ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 188 สังคมช่างซับซ้อน (1)
ตอนที่ 188 สังคมช่างซับซ้อน (1)
ไม่นานผลการประลองของหนานเจียงก็แพร่กระจายไปทั่วเจียงเฉิง
“หนานเจียงพ่ายแพ้!”
“กู้สยงต้านฟางผิงไม่ไหว”
“ฟางผิงมีโอกาสเข้าสู่สิบอันดับแรกของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองกลุ่มสู้รบของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้”
“ตกลงหยางเฉิงมีความลับอะไรกันแน่? ตอนแรกมีหวังจินหยาง ต่อมาเกิดฟางผิงขึ้นมาอีกคน…”
“เด็กรุ่นใหม่เอาชนะคนรุ่นเก่า ระบบการศึกษาของหนานเจียงมีปัญหาสินะ? จำเป็นต้องปฏิรูปเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?”
“…”
ในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์ของเจียงเฉิง หลายคนต่างกำลังวิจารณ์เรื่องที่มหาวิทยาลัยหนานเจียงประลองกับเซี่ยงไฮ้
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุด ทั้งยังเป็นหนึ่งในคนที่โดดเด่น ไม่อ่อนด้อยไปกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามทั่วไป
ความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ในหนานเจียงไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งมากมาย ปกติผู้บัญชาการแต่ละเมืองก็อยู่ขั้นสี่เท่านั้น
ส่วนผู้บัญชาของเมืองระดับอำเภออย่างหยางเฉิงยิ่งอยู่แค่ขั้นสาม
แม้พวกฟางผิงจะเป็นเพียงนักศึกษา แต่ความสามารถในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์หนานเจียงกลับไม่ใช่ประเภทปลายแถว
โดยเฉพาะการประลองครั้งนี้ที่ดึงดูดสามปรมาจารย์มาเข้าชมด้วย นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยในหนานเจียง
เมืองที่ใหญ่อย่างหนานเจียง ประชากรนับสิบล้าน
ตอนนี้มีปรมาจารย์ทั้งหมดห้าคน จางติ้งหนานผู้ว่าการมณฑล อธิการบดีของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง หัวหน้าผู้บัญชาการกองทัพหนานเจียง ประธานสมาคมการค้าหนานเจียง และเจ้าสำนักศิลปะการต่อสู้เจิ้งหยางในหนานเจียง
ครั้งนี้ยังมีหวงจิ่งจากเซี่ยงไฮ้ ปรมาจารย์สามคนจูงมือกันไปชมการประลองของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง นี่พบเจอได้น้อยมาก
แม้ปรมาจารย์ในประเทศจีนจะมีเยอะ เรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ประเทศจีนนั้นกว้างเกินไป
หนานเจียงไม่ใช่พื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด ปรมาจารย์จึงมีน้อย ปกติก็แทบไม่เจอตัว
หลังจากการปรากฏตัวของพวกปรมาจารย์ ข่าวการประลองของหนานเจียงจึงแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
และฟางผิงเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากหยางเฉิง ก็ค่อยๆ มีชื่อเสียงเล็กๆ ขึ้นมาในแวดวงผู้ฝึกยุทธ์หนานเจียง
—
โรงแรม
ไม่นานมหาวิทยาลัยหนานเจียงก็ส่งค่าตอบแทนในครั้งนี้มา
เห็นฟางผิงเก็บยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองหกเม็ดใส่ในกระเป๋าอย่างไม่ลังเล ทุกคนจึงพากันตกตะลึง รวมทั้งไป๋รั่วซีเช่นกัน อดเอ่ยสัพยอกไม่ได้ “เธอ…เธอจะไม่ให้อวิ๋นซีจริงๆ เหรอ?”
ฟางผิงทำหน้าแปลกใจ “เธอบอกว่าจะให้ผมนี่ครับ”
ฟางผิงไร้คำจะเอ่ยเช่นกัน พูดกันดิบดีแล้ว หรือจะยังกลับคำ?
“…”
ทุกคนไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาพูดแล้ว เฉินอวิ๋นซีเอ่ยอย่างจนใจ “ให้นายนั่นแหละ…แต่นายจะไม่เกรงใจสักนิดเลยหรือไง?”
