้นสามตอนปลายไม่ถือว่าอ่อนแอแล้ว!” ฟู่ชางติ่งสูดลมหายใจเข้าลึก “เมื่อก่อน ขั้นสามตอนต้นก็เข้าถ้ำใต้ดินแล้ว เพราะความเห็นของนาย ตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนต้นต่างกำลังฝึกวิชาแทบไม่ได้เข้าไปในถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ ตอนนี้ฉันก็ขั้นสามตอนปลายแล้ว จนถึงตอนนี้ก็เพิ่งเคยเข้าไปถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ครั้งเดียวตอนขั้นสองเท่านั้น ทั้งยังอยู่แค่ไม่กี่วัน ก่อนหน้านี้จ้าวเหล่ยและเฉินอวิ๋นซีก็เพิ่งเข้าสู่ขั้นสามตอนปลาย ในเมื่อพวกเขาไม่เป็นไร งั้นฉันคิดว่าตัวเองคงไม่เป็นไรเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นถึงจะมีเรื่องจริงๆ นั่นก็ไม่เป็นปัญหา ผู้ฝึกยุทธ์คงไม่อาจหลบฝึกวิชาอยู่ข้างหลังตลอดเวลาได้อยู่แล้ว นี่ไม่สอดคล้องกับความตั้งใจแรก…”
“ได้!”
ฟางผิงไม่เกลี้ยกล่อมอีก พยักหน้าว่า “ระวังตัวด้วย ฟังคำแนะนำจากคณบดีหลัวแล้วกัน อย่างอื่นฉันคงไม่พูดอะไรแล้ว”
“อืม อีกอย่าง…หยางเสี่ยวม่านก็วางแผนจะไปด้วย…”
“เธอ?” ฟางผิงขมวดคิ้วขึ้นทันที “เธอเพิ่งจะขั้นสามตอนกลางสินะ?”
“เมื่อวานเพิ่งทะลวงถึงตอนปลายแล้ว!”
“เพิ่งทะลวง…”
“ฟางผิง พวกเราต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีเส้นทางเป็นของตัวเอง ฉันรู้ว่านายตระหนักถึงความปลอดภัยของพวกเรา แต่ฝึกวิชาอยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอดเวลา อาจไม่เป็นประโยชน์เสมอไป ออกไปเห็นคาวเลือด ตระเวนเตร็ดเตร่ไปทั่ว บางทีอาจจะดีกว่า…”