ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 16 หวังจินหยาง
ตอนที่ 16 หวังจินหยาง
วันพุธที่ 9 เมษายน
ตอนที่ฟางผิงมาถึงหน้าประตูโรงเรียน อู๋จื้อหาวและหลิวรั่วฉีก็มาถึงก่อนแล้ว ส่วนหยางเจี้ยนนั้นยังไม่มา
ด้านข้างของทั้งสองคนมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ พร้อมกับรถเจ็ดที่นั่งจอดอยู่ริมถนน
เมื่อเห็นฟางผิง อู๋จื้อหาวก็รีบแนะนำทันที “ฟางผิง นี่คือคุณจาง คนขับรถของโรงเรียน วันนี้คุณจางจะรับหน้าที่รับส่ง…”
ชายวัยกลางคนเป็นคนขับรถที่โรงเรียนจัดหาให้ ฟางผิงทักทายเป็นพิธี ก่อนอีกฝ่ายจะพยักหน้าตอบรับอย่างเกรงใจ
ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันแล้ว อู๋จื้อหาวก็กวาดสายตามองฟางผิง ก่อนจะตกใจเล็กน้อย “ฟางผิง วันนี้สีหน้าดูดีไม่น้อย ฉันคิดว่านายจะเป็นเหมือนฉันเสียอีก ตื่นเต้นทั้งคืนจนนอนไม่หลับ”
วันนี้ฟางผิงดูเหมือนเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา แววตายังดูเป็นประกายอย่างยิ่ง
ฟางผิงได้ยินก็อดยิ้มไม่ได้ “จริงเหรอ? คงเพราะเจอเรื่องดีก็เลยอารมณ์ดีไปด้วย วันนี้ยังตื่นสายซะด้วย”
อู๋จื้อหาวเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก เอ่ยถึงลำดับการในวันนี้แทน
ผ่านไปสักพักหยางเจี้ยนก็มาถึง เมื่อคืนเจ้าหมอนี้ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเหมือนกัน เช้านี้จึงตื่นสาย
ทุกคนไม่ได้รอช้า พากันขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟทันที
—
สถานีรถไฟเมืองหยางเฉิง
พวกฟางผิงพากันเข้าไปในสถานีเพื่อรอหวังจินหยาง โดยให้คนขับรถรั้งอยู่ข้างนอก
ยังเหลือเวลาอีกมากก่อนรถไฟจะมาถึง ทุกคนจึงยืนคุยเล่นรอที่ปากทางออกสถานีไปพลาง
พูดคุยกันไปสักพัก ฟางผิงก็เป็นฝ่ายเอ่ยถาม “พวกเราต่างพยายามจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์ตัวเป็นๆ มาก่อนเลย ช่วงนี้ฉันดูข้อมูลการสอบศิลปะการต่อสู้มาบ้างเหมือนกัน เมื่อก่อนก็เคยค้นในอินเตอร์เน็ต แต่ไม่เห็นบอกไว้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงเป็นยังไง อู๋จื้อหาว นายพอจะอธิบายเรื่องนี้ได้หรือเปล่า?”
อู๋จื้อหาวได้ฟัง ก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อก่อนนายไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปลายแล้ว เป้าหมายหลักที่สำคัญที่สุดคือการสอบศิลปะการต่อสู้ ผู้ฝึกยุทธ์เป็นเรื่องในมหาวิทยาลัย ส่วนจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงได้ยังไง คงหาไม่เจอจากในเน็ตหรอก ตามที่ฉันรู้มา การจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หากในบ้านไม่มีคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็ต้องเป็นคนที่เคยเข้าเรียนหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาก่อน…”
พูดมาถึงตรงนี้ อู๋จื้อหาวก็กล่าวเสริม “ไม่ใช่คลาสเรียนศิลปะการต่อสู้ในหยางเฉิงพวกนี้นะ แต่เป็นหลักสูตรฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จริงๆ หลักสูตรประเภทนี้ไม่มีในเมืองหยางเฉิง ตามกฎหมายแล้ว คนที่จะเปิดหลักสูตรพวกนี้ได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง อย่าพูดถึงเมืองหยางเฉิงเลย ทั่วทั้งหนานเจียง คาดว่าหลักสูตรเช่นนี้ก็มีไม่มาก”
“ส่วนอย่างที่สามเป็นเส้นทางหลัก นั่นก็คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้”
อู๋จื้อหาวกล่าวต่อ “นอกจากสามวิธีนี้แล้ว ยังมีทางเลือกอื่นอีกไหม ฉันก็ไม่รู้แล้ว แต่สามวิธีนี้ แทบไม่มีความข้องเกี่ยวกับพวกเรา อย่างน้อยก็ก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ พวกเราไม่มีทางจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก่อนสอบเกาเข่าได้หรอก”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นนายคิดว่า นักเรียนที่สอบเกาเข่าในปีนี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้กี่คนกัน?”
