รวยชั่วข้ามคืน?! - ตอนที่ 304 ทางเลือกที่ยากลำบาก
บทที่ 304 ทางเลือกที่ยากลำบาก
“หม่าฝูหรุ้ย!” หยูหมิงโพล่งอย่างเดือดดาล เขาอยากพุ่งไปข้างหน้าหม่าฝูหรุ้ยอย่างเลือดร้อน ให้เขาได้ลิ้มรสหมัดหนักๆ สักหลายที!
“หยูหมิง หยุดนะ!” เวลานี้ หยูจื้อเรียกหยูหมิงเอาไว้ หม่าฝูหรุ้ยเป็นวีรบุรุษที่ร่วมต่อสู้กับเขา ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ลูกชายต่อยเขาแน่
“พ่อ…” เวลานี้หยูหมิงไม่เข้าใจพ่อเป็นอย่างมาก แต่คำพูดของพ่อก็คือคำสั่ง เขาตวัดมองหม่าฝูหรุ้ยเขม็งปราดหนึ่ง ไม่ได้พุ่งเข้าไปต่อยเขา
“ฮ่าๆๆ หลานรัก อยากต่อยฉันเหรอ ชาติหน้าเถอะ!” ตอนนี้เธอยังต้องตัดสินใจกันให้ดีกับหยูจื้อว่าจะขายหัวเสร์ให้คุณชายฉาวอย่างไรดี!” หม่าฝูหรุ้ยพูดพร้อมหัวเราะอย่างลำพองตน
“ฉาวหนิง เจ้าหมาตัวหนึ่ง! ถูกใครชี้นิ้วสั่งให้หักหลังตระกูลหยูกันแน่ นายคงลืมแล้วว่านายเป็นคนนอกคนหนึ่ง ตอนแรกเพื่อจะเข้ามาในแวดวงพวกเรายังต้องทำเรื่องปั้นหน้ายิ้มไปตั้งเท่าไร ตอนนั้นพวกเราก็ไม่ยอมรับนายเข้ากลุ่ม แล้วตอนนั้นใครที่ค้านเสียงส่วนมากแล้วให้นายเข้าร่วมกลุ่มคุณชายรวยรุ่นที่สองของพวกเรา ก็คุณชายหยูไง! ตอนนี้นายมันทำคุณบูชาโทษแล้วชัดๆ”
จากนั้นก็มีคุณชายรวยรุ่นที่สองร้องเรียกความเป็นให้หยูหมิง
ฉาวหนิงก็เหมือนกับหม่าหยาง ต่างไม่ใช่คนที่เล่นกันจนโตกับคุณชายหยู สิบปีก่อน ครอบครัวเขาเพิ่งจะมาทำงานที่หลินอาน ตอนนั้นฉาวหนิงอยู่ต่อหน้าผู้อื่นยังเป็นบุคคลที่ไม่สะดุดตามาก
หลังจากฉาวหนิงรู้ว่าในหลินอานมีแวดวงคุณชายรวยรุ่นที่สองอยู่กลุ่มหนึ่งก็อยากเข้าร่วมอย่างมาก เขาทั้งขอร้องให้เพื่อนร่วมชั้นในโรงเรียนช่วยสานสัมพันธ์กับกลุ่มคุณชายรวยรุ่นที่สอง ทั้งพยายามแนะแฟนสาวให้คุณชายรวยรุ่นที่สอง ทั้งเอาเงินเศษของตนให้คุณชายรวยรุ่นที่สองคนอื่นๆ ใช้
แต่ว่าคุณชายรวยรุ่นที่สองต่างเห็นฉาวหนิงเป็นเหมือนคนโง่ ต้องการเพียงผลประโยชน์จากเขา แต่ไม่ยอมรับเขาเข้าแวดวงด้วย
สุดท้ายก็เป็นหยูหมิงที่เห็นว่าเขาน่าสงสาร ถึงได้พาเขาเข้ามาด้วยตัวเอง ประกาศอย่างเป็นทางการในงานเลี้ยงของแวดวงพวกเขาว่าฉาวหนิงกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพวกเขา
หลังจากได้เป็นสมาชิกของแวดวงแล้ว ตระกูลฉาวก็ได้พัฒนาธุรกิจอย่างใหญ่หลวงสาเหตุเนื่องจากข่าวสารที่ได้รับจากแวดวงนี้
ตอนนี้ฉาวหนิงถึงกับทำตัวเป็นขาหมาให้ใครบางคนมารับซื้อกิจการของตระกูลหยู กลุ่มคุณชายรวยรุ่นที่สองใครจะยอมดูเฉยๆ กัน
“หมาป่าตาขาว!”
