ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 297-2 เจ็บเจียนตาย (2)
ตอนที่ 297 เจ็บเจียนตาย (2)
“มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จ่ายออกไปมากพอแล้ว”
อู๋ขุยซานแค่นยิ้ม “ถ้าขั้นแปดคนหนึ่งตายในสนามรบยังไม่พอ งั้นเพิ่มอีกสักสองสามคนน่าจะพอแล้ว หลายปีมานี้ นอกจากหน่วยทหารก็มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้นี่แหละที่ยอดฝีมือตายในสนามรบมากที่สุด ไม่สิ ยอดฝีมือที่ตายในสงครามของหน่วยทหารพวกนั้น ส่วนมากก็มาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ รัฐมนตรี หลั่งเลือดนั้นได้ แต่จะให้หลั่งน้ำตาอีก ไม่เหมาะสมจริงๆ พวกเราเรียกร้องเกินไปงั้นหรือ? นักศึกษาของเซี่ยงไฮ้พูดออกมาประโยคหนึ่ง ใช้เลือดเนื้อและชีวิตแลกเปลี่ยนเป็นทรัพยากรฝึกวิชาให้ตัวเองยังไม่ได้ งั้นตกลงจะสู้ไปเพื่ออะไรกัน?”
“ประเทศชาติคือครอบครัว…นั่นเลื่อนลอยเกินไป! ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จะปกป้องประเทศชาติได้ยังไงอีก! บางคนนั่งรักษาการณ์อยู่ข้างหลัง จะรู้ได้ยังไงว่าแนวหน้าเจอกับอาวุธผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำสักเล่ม ยาสมุนไพรฝึกวิชาสักเม็ดมันยากแค่ไหน! นั่นเป็นสิ่งที่ใช้เลือดเนื้อและชีวิตแลกมา พวกคุณกล้ากลืนลงไปอย่างนั้นเหรอ? มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่อยากได้ผลงาน พวกเราแข็งแกร่งแล้ว ผลงานก็ตามมาเอง พวกเราเคยพูดเรื่องหนีสงครามหรือไง? เคยบ่นว่ามีคนตายในสงครามมากไป หลังจากนี้จะไม่ลงถ้ำอีกหรือเปล่า? น่าจะไม่เคยด้วยซ้ำ!”
ท่ามกลางฝูงชนมีคนแค่นเสียงในลำคอ
ผลปรากฏว่าเพิ่งจะแค่นเสียง เถียนมู่ก็โมโหขึ้นมาทันที “เจิ้งหมิงหง อธิการอู๋พูดอยู่ ไอ้เวรอย่างนายแค่นเสียงหาพระแสงอะไร อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ ฉันนั้นสงสัยว่านายก็คือหัวหน้าใหญ่ของพวกลัทธินอกรีต! ไม่งั้นพวกนอกรีตจะเอายาบำรุงมาจากไหน? นายควบคุมบริษัทยาบำรุง ถ้ำใต้ดินปกป้องพวกนอกรีตอย่างเข้มงวด รัฐบาลก็จัดการอย่างเด็ดขาด เงินมาได้ยังไง ยาบำรุงซื้อมาจากไหน…”
“เถียนมู่ นายกล้าพูดใส่ร้ายคนอื่นได้ยังไง!”
“ใส่ร้ายปู่นายสิ เจิ้งหมิงหง ฉันยังยืนยันคำเดิม ครั้งนี้ถ้าบริษัทยาบำรุงไม่ชอบมาพากล ฉันจะฆ่านายเป็นคนแรกแล้วค่อยไปจัดการพวกถ้ำอีกสักคน! นายคิดว่าตัวเองขั้นแปดแล้วก็กล้าอวดดีกับฉันสินะ ฉันฆ่ามาเยอะกว่าคนที่นายเคยเจออีก นายมันแค่ขั้นแปดที่อัดยาบำรุง ฉันต่อยหมัดเดียวนายก็ตายได้แล้ว!”