อู๋จื้อหาวยังไม่ทันอ้าปาก หยางเจี้ยนก็หัวเราะเสียงดัง เอ่ยรับบทสนทนาก่อน “ในหยางเฉิงไม่มีหวังหรอก ไม่เพียงหยางเฉิง แค่ในเมืองรุ่ยหยางของพวกเรา เกรงว่าจะไม่มีคนที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้เลย ทั่วทั้งมณฑลหนานเจียง ก่อนสอบเกาเข่าปีที่แล้ว ผู้ที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างเป็นทางการ มีเพียงสามคนเท่านั้น ปีนี้ก็คงไม่ต่างกันมาก คนพวกนี้ถึงจะเป็นลูกรักของสวรรค์อย่างแท้จริง!”
หยางเจี้ยนอิจฉาอยู่บ้าง ไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยกลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ เรื่องแบบนี้พวกเขาแทบไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ
ฟางผิงยังอยากจะถามต่ออีกสักหน่อย ปรากฏว่าด้านข้างกลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้น “ไม่จำเป็นต้องดูถูกตัวเองขนาดนั้น นักเรียนเกาเข่ากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้นับเป็นพรสวรรค์จริงๆ แต่จุดเริ่มต้นของทุกคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ทุกคนก็พากันหันศีรษะไปมอง
ผู้ที่เอ่ยปากเป็นวัยรุ่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา สวมชุดสบายๆ สอดมือทั้งสองไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่มีความโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ ตัดผมสั้นเกรียน หน้าตาธรรมดา ทว่าดวงตากลับเป็นประกายราวเกล็ดหิมะ
เมื่อเห็นทุกคนมองมา ชายหนุ่มที่เพิ่งอ้าปากเมื่อครู่ก็หัวเราะ “พวกนายเป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อู๋จื้อหาวก็ละล่ำละลักเอ่ยทันที “คุณคือรุ่นพี่หวัง?”
หวังจินหยางประดับรอยยิ้มไว้บนใบหน้า เอ่ยทั้งสั่นศีรษะ “ไม่ต้องเรียกให้เกียรติมากนักหรอก เรียกชื่อฉันหรือแทนว่าพี่หวังดีกว่า ทุกคนต่างอายุพอๆ กัน ฉันแค่เดินนำหน้าพวกนายก่อนไม่กี่ก้าวเท่านั้น”
คำพูดนี้ นับว่ายอมรับว่าอีกฝ่ายคือหวังจินหยาง คนที่ทุกคนกำลังรออยู่
หวังจินหยางอายุมากกว่าทุกคนเพียงปีเดียวเท่านั้น ที่จริงหากเป็นพวกนักเรียนห้องพิเศษรุ่นก่อน อู๋จื้อหาวนั้นรู้จักแทบทุกคน
แต่เขากลับไม่รู้จักหวังจินหยาง เคยเห็นรูปอีกฝ่ายบนบอร์ดนักเรียนเกียรติยศในโรงเรียนเท่านั้น
ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ อู๋จื้อหาวก็ถอนหายใจ ละล่ำละลักเอ่ย “สวัสดีพี่หวัง พวกเราเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสามของโรงเรียนหยางเฉิงอันดับหนึ่ง…”
อู๋จื้อหาวกล่าวแนะนำตัวอย่างรีบเร่ง หวังจินหยางไม่ได้มีท่าทีรำคาญใจแต่อย่างใด
รอจนทำความรู้จักกับทุกคนแล้ว เวลานี้ค่อยเข้าสู่ประเด็นเมื่อครู่ “ที่ฉันพูดว่าจุดเริ่มต้นไม่เหมือนกัน ทุกคนน่าจะพอเข้าใจความหมายของมัน นักเรียนที่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ตั้งแต่เรียนมัธยมปลายล้วนมีเบื้องหลังครอบครัวที่โดดเด่น หากพ่อแม่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ก็มีผู้ฝึกยุทธ์ในตระกูลคอยหนุนหลังอยู่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฉันพูดถึงคือขั้นสี่ขึ้นไป! ระดับล่างอย่างพวกเรา สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ นั่นเทียบไม่ได้กับพวกเขาเลย ยอมรับพรสวรรค์กับความสามารถของอีกฝ่ายได้ แต่อย่าได้ดูถูกตัวเอง ไม่ต้องคิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น! หากกระทั่งจุดนี้ยังทำไม่ได้ คงจะเดินต่อไปในอนาคตได้ยาก!”