ฉันยังคิดว่านายจะเอ่ยเป็นมารยาทหรือเยินยออะไรสักหน่อย!
แล้วนายเอายาบำรุงไปตรงๆ แบบนี้ มันปวดใจยิ่งกว่าเอาไปผ่านมือฉันซะอีก!
ฟางผิงเห็นทุกคนมองตัวเองจึงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเป็นมารยาทว่า “ขอบคุณ รอฉันกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว จะชดใช้ให้เธออีกที”
“…”
หยางเสี่ยวม่านเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”
“ฉันบาดเจ็บอยู่ พวกนายปฏิบัติกับคนเจ็บแบบนี้เหรอไง?”
ฟางผิงทำหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ครั้งนี้ฉันขาดทุนหนักเถอะ!
แต่ยังดีที่ได้ยาบำรุงขั้นสองมาหกเม็ด เพิ่มค่าทรัพย์สินขึ้นมาอีกสามล้าน
ตอนนี้ค่าทรัพย์สินของฟางผิงเกือบถึงสิบล้านแล้ว
ก่อนหน้านี้ประลองที่มหาวิทยาลัยหนานเจียง ฟางผิงเสียค่าทรัพย์สินไปเล็กน้อย ตอนนี้ยังเหลืออีกเก้าล้านสองแสน
ฟางผิงคำนวณในใจ ตอนนี้ในมือตัวเองมียาบำรุงไม่น้อยเช่นกัน
ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองแปดเม็ด ขั้นหนึ่งสิบหกเม็ด ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาสามสิบเม็ด ยาเสริมสร้างกระดูกขั้นสองสองเม็ด
ยาบำรุงพวกนี้ ราคาในตลาดปาไปกว่าสิบห้าล้านแล้ว
รวมกับคะแนนอีกเกือบหนึ่งร้อย จึงทำให้ค่าทรัพย์สินของฟางผิงเพิ่มมาเป็นสิบกว่าล้านแล้ว
ตอนนี้ขายยาบำรุงออกไป คงจะสามารถเพิ่มค่าทรัพย์สินได้อีกหน่อย
ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนฟางผิงจะเอ่ยว่า “พวกนายซื้อยาบำรุงกันไหม?”
ทุกคนพากันตกตะลึง!
ฟางผิงไม่มียาบำรุงให้ขายแล้วนี่นา?
เขาฝึกวิชาโดยไม่ต้องใช้ยาหรือไง?
จะขายยาบำรุงอีกแล้ว!
อีกอย่าง นายเพิ่งจะเอายาบำรุงส่วนของเฉินอวิ๋นซีไปสามเม็ด ตอนนี้กลับเอามาขาย เหมาะสมหรือไง?
ไป๋รั่วซีเพิ่งเจอกับเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจึงทำหน้างุนงง ขายยาบำรุง?
ฟางผิงเอ่ยชั่งใจว่า “ฉันสนิทกับอาจารย์หลี่ที่ประจำจุดแลกเปลี่ยน ขายยาบำรุงแล้ว ค่อยเอาเงินไปซื้ออีกที จะได้ราคาต่างกลับมาหลายแสน พวกนายอย่ามองฉันแบบนั้น ฉันเคยบอกไปนานแล้ว เด็กที่บ้านจนต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ สำหรับพวกนายเงินไม่กี่แสนคงเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับฉันมันเป็นเงินก้อนใหญ่ น้องสาวฉันเพื่อเงินค่ากินอยู่ไม่กี่สิบหยวน ยังไปตั้งแผงลอยทุกวันหลังเลิกเรียนอย่างน่าสงสาร เธอเพิ่งจะอายุสิบสี่เอง…”
ฟู่ชางติ่งแซะว่า “นายจุนเจือสักหน่อยก็พอให้ทั้งครอบครัวอยู่ดีกินดีแล้ว อย่าเอาแต่ขายความน่าสงสารได้รึเปล่า?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “นี่ไม่เหมือนกัน ฉันหาเงินได้ไว แต่ต้องใช้ชีวิตแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เด็กบ้านจนนั้นต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ ดังนั้นน้องสาวฉันไปตั้งแผงลอย ฉันเลยไม่คัดค้านอะไร ตอนมอปลายแค่เงินเข้าร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่เพื่อหาข้อมูลยังไม่มีด้วยซ้ำ…”
“พอ!”