“ฉันอัดยาบำรุง?” เจิ้งหมิงหงที่อยู่ตรงข้ามปะทุโทสะขึ้นมา เดือดดาลอย่างยิ่ง “นายลองอัดยาบำรุงจนทะลวงขั้นแปดให้ฉันดูสิ? วันนั้นฉันสังหารศัตรูในถ้ำของปักกิ่งนับไม่ถ้วน วันนี้กลายเป็นหัวหน้าลัทธินอกรีตตามลมปากนายซะแล้ว คนไร้ค่าที่อัดยาบำรุงงั้นเหรอ?”
“นั่นมันอดีตแล้ว หลังจากทะลวงขั้นเจ็ด นายลงถ้ำใต้ดินกี่ครั้งกัน?”
เถียนมู่เอ่ยอย่างดูแคลน แค่นเสียงว่า “ปีนั้นฉันยกย่องในความกล้าหาญของนาย ตอนนี้นายนับว่าเป็นอะไรล่ะ ไม่ยอมงั้นพวกเรามาลองกันสักตั้ง!”
“พอได้แล้ว!”
จางเทาตะคอกเบาๆ ยอดฝีมือขั้นเก้าปะทุโทสะ ทุกคนต่างเงียบเสียง รวมถึงเถียนมู่ที่ไม่ปริปากอีกแล้ว
น้ำเสียงหยาบกระด้าง ไม่ได้หมายความว่าโง่ คนโง่ทะลวงขั้นแปดไม่ได้อยู่แล้ว
จงใจเปิดประเด็นบางอย่างทิ้งไว้ จะเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวหลังจากนี้
แม้ว่าจางเทาจะเป็นปรมาจารย์ในอันดับที่สอง แต่ตอนนี้ก็ปวดหัวไม่หยุดเช่นกัน
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้…ไม่ใช่เรื่องของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อย่างเดียวอีกแล้ว!
เรื่องนี้ยื่นคำร้องตามปกติคงไม่มีหวัง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ปรมาจารย์ของเซี่ยงไฮ้ไม่ใช้วิธีปกติ แต่กลับพาปรมาจารย์เข้ามาพร้อมกันถึงสิบคน
แต่เรื่องนี้ไม่อาจรับปากได้
วันนี้รับปากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ พรุ่งนี้มหาวิทยาลัยปักกิ่งก็จะเอาบ้าง ภายหลังมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งอื่นๆ จะเป็นแบบนี้เช่นกัน งั้นบริษัทยาบำรุงและอาวุธก็จะเสียหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่ลงถ้ำใต้ดินและไม่เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้พวกนั้นจะทำยังไง?
เงียบไปพักหนึ่งก่อนจางเทาจะเอ่ยว่า “เรื่องอื่นๆ ยังไม่พูดถึง แต่เรื่องขยายขนาดการผลิตของเซี่ยงไฮ้ แล้วแต่พวกนาย แต่ว่าทุกปีต้องส่งมอบวัตถุดิบมูลค่าหนึ่งหมื่นล้านให้บริษัทยาบำรุงและอาวุธ อธิการอู๋ ทุกคน นี่เป็นขีดจำกัดที่ฉันสามารถทำให้ได้ ไม่งั้นสถานการณ์บ้านเมืองเลวร้าย ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่พวกนั้นคงไม่อาจกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้แล้ว จุดนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจดี”
อู๋ขุยซานเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “ได้ แต่ต้องรับซื้อในราคาเดิม”
จางเทากวาดสายตามองคนด้านหลัง เงียบไปพักหนึ่งแล้วค่อยพยักหน้าเบาๆ ว่า “ฉันรับปากแทนพวกเขา”
เพิ่งจะพูดจบ เจิ้งหมิงหงก็ขมวดคิ้วว่า “หมื่นล้านน้อยเกินไป…”
ก่อนหน้านี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จัดสรรวัตถุดิบให้บริษัทใหญ่สองหมื่นล้านเป็นอย่างต่ำ แม้จะต้องจ่ายเงิน แต่วัตถุดิบก็คือวัตถุดิบ สร้างออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
ตอนนี้จู่ๆ จะลดไปครึ่งหนึ่ง บริษัทยาบำรุงและผลิตอาวุธย่อมได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
จางเทาชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง แก่งแย่งในเวลานี้คิดจะยั่วโทสะปรมาจารย์จากเซี่ยงไฮ้พวกนี้จริงๆ หรือไง?