นี่คงนับเป็นคำพูดที่กลั่นกรองมาจากชีวิตจริง ทุกคนจึงรีบกล่าวขอบคุณ
ฟางผิงให้ความสนใจหวังจินหยางอยู่ตลอด พบว่าอีกฝ่ายคุยเก่งใช้ได้ นิสัยก็ไม่แย่ ในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
ทุกคนเดินออกไปที่จอดรถ ทั้งคุยเล่นกันไปพลาง
หวังจินหยางถามเรื่องสัพเพเหระขึ้นมา รอจนรู้ว่าคนพวกนี้มีค่าปราณหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไปทั้งนั้น ก็อดเอ่ยชมไม่ได้ “ตอนนี้นับว่านักเรียนเก่งขึ้นรุ่นแล้วรุ่นเล่า! ปีก่อนรุ่นของพวกฉัน คนที่ค่าปราณหนึ่งร้อยสิบแคลขึ้นไปมีไม่กี่คนเท่านั้น”
เขาเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นก่อน อู๋จื้อหาวจึงพายเรือตามน้ำ ถามทันทีว่า “พี่หวังคิดว่าปีนี้มาตรฐานการรับนักเรียนของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง จะใช้ค่าปราณประมาณเท่าไร?”
หวังจินหยางเผยรอยยิ้ม นี่คงจะเป็นคำถามที่นักเรียนมัธยมปลายสายศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดให้ความสนใจ
ไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าไร ปีก่อนตัวเองก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนหวังจินหยางจะเอ่ย “เกณฑ์พวกนี้จะเปลี่ยนแปลงโดยดูสถานการณ์ในปีนั้นๆ ปีก่อน ค่าปราณของทุกคนไม่ได้สูงเหมือนปีนี้ ทางเมืองหยางเฉิงยังพอว่า แต่ทางมณฑล ก่อนหน้านี้โรงเรียนมัธยมสังกัดของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงเคยจัดการตรวจสอบร่างกายครั้งหนึ่ง ฉันได้ยินว่านักเรียนที่ได้ค่าปราณหนึ่งร้อยยี่สิบขึ้นไปนั้นมีไม่น้อย หากเดาไม่ผิด ด่านตรวจสอบร่างกายของปีนี้ เกณฑ์ต่ำที่สุดเกรงว่าจะเป็นหนึ่งร้อยสิบแคล แต่เกณฑ์การรับ ทางที่ดีที่สุดรักษามาตรฐานให้ได้หนึ่งร้อยสิบห้าแคลขึ้นไปเถอะ”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา อู๋จื้อหาวก็เผยสีหน้าดีใจ ด้านหยางเจี้ยนและหลิวรั่วฉีกลับใบหน้ามืดมนอยู่บ้าง
หวังจินหยางไม่ได้กล่าวโจมตีทุกคนต่อ เอ่ยทั้งหัวเราะ “แน่นอนว่าก็ไม่ใช่จะเป็นแบบนั้นเสมอไป ตอนนี้พวกนายต่างค่าปราณร้อยสิบแคลขึ้นทั้งนั้น ฉวยโอกาสยามที่ยังไม่ถึงด่านตรวจสอบร่างกาย ยังมีโอกาสเพิ่มได้ การสอบศิลปะการต่อสู้ของทุกปี เหตุใดถึงจัดสอบใกล้กับวิชาวัฒนธรรมของเกาเข่า? เพราะว่าทุกคนล้วนเติบโตขึ้น มีพัฒนาการขึ้นทุกวัน เพื่อให้โอกาสแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับทุกคน ดังนั้นการสอบศิลปะการต่อสู้จึงได้ลากมาไว้หนึ่งวันก่อนสอบเกาเข่า วันนี้นายได้หนึ่งร้อยสิบแคล บางทีพรุ่งนี้อาจจะหนึ่งร้อยสิบเอ็ดแคลก็ได้ นี่เป็นไปได้ทั้งนั้น”
ทุกคนพยักหน้ากันอีกครั้ง นับว่ายอมรับคำปลอบใจเช่นนี้