ฟู่ชางติ่งตัดบทเขา เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่ต้องพูดแล้ว นายจน จนเอามากๆ ว่ามาสิจะขายเท่าไหร่?”
“ยาบำรุงเลือดธรรมดาสามสิบเม็ด ขั้นหนึ่งสิบหกเม็ด ขั้นสองแปดเม็ด ยังมียาเสริมสร้างกระดูกขั้นสองอีกสองเม็ด ราคาตลาดอยู่ที่สิบห้าล้านสี่แสน…”
“อย่ามาราคาตลาด สิบสามล้านจบ”
ฟางผิงใบหน้าดำคล้ำ ถลึงตาใส่เขา ก่อนจะหัวเราะมองไปทางเฉินอวิ๋นซี “อวิ๋นซี บ้านเธอคงมีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนสินะ?”
เฉินอวิ๋นซีมึนงงอยู่บ้าง
“ยาบำรุงพวกนี้ ให้ฉันสิบห้าล้านก็พอแล้ว เธอว่ายังไง?”
“หา?”
“ลดราคาให้เธอสี่แสน อวิ๋นซี เธอคงไม่เคยทำการค้าขายมาก่อนสินะ? หากที่บ้านของเธอรู้ว่าครั้งแรกเธอก็ทำกำไรได้สี่แสน ต้องดีใจยกใหญ่แน่ๆ จะเป็นความรู้สึกที่ว่าลูกสาวของฉันเติบโตขึ้นไปก้าวหนึ่ง รู้ความแล้วอะไรแบบนั้นเลย ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การหาเงิน แต่เป็นการที่เธอเรียนรู้ที่จะยืนด้วยตัวเอง สิบห้าล้านเท่านั้น กลับไปสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ครอบครัว ฉันเฉินอวิ๋นซีสามารถเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ความรู้สึกนั้นเลย คิดดูว่ามันยอดเยี่ยมขนาดไหน…”
ทุกคนมองอย่างไม่รู้จะช่วยยังไง เฉินอวิ๋นซีตะลึงงันเหมือนจะเชื่อคำพูดของฟางผิงอยู่บ้าง
เธอไม่ใช่คนโง่ แต่เธอไม่เคยซื้อยาบำรุงด้วยตัวเองมาก่อน เป็นที่บ้านเตรียมให้ทั้งนั้น
ฟางผิงบอกว่าราคาตลาดสิบห้าล้านสี่แสน ตอนนี้ขายให้เธอสิบห้าล้านถ้วน เหมือนว่าจะไม่แพงจริงๆ
เฉินอวิ๋นซีมองไปทางพวกหยางเสี่ยวม่านโดยไม่รู้ตัว หยางเสี่ยวม่านกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฟางผิงกลับเอ่ยว่า “หยางเสี่ยวม่าน ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อน เธออย่าอิจฉาที่เฉินอวิ๋นซีฐานะดีกว่าแล้วคิดก่อกวนเลย ให้เธออยู่ใต้ปีกของพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา! แบบนี้จะทำให้เฉินอวิ๋นซีไม่เติบโตสักที! ก่อนหน้านี้อวิ๋นซีถูกราชสีห์ถัง…อาจารย์ถังเหน็บแนมก็เพราะประสบการณ์น้อยเกินไป เรียนรู้จากความล้มเหลว ขอแค่ประสบการณ์เยอะ เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตัวเอง รู้จักความชั่วร้ายของจิตใจคน ถึงจะสามารถเข้าใจสังคมที่ซับซ้อนได้ เด็กๆ ต้องมีวันหนึ่งที่เติบโต หรือจะให้อยู่ภายใต้การปกป้องของพ่อแม่ไปชั่วชีวิต? คนแบบนี้ ต่อให้ทักษะการต่อสู้จะสูงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร!”