อู๋ขุยซานกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ได้รับความยินยอมจากจางเทาแล้วก็กระแอมไอเบาๆ “รัฐมนตรี ทุกท่าน พวกเรายังมีธุระอีก ต้องขอตัวก่อน!”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ก่อนปรมาจารย์สิบคนจะปลีกตัวไวยิ่งกว่าตอนมา ชั่วพริบตาก็หายไปไม่เห็นเงาแล้ว!
ยอดฝีมือจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้บางส่วนที่ยังอยู่ที่เดิมต่างสบสายตากันอย่างงกเงิ่น
เซี่ยงไฮ้เป็นผู้บุกเบิกแล้ว ทุกคนต่างอยากจะลองทำตามบ้าง
จางเทาสัมผัสบรรยากาศนี้ได้นานแล้ว เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “จ่ายออกไปเท่าไหร่ก็จะได้กลับคืนเท่านั้น อัตราการตายของมหาวิทยาลัยชื่อดัง รวมถึงจำนวนที่ฆ่าศัตรู รางวัลได้มากน้อยเท่าไหร่ ฉันมีคำตอบหมดแล้ว มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ครองอันดับสูงมาโดยตลอด ดังนั้นฉันจึงเห็นด้วยกับคำขอของเซี่ยงไฮ้ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งอื่นคิดเอาเองละกัน รวมถึงปักกิ่งด้วย หลายปีนี้ฆ่าศัตรูและได้รางวัลเท่าไหร่ เทียบกับเซี่ยงไฮ้แล้วเป็นยังไง? ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ไม่มีครั้งต่อไปแล้ว ทุกอย่างต้องเอาผลคะแนนมาคุยกัน! หากมีคะแนนและผลการรบที่เตะตาย่อมขาดพวกนายไปไม่ได้อยู่แล้ว!”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา รวมถึงความเกรงขามของยอดฝีมืออันดับสองของขั้นเก้าผู้นี้ ปรมาจารย์บางส่วนจึงละทิ้งความคิดในใจไป
ยังไม่พูดถึงเรื่องจะรวบรวมทัพที่แข็งแกร่งอย่างเซี่ยงไฮ้ออกมาได้ขนาดนี้หรือเปล่า แม้จะทำได้ แต่ครั้งแรกยังพอว่า ครั้งที่สองนั่นเป็นการจงใจฉีกหน้าแล้ว คิดว่ายอดฝีมือขั้นเก้าพูดคุยได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรือไง?
ส่วนมหาวิทยาลัยปักกิ่งที่แข็งแกร่งพอๆ กับเซี่ยงไฮ้…สถานการณ์นั้นซับซ้อนอยู่บ้าง รวมทั้งช่วงนี้ถูกชื่อเสียงของเซี่ยงไฮ้กลบรัศมี อาจจะไม่โผล่ออกมาเสมอไป
มหาวิทยาลัยปักกิ่งที่ปักหลักในปักกิ่ง สถานการณ์ของเบื้องบนค่อนข้างซับซ้อนเช่นกัน ศิษย์เก่าหลายคนล้วนทำงานในรัฐบาลกลาง
ช่วงเวลาสั้นๆ ไฟยังไม่ทันจุดก็ถูกดับก่อนซะแล้ว
แต่ว่าเรื่องนี้หยั่งรากลึกในใจของทุกคนเช่นกัน เมื่อถึงจังหวะโอกาสที่เหมาะสม เอาออกมาพูดอีกครั้งใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน
—
วันที่ 16 กันยายน
อธิการบดีทั้งสองคนกลับสู่มหาวิทยาลัย
วันนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ประกาศนโยบายใหม่
นโยบายมีมากมาย สรุปแล้วก็แค่หนึ่งประโยค หลังจากนี้จะได้รับคะแนนง่ายขึ้นแล้ว
ไม่ว่าจะนักศึกษาเก่านักศึกษาใหม่ เมื่อก่อนทำหนึ่งภารกิจจะได้รับห้าคะแนน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสิบคะแนนแล้ว ทั้งกำลังซื้อยังเหมือนเดิม
ช่วงเวลาสั้นๆ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็ร้องเฮกันลั่น บรรยากาศคึกคักอย่างถึงที่สุด!
