ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 358-2 สำหรับผมเงินเป็นแค่ของนอกกายเท่านั้น (2)
- Home
- ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน
- ตอนที่ 358-2 สำหรับผมเงินเป็นแค่ของนอกกายเท่านั้น (2)
ตอนที่ 358 สำหรับผมเงินเป็นแค่ของนอกกายเท่านั้น (2)
ฟางผิงขมวดคิ้วทันที ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “เขาบอกว่าเขามีกระบี่เล่มหนึ่งที่สังหารขั้นแปดได้ จริงหรือเปล่าครับ?”
หลัวอี้ชวนและถังเฟิงสบสายตากัน ถังเฟิงเอ่ยอย่างลังเลว่า “วิชาบ่มเพาะดาบของเธอ เรียนมาจากคณบดีหลี่สินะ?”
“ครับ”
“เขาก็บ่มเพาะกระบี่มาเหมือนกัน บ่มเพาะมาสิบปีแล้ว” ถังเฟิงพึมพำ “ตั้งแต่สิบปีก่อนที่ออกมาจากถ้ำใต้ดิน เขาก็ไม่เคยชักกระบี่อีกเลย สิบปีมานี้เขาเคยลงไปในถ้ำใต้ดิน แต่กระบี่อมตะเล่มนั้นไม่เคยออกจากฝักเช่นกัน ส่วนสามารถสังหารขั้นแปดได้หรือเปล่า ฉันไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่า…”
หลัวอี้ชวนกดเสียงต่ำว่า “แต่แม้จะทำได้ หากเขาชักกระบี่ออกมา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีแล้ว…ขั้นหกและขั้นแปด แตกต่างราวฟ้ากับเหว! เธอน่าจะกระจ่างใจดี เธออยู่ขั้นสี่ กระบี่เดียวสังหารยอดฝีมือขั้นหกสูงสุด ทำได้หรือเปล่าล่ะ? ทั้งความแตกต่างระหว่างขั้นหกและขั้นแปดห่างไกลจากขั้นสี่และขั้นหกอย่างมาก นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวกันอีกแล้ว”
“จะตายหรือเปล่าครับ?”
“ตายอย่างแน่นอน”
ฟางผิงสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ถามต่ออีก พยักหน้าว่า “ผมเข้าใจแล้ว ตอนนี้ทางเดินถ้ำใต้ดินยังไม่เสถียร เขาน่าจะยังไม่เข้าไป อาจารย์หลัว พรุ่งนี้เช้าพวกเราออกเดินทางกัน!”
หลัวอี้ชวนไม่พูดมากเช่นกัน พยักหน้าว่า “ฉันจะแจ้งกับทุกคน”
“ครับ เดี๋ยวผมโอนเงินเข้ามา เงินของหนานเจียงผมจะให้พวกเขาโอนเข้ามาทันที รบกวนอาจารย์ทั้งสองช่วยแจกจ่ายด้วย อย่างน้อยที่สุดขอให้ทุกคนได้รับยาฟื้นคืนชีวิตคนละหนึ่งเม็ด อาวุธที่ควรจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน ยาบำรุงเลือดและปราณต้องเตรียมพร้อมไม่ให้ขาดเช่นกัน…”
ฟางผิงพูดออกมายกใหญ่แล้วก็ไม่รั้งตัวอยู่นาน สาวเท้าจากไปทันที
เขาไปแล้ว หลัวอี้ชวนก็ถอนหายใจว่า “เวลานั้นพวกเรามองผิดไปจริงๆ”
ช่วงที่ฟางผิงอยู่ในสามระดับล่างค่อนข้างขี้เหนียวละโมบ เรื่องที่มีประโยชน์กับตัวเองจะช่วงชิงเร็วกว่าคนอื่น ส่วนเรื่องที่ไม่มีประโยชน์กับเขา ต่อให้มหาวิทยาลัยพังถล่มลงมา เขาอาจไม่สนใจเสมอไป
คนประเภทนี้อาจจะกลายเป็นยอดฝีมือ แต่ไม่อาจกลายเป็นผู้นำได้
นึกไม่ถึงว่าหลังจากรับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้
ถังเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเช่นกัน “ใช่แล้ว มองผิดไป บางทีอาจจะเป็นเหมือนที่เขาพูด ทุกคนมีเส้นทางที่ไม่เหมือนกัน เส้นทางของเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้”
หลัวอี้ชวนหัวเราะ เอ่ยว่า “นายว่าช่วงที่เรียนในมหาวิทยาลัยเขาจะไปได้ถึงขั้นไหนกัน?”
“ขั้นหกสูงสุดอาจมีหวัง”
“ขั้นเจ็ดล่ะ?”