“ตอนแรกหากไม่ได้คุณชายหยูพานายเข้าร่วมแวดวงพวกเรา จนป่านนี้ตระกูลฉาวของพวกนายก็ยังเป็นครอบครัวเล็กๆ ระดับรองอยู่เลย จะมีความสำเร็จเหมือนตอนนี้ได้อย่างไรกัน! นายนี่มันทำคุณบูชาโทษชัดๆ!”
“ตอนแรกช่างตาบอดจริงๆ ที่รู้จักคนอย่างนาย! ถุ้ย! เห็นนายแล้วก็รู้สึกแขยงใจ!”
เหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สองต่างเดือดดาล ร้องประณามฉาวหนิง และยังมีคุณชายรวยรุ่นที่สองที่ดีกับคุณชายหยูเป็นพิเศษคนหนึ่งที่ด่าไปพลางและถ่มน้ำลายรดหน้าฉาวหนิงไปพลาง!
“อ่าๆ คนหน้าไม่อายอย่างนาย ก็สมควรถูกถ่มน้ำลายใส่แล้ว! เพราะชื่อเสียงของนายก็เหม็นพอกัน จิตใจสกปรก นายไม่เหมาะจะเป็นคนๆ หนึ่งด้วยซ้ำ!” คุณชายรวยรุ่นที่สองคนที่ถ่มน้ำลายนั้นยังคงก่นด่าฉาวหนิง
ฉาวหนิงใช้มือปาดน้ำลายบนหน้าออก เขาจ้องคุณชายรวยรุ่นที่สองที่หัวเราะเยาะเขาคนนั้น ค่อยๆ เดินเข้าไปทางเขาช้าๆ
“นายก็รู้ว่าฉันคนนี้รักสะอาดที่สุด” ฉาวหนิงพูดลอดไรฟัน เค้นคำพูดเสียงเย็นออกมา
“ผัวะ!”
เขาเงื้อมือเรียวยาวขึ้น ซัดเข้าที่หน้าคุณชายรวยรุ่นที่สองคนนั้นที่เพิ่งดูหมิ่นเขาเมื่อกี้ เขาทิ้งสายตาเจือแววเคียดแค้นรุนแรง จากหน้าของเขาย้ายมาที่หน้าของคุณชายรวยรุ่นที่สองคนอื่นๆ
ฉาวหนิงพูดอย่างดุดัน “ฉันเตือนพวกนายก่อน วันนี้สำหรับบริษัทหัวเสร์ของตระกูลหยู ข้าต้องได้ หลังจากนี้ต่อไป หลินอานก็ไม่มีตระกูลหยูแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลอันดับหนึ่งแห่งหลินอานก็จะตกอยู่ที่ตระกูลฉาวของฉัน ถึงตอนนั้น
ตระกูลฉาวของฉันก็จะมีทรัพย์สินหลายหมื่นล้าน พวกนายทั้งหลาย ตอนนี้ไม่ยอมฉัน ด่าทอฉัน! ฉันจะจำให้ขึ้นใจ ต่อไป ฉันจะคิดบัญชีกับพวกนายทีละคนๆ ถ้าหากพวกนายเชื่อ อาศัยขุมอำนาจของตระกูลพวกนายก็สามารถต้านทานการโจมตีของฉันได้ ตอนนี้ก็ด่าฉันต่อไปได้เลย!”