ความนัยของคำพูดนี้ ทุกคนต่างฟังออก
ฉันหลอกเฉินอวิ๋นซีเพราะหวังดีต่อเธอ
ตอนนี้เธอไม่รู้ถึงความชั่วร้ายของจิตใจคน ฉันยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ รับบทตัวร้ายก็เพื่อให้เธอเข้าใจว่าสังคมนั้นซับซ้อนอย่างมาก
หยางเสี่ยวม่านไร้คำจะพูดอย่างถึงที่สุด จ้องมองฟางผิงอยู่พักหนึ่ง เอ่ยอย่างจนใจว่า “เก่งดีนี่!”
ฟู่ชางติ่งพึมพำเช่นกัน “คำพูดถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง”
พวกจ้าวเหล่ยมองกันไปมา ก่อนจะหันไปทางเฉินอวิ๋นซีพร้อมเพรียงกัน
เฉินอวิ๋นซีไม่ได้โง่ มองฟางผิง จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “นายกำลังหลอกฉัน?”
“เปล่า…”
ฟางผิงถูกมองจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ก็ได้ หลอกเธออยู่นั่นแหละ อันที่จริงยาบำรุงชุดนี้สามารถขายได้ประมาณสิบสี่ล้านห้าแสน ฉันจงใจพูดเกินมาห้าแสน…แต่เธอรู้แล้ว ช่างเถอะ ไม่เล่นบทโศกแล้ว สิบสี่ล้านห้าแสนก็สิบสี่ล้านห้าแสน ใครใช้ให้พวกเราเป็นเพื่อนกันล่ะ”
“ฉันไม่ซื้อแล้ว!” เฉินอวิ๋นซีรู้สึกว่าฟางผิงมีเจตนาไม่ดี เริ่มส่ายหัวขึ้นมา
ฟางผิงขมวดคิ้วว่า “แล้วแต่เธอ ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าทีมของเธอ ฉันเลยหวังให้เธอสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ตอนนี้เธอยินดีที่จะให้ค่าขนมนอนกินดอกเบี้ยในธนาคารเฉยๆ ไม่ทำเรื่องที่ได้กำไร ฉันว่าเงินค่าขนมในบัตรของเธอคงมีไม่น้อยสินะ? ถึงสิบล้านหรือเปล่า? เอาไว้ในธนาคารใช้ซื้อข้าวกินได้? ใช้ฝึกวิชาได้? เอาออกมาซื้อยาบำรุง อย่างน้อยก็ช่วยในเรื่องเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ หรือเธอหวังให้ที่บ้านช่วยเหลือเธอไปตลอดชีวิต? อายุเกือบจะยี่สิบแล้ว ยังดูแลเรื่องในบ้านเก่งสู้น้องสาวฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ…ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดละกัน”
“แต่ว่า…”
เฉินอวิ๋นซีทำหน้าลำบากใจ ฟางผิงพูดจนเธอรู้สึกละอายใจ!
“ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว บาดแผลฉันยังไม่หายดี ขอตัวก่อน”
ฟางผิงหยัดตัวขึ้น เฉินอวิ๋นซีเห็นแบบนั้นจึงตะโกนว่า “งั้นฉันซื้อก็ได้?”
“สิบสี่ล้านห้าแสน?”
“…สิบสี่ล้านถ้วน!”
เฉินอวิ๋นซีกัดฟัน ต่อราคาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ได้ ตกลงตามนี้!”
ฟางผิงพูดจบก็ควักยาบำรุงออกมา กองไว้ด้านหน้าเธอทั้งหมด เอ่ยด้วยใบหน้าประดับยิ้มว่า “เธอทำธุรกิจครั้งแรกด้วยเงินสิบสี่ล้าน เฉินอวิ๋นซี เธอมีพรสวรรค์ในการทำธุรกิจจริงๆ ทั้งสามารถดูแลเรื่องในบ้านได้แล้ว ฉันเป็นกำลังใจให้! กลับไปค่อยโอนเงินให้ฉันละกัน ฉันไม่ใช่คนที่เห็นแก่เงินอยู่แล้ว เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อน!”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ก่อนจะสับเท้าหายไปอย่างเร่งรีบทันที
——————-