“พูดยาก”
ถังเฟิงส่ายหัวเล็กน้อย เพราะอยู่ในจุดนี้จึงได้รู้ว่าขั้นเจ็ดยากเย็นขนาดไหน
ฟางผิงมีพรสวรรค์สูง พลังจิตใจแตะถึงขั้นปลดปล่อยได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นเจ็ดอย่างราบรื่น นี่ต้องดูที่โอกาสเช่นกัน
—
ตาเฒ่าหลี่ไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัย ฟางผิงจึงไม่เข้าไปทางเรือนเล็กอีก
ไปรับสองพันคะแนนที่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ อะไรที่ควรคว้าก็ควรคว้าไว้ หวังจินหยางไม่เอา นั่นเป็นเพราะหนานเจียงในตอนนี้ค่อนข้างขาดแคลน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้กลับไม่เหมือนกัน
สองพันคะแนน ฟางผิงไม่ต้องการเป็นคะแนนเช่นกัน ตอนนี้เขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ข้อที่ได้เปรียบมากที่สุดคือสามารถแลกเปลี่ยนคะแนนเป็นเงินได้โดยตรง
นักศึกษาคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจความแตกต่างของเงินกับคะแนนมากมาย
เงินสดหกสิบล้านมาถึงมือแล้ว หักอีกสามร้อยล้านที่เขาโอนให้มหาวิทยาลัย เงินสดในบัญชีของฟางผิงก็แตะถึงหนึ่งร้อยห้าสิบล้านอีกครั้ง บางครั้งฟางผิงก็รู้สึกว่าหาเงินได้ง่ายจริงๆ
รับสวัสดิการมาแล้ว ฟางผิงก็ตรวจสอบตัวเลขข้างหน้าของตัวเองเล็กน้อย
ค่าทรัพย์สิน : 950,000,000
ปราณ : 3200 แคล (3259 แคล)
จิตใจ : 672 เฮิรตซ์ (699 เฮิรตซ์)
หลอมกระดูก : 177 ชิ้น (100%) , 6 ชิ้น (90%) , 23 ชิ้น (30%+)
ช่องเก็บของ : 1 ลูกบาศก์เมตร
ม่านพลังงาน : ค่าทรัพย์สินหนึ่งหมื่น/นาที
ฟางผิงสิ้นเปลืองค่าทรัพย์สินในการแข่งขันแลกเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่ไม่นับว่าเยอะจนเกินไป รวมกับการฝึกวิชาทั้งหมดแล้วก็ประมาณไม่กี่สิบล้าน
ครั้งนี้ได้ค่าทรัพย์สินมาหกสิบล้านกลับทำให้ค่าทรัพย์สินมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
ปราณเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน แต่ไม่ได้เยอะเกินไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงชัดเจนเท่าไหร่
พลังจิตใจติดอยู่ตรงนี้มาโดยตลอด ฟางผิงเดาว่าน่าจะต้องรอถึงขั้นห้าถึงจะมีการเพิ่มขึ้น
พลังจิตใจทะลวงถึงเจ็ดร้อยเฮิรตซ์ขึ้นไป อานุภาพจะมากขึ้นไปอีก จุดนี้ฟางผิงสัมผัสได้จากเหยาเฉิงจวิน
ตอนที่เหยาเฉิงจวินยังไม่ถึงขั้นห้า พลังจิตใจนั้นสู้ฟางผิงไม่ได้ ถึงขั้นห้าน่าจะแตะถึงเจ็ดร้อยเฮิรตซ์ขึ้นไป หลี่หัวเหล็กยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ ตัวเองจะสะกดเขาไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
หากฟางผิงสู้กับหลี่หานซงตามความเป็นจริง ตัวเองอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสมอไป ศีรษะเหล็กนั่นของเขา หากฟางผิงไม่ชักดาบ ยังไม่มั่นใจว่าจะทะลวงได้จริงๆ รวมถึงพลังจิตใจด้วย
“รออีกสักช่วงหนึ่ง รอหลอมอวัยวะจนถึงขีดจำกัดแล้ว สะพานฟ้าดินมั่นคง ฉันก็เลือกทะลวงด่านได้แล้ว”
อย่างเร็วที่สุดสิบวันถึงครึ่งเดือน ช้าสุดก็หนึ่งเดือนถึงสองเดือน ก่อนปีใหม่ฟางผิงน่าจะมีโอกาสทะลวงถึงขั้นห้า
แม้จะเข้าสู่ขั้นห้าช้าไปกว่าพวกหลี่หานซงเล็กน้อย แต่พอถึงขั้นห้า ช้าไปหนึ่งเดือนสองเดือนก็แทบไม่ต่างอะไรแล้ว
เวลานั้นพวกเขาคงไม่อาจถึงขั้นห้าตอนกลางแน่ จุดนี้ฟางผิงมั่นใจดี
ฝึกวิชาในระดับเดียวกัน คนพวกนี้ไม่เร็วไปกว่าตัวเองอยู่แล้ว
“ไม่รู้ว่าหลี่หานซงจะสามารถพาทีมมหาวิทยาลัยปักกิ่งไปหนานเจียงได้เท่าไหร่ พรุ่งนี้ไปรวมตัวที่หนานเจียง มหาวิทยาลัยปักกิ่งถือว่าฉันเป็นคนพามาเช่นกัน หากมหาวิทยาลัยปักกิ่งพามาเยอะหน่อย หนึ่งร้อยคนขึ้นไป อย่างต่ำที่สุดก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลาย การจัดทัพเช่นนี้นับว่าไม่ทำให้หนานเจียงผิดหวังแล้ว”
ทีมกว่าหนึ่งร้อยคน ระดับกลางครองตำแหน่งกว่าครึ่งใหญ่ ความสามารถเช่นนี้ไม่พูดว่าเทียบได้กับกำลังทั้งมณฑลเดียวของหนานเจียง แต่เมืองระดับจังหวัดสี่ห้าเมืองของหนานเจียงยังไม่อาจจัดทัพแบบนี้ออกมาได้ด้วยซ้ำ
หากรวมกับหลิวพั่วหลู่ที่เป็นปรมาจารย์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
“ยังมีตาเฒ่าหลี่…ตาเฒ่านี่คิดจะไปพลีชีพในสนามรบสินะ?”