ฉาวหนิงหันไปข่มขู่พวกคุณชายรวยรุ่นที่สอง
ทันทีที่เขาพูดแบบนี้ เหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สองต่างพากันลังเล นั่นสิ ดูจากสภาพปัจจุบัน ตระกูลฉาวมีโอกาสแทนที่ตระกูลหยู เผื่อตระกูลฉาวได้เป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งหลินอานขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นฉาวหนิงจะเล่นงานพวกเขาก็เป็นเรื่องแสนง่ายดายเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้เหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สองต่างขมขื่น ถึงแม้ในใจพวกเขาจะไม่พอใจต่อฉาวหนิงนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาไม่อาจด่าเขาได้อีก ด่าฉาวหนิงนั่นต้องเอาชะตาของตระกูลเป็นสิ่งเดิมพันเชียวนะ!
“สหายตัวน้อยทั้งหลาย ฉันขอใช้สถานะผู้อาวุโสตักเตือนพวกเธอนะ เมื่อกี้พวกเธอด่าสาปส่งคุณชายฉาว ต่อให้เป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น สิ่งที่พวกเธอควรทำตอนนี้ควรจะยืนโง่ๆ อยู่ตรงนี้ เพื่อให้คุณชายฉาวยกโทษให้พวกนาย! ไม่อย่างนั้น รอหลังจากตระกูลฉาวกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งหลินอาน พวกเธออยากขอโทษอย่างไรก็คงสายไปแล้ว”
หม่าฝูหรุ้ยพูดอย่าง “เน้นถ้อยเน้นคำ”
คำพูดของเขาใครฟังไม่เข้าใจบ้าง ก็คืออยากให้คุณชายรวยรุ่นที่สองประจบฉาวหนิง ละทิ้งความฝันลมๆ แล้งๆ ที่คิดว่าตระกูลหยูยังสามารถพลิกกลับมาเอาชนะได้อยู่
แต่เหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สองต่างเข้าใจความหมายของหม่าฝูหรุ้ย แต่ก็ยังไม่มีท่าทีจะขอโทษ
ก่อนหน้านี้ในหมู่พวกเขา ฉาวหนิงก็เป็นแค่ตัวประกอบคนหนึ่ง พวกเขาต่างดูถูกสภาพ “คางคกขึ้นวอ” ในยามนี้ของฉาวหนิงจากก้นบึ้งหัวใจ ที่สำคัญกว่านั้นคือหากพวกเขาขอโทษฉาวหนิงตอนนี้ จะไม่เป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเองก็คิดว่าตระกูลฉาวจะรับซื้อหัวเสร์ ตระกูลหยูไร้สิ้นความหวังอย่างสมบูรณ์แล้วหรอกเหรอ
หยูหมิงเป็นพี่ใหญ่ของพวกเขา เวลานี้ พวกเขาในฐานะพี่น้องไม่อาจจ้วงดาบใส่พี่น้องกันเองเด็ดขาด!
แต่ในนั้นมีความคิดของคนๆ หนึ่งที่แตกต่าง
เขาก็คือหม่าหยางนั่นเอง หม่าหยางไม่ได้ความผูกพันฉันท์ “เพื่อนวัยเด็ก” อะไรกับหยูหมิง เขามองออกอย่างชัดเจนว่าตระกูลหยูเป็น “ตะวันรอน” แล้ว ตระกูลฉาวจะต้องรับซื้อบริษัทหัวเสร์ได้แน่นอน
หากเป็นปฏิปักษ์กับฉาวหนิงในตอนนี้คงเป็นการกระทำรนหาที่ตายแล้ว!
เหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สองทั้งหมดต่างไม่สนับสนุนฉาวหนิง หากสนับสนุนเขาล่ะก็ นั่นไม่ใช่ยิ่งเสริมความล้ำค่าให้เขาอย่างเห็นได้ชัดหรอกเหรอ!
ตอนที่ตระกูลฉาวกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งหลินอาน ตระกูลพวกเขาไม่เพียงหลบเลี่ยงการโจมตีของตระกูลฉาวได้ ตรงข้ามยังอาจได้รับการดูแลจากตระกูลฉาวด้วยก็ได้!
“ดี พวกนายหัวรั้นกันมาก ตระกูลหยูอิดโรยเต็มทีแล้ว พวกนายยังเต็มใจอยู่เคียงข้างพวกเขา ฉันนับถือพวกนาย!”
ฉาวหนิงพูดด