ออกมาจากสถานีรถไฟ หวังจินหยางก็ไม่ได้รีบขึ้นรถ มองไปรอบๆ ด้านนอกสถานี
เขาเอ่ยด้วยความรู้สึกจากก้นบึ้งจิตใจ “ช่วงที่สอบเกาเข่า มีความคิดเพียงอย่างเดียวคือต้องสอบศิลปะการต่อสู้ให้ได้! เพื่อการสอบศิลปะการต่อสู้จึงได้ละทิ้งไปหลายสิ่ง แต่เมื่อสอบได้ กลับเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยรับรู้หลายอย่าง ยามนี้พบว่า ชีวิตที่สบายเป็นอิสระนั้นหาได้ยากยิ่ง!”
หวังจินหยางเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเท่านั้น อายุมากกว่าทุกคนหนึ่งปี
หากเป็นนักศึกษาในชาติก่อน คงไม่มีความคิดลึกซึ้งแบบนี้หรอก
แต่ชาตินี้ นักเรียนสายศิลปะการต่อสู้นับว่ามีความรู้สึกที่ลึกซึ้งจริงๆ
ช่วงเกาเข่า ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อการสอบศิลปะการต่อสู้
เมื่อสอบได้แล้ว ก็ต้องเริ่มบากบั่นเพื่อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์
กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังต้องพยายามต่อให้เปลี่ยนเป็นคนแข็งแกร่ง
มีรากฐานครอบครัวที่ดี นั่นก็สบายหน่อย แต่ฐานะทางบ้านธรรมดาอย่างหวังจินหยาง กลับต้องพบเจอความยากลำบากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้
เมื่อรำพึงรำพันแล้ว หวังจินหยางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่นั่งรถดีกว่า นั่งจนตัวแข็งหมดแล้ว หากพวกนายไม่รีบ ก็เดินเป็นเพื่อนฉันแล้วกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ดีใจขึ้นมาทันที เหตุที่ทุกคนชิงโอกาสมารับหวังจินหยางก็ไม่ใช่ว่าจะได้ทำความรู้จักมักคุ้น เข้าใจข้อมูลต่างๆ มากขึ้นหรือยังไง
ทั้งหวังจินหยาง เมื่อปีก่อนก็เพิ่งเป็นนักเรียนมัธยมปลาย เขารู้ความคิดของคนพวกนี้ดี ดังนั้นจึงได้พูดแบบนี้ออกไป นับว่าดูแลทุกคนเป็นพิเศษ
อู๋จื้อหาววิ่งเหยาะๆ ไปข้างรถ บอกกล่าวกับคุณจาง คนขับรถของโรงเรียน ก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งกลับมา
—
พวกเขาเดินเลียบไปตามถนนด้านนอกสถานี หวังจินหยางเดินไปสักพักก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หาที่นั่งเล่นสักที่เถอะ ยังไงก็ต้องเข้าไปโรงเรียนช่วงบ่ายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบ”
ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ อู๋จื้อหาวเป็นฝ่ายนำทางเดินไปยังร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง
ฟางผิงเห็นว่าหวังจินหยางเป็นคนช่างพูด ก็ฉวยโอกาสถาม “พี่หวัง หากไม่เป็นการเสียมารยาท ผมถามได้ไหมว่าตอนนี้พี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นไหนแล้ว?”