ฟางผิงปวดหัวอยู่บ้าง ทั้งนึกไปถึงหลู่เฟิ่งโหรวที่ยังไม่ออกมาจากถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ ไม่มีใครทำให้รู้สึกสบายใจเลยสักคน!
“ถึงหนานเจียงแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ฟางผิงส่ายหัว ตอนนี้ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงเวลานั้นค่อยคิดหาวิธีละกัน
—
ในระหว่างที่ฟางผิงรับสวัสดิการ เริ่มเก็บข้าวของไปหนานเจียง เรื่องราวที่ฟางผิงควักเงินส่วนตัวสามร้อยล้านและช่วงชิงจากหนานเจียงมาจุนเจือทุกคนอีกสามร้อยล้านก็แพร่กระจายไปทั่วมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
หลัวอี้ชวนและถังเฟิงไม่ใช่คนที่เคลมผลงานคนอื่น ใครเป็นคนช่วงชิงผลประโยชน์ให้ทุกคนก็คือคนนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง
เมื่อข่าวสารแพร่ออกมา คนที่ทราบเรื่องต่างพากันตกใจ
ฟางผิง…ควักเงินส่วนตัวให้กับทุกคน?
คนที่ตกตะลึงที่สุดยังคงเป็นฉินเฟิ่งชิง!
นี่ยังใช่ฟางผิงอยู่หรือเปล่า?
เป็นฟางผิงตัวจริงเสียงจริงใช่ไหม?
ฟางผิงก้าวมาถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาไม่เห็นสัมผัสได้เลย?
ไม่ใช่แค่นี้ ความใจกว้าง มีน้ำใจ คิดเพื่อส่วนรวมของฟางผิง…เทียบกับฉินเฟิ่งชิงแล้ว ฉินเฟิ่งชิงจึงรับรู้ได้ถึงแรงเกลียดชังในชั่วพริบตา!
คนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ต่างมองเขาด้วยแววตาแปลกออกไป!
ดูสิ ประธานก็คือประธาน ไม่แปลกใจที่ฉินเฟิ่งชิงเป็นรองประธานมาหลายปีก็ยังเป็นได้แค่รองประธาน แค่เรื่องเห็นผลประโยชน์ต่อส่วนรวมยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของฟางผิงด้วยซ้ำ!
“นี่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย!”
ฉินเฟิ่งชิงทำหน้ากลัดกลุ้ม ทำไมฟางผิงถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้?
เมื่อก่อนออกก่อเรื่อง ยังมีฟางผิงที่ใช้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีได้ ทำให้ทุกคนมองข้ามฉินเฟิ่งชิงไป
ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ฟางผิงกลายเป็นผู้กอบกู้ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แล้ว ฉินเฟิ่งชิงจึงกลายเป็นไอ้เลวที่ทำความชั่วทุกรูปแบบอย่างแท้จริง
เทียบกันแล้วเห็นได้ชัดว่าฉินเฟิ่งชิงเลวทรามอย่างมาก
“ฟางผิง…ถูกใครสิงร่างกัน?”
ฉินเฟิ่งชิงนึกไปถึงฉากน้ำเน่าในนิยาย พึมพำว่า “ต้องเป็นแบบนี้แน่ ฉันต้องเข้าใจคลาดเคลื่อนไป ไม่ก็เขาถูกคนสิงร่างจริงๆ ฟางผิงไม่ใช่คนแบบนี้!”
เฉินอวิ๋นซีที่เดินผ่านมาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจ ไม่ส่งเสียงออกมา
รุ่นพี่ฉินคนนี้เทียบกับฟางผิงไม่ได้เลยจริงๆ เธอรู้ตั้งนานแล้วว่าฟางผิงไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวอย่างที่ทุกคนคิดเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนนี้นับว่าเวลาได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว
———————