ด้านสมาคมผิงหยวนก็ใช้ประโยชน์ของตัวเองอีกครั้ง เรื่องทั้งหมดนี้เป็นผลพวงมาจากพวกอธิการบดี รวมถึงฟางผิงที่เป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นจึงช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ทุกคนได้!
ครั้งนี้ฟางผิงไม่กล้าเสนอหน้าอีกแล้ว ครั้งนี้ล่วงเกินคนมากมาย เขาถ่อมตัวไว้จะดีที่สุด
ในระหว่างที่อธิการประกาศข่าวก็ถือโอกาสเพิ่มความเกรงขามให้ตัวเองไปด้วย แน่นอนว่าไม่ได้ออกหน้าออกตาเกินไป ด้านหน้ายังมีปรมาจารย์อีกหลายคนอยู่
ในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์
ฟางผิงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง มองไปทางเฉินอวิ๋นซีว่า “อันที่จริงนี่เป็นผลงานของฉันคนเดียว ฉันกลายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นความโชคดีของเซี่ยงไฮ้แล้ว น่าเสียดาย ฉันเป็นคนมักน้อย ไม่อยากเอาความดีความชอบ…”
ฟางผิงถอนหายใจติดต่อกัน ถ้าฉันเป็นปรมาจารย์ ครั้งนี้ต้องประกาศอย่างออกหน้าออกตาสักหน่อย
ตอนนี้ช่างเถอะ ให้พวกอธิการอู๋ได้หน้ากันไป ยังไงพวกตาเฒ่าก็ลำบากเทียวไปรอบหนึ่ง ระยะทางกว่าพันลี้ไม่ใช่เรื่องง่าย อายุปูนนี้กันแล้ว
แต่…ฟางผิงใช่ว่าจะไม่ได้ผลประโยชน์เลย
อย่างน้อยหลังจากนี้ทำภารกิจอีก คะแนนก็จะมากขึ้นหนึ่งเท่าตัวแล้ว
“ไม่สิ…ฉันขาดทุนหนักต่างหาก!”
จู่ๆ ฟางผิงก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ ยกมือทาบหัวใจว่า “ไม่ได้สิ ก่อนหน้านี้ฉันได้คะแนนกว่าหนึ่งหมื่น ไม่ได้หมายความว่า…ฉันขาดทุนคะแนนไปกว่าหมื่นงั้นเหรอ?”
“แม้จะหนึ่งหมื่นคะแนน นั่นก็เป็นเงินสามร้อยล้าน…แม่งเหอะ บัญชีนี้จะคิดกับใครดี?”
ฟางผิงบีบรัดที่หัวใจ ขาดทุนหนักจริงๆ ตั้งหลายร้อยล้าน ไม่เคยขาดทุนขนาดนี้มาก่อน มากสุดก็เรื่องของหวังจินหยาง แต่นั่นไม่ถึงห้าสิบล้านด้วยซ้ำ ช่วงเวลาสั้นๆ นี้กลับเสียหายไปหลายร้อยล้าน จะคิดบัญชีกับใครดี?
จางอวี่?
ตาเฒ่าหลี่?
หรือใครอีก?
เห็นฟางผิงเจ็บราวกับจะเป็นจะตาย เฉินอวิ๋นซีถึงกับตะลึงงัน
เป็นเรื่องดีชัดๆ แต่ทำไมเขาดูเหมือนเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกชำแหละเนื้ออีกล่ะ?
สำหรับฟางผิงความเจ็บปวดนั้นเกินจะบรรยายได้แล้ว ถูกปรมาจารย์ไล่ฆ่า เขายังไม่เป็นถึงขั้นนี้เลย?
———————-