ไม่มีนักเรียนศิลปะการต่อสู้คนใด ไม่สนใจคำถามนี้หรอก!
เมื่อคำพูดนี้ออกมา กระทั่งอู๋จื้อหาวที่เป็นคนนำทางยังอดหันมามองหวังจินหยางไม่ได้ สำหรับรุ่นพี่ที่เป็นตำนานอย่างเขา พวกเขาให้ความสนใจอย่างยิ่ง!
หวังจินหยางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยหน้าประดับยิ้ม “บางเรื่องพวกนายไม่รู้จะดีกว่า รู้มากใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ฉันคงไม่พูดหรอก หากพวกนายสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงได้ ก็จะรู้เอง แต่ถ้าเป็นเรื่องซุบซิบของคนอื่น ยังพอจะพูดได้…”
ใบหน้าของหวังจินหยางแฝงความร้ายกาจเล็กน้อย “รู้จักหลี่หยวนเจียงหรือเปล่า?”
อู๋จื้อหาวตอบทันที “รู้จัก เป็นรุ่นพี่ห้องเรียนพิเศษปีก่อน สอบมหาลัยวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงได้เหมือนกัน”
หวังจินหยางยิ้มตาหยี “รู้จักก็ดี นินทาหมอนี่ ฉันยังพอทำได้ เจ้าหมอนี่ อย่าโทษที่ฉันขายหน้าเขาต่อพวกรุ่นน้องแล้วกัน ตอนแรกนักเรียนห้องเรียนพิเศษพวกนั้น มักคิดว่าตัวเองเป็นความภาคภูมิใจที่สุด ต่างก็เป็นนักเรียนด้วยกันทั้งนั้น อยู่ดีๆ กลับหาเรื่องมาพูดเหน็บแนมฉัน พวกนายว่า เขาว่างเกินไปหรือเปล่าล่ะ? พวกเราสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เจียงหนานได้เหมือนกัน หมอนั่นยังพูดว่า การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับฉันได้เป็นเรื่องน่าขายหน้า ขายหน้าแม่แกน่ะสิ คนแบบนี้น่าสั่งสอนชะมัด!”
เมื่อหวังจินหยางพูดออกมา พวกอู๋จื้อหาวก็อ้าปากค้างทันที
รุ่นพี่หวังที่เมื่อครู่ดูนุ่มนวล ยามนี้กลับไม่ได้ดูอ่อนโยนอย่างที่คิดซะแล้ว
หวังจินหยางก็ไม่ได้ใส่ใจว่าทุกคนจะคิดอย่างไร ขณะที่พูดยังเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
“หลี่หยวนเจียงและฉันเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกัน ยามนี้ใกล้จะจบปีหนึ่งแล้ว เจ้าหมอนั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งดูจากสถานการณ์แล้ว ปีสองยังพูดยาก ส่วนปีสามน่าจะพอมีหวัง”
ความนัยของคำพูดนี้ ฟางผิงฟังออก หวังจินหยางได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริงแล้ว
ส่วนขั้นที่เท่าไร ฟางผิงยังคงสงสัยอยู่บ้าง อาจจะไม่ใช่ขั้นหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยกตนข่มท่านเช่นนี้
เทียบกับหลี่หยวนเจียงที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงเหมือนกับเขา ก็สามารถเห็นได้ชัดว่าหวังจินหยางนั้นไม่ได้ด้อยในมหาวิทยาลัยเลย
ชั่วพริบตานั้น กระทั่งฟางผิง ล้วนเกิดความสนใจกับรุ่นพี่ที่เป็นตำนานคนนี้ขึ้นมาไม่น้อย…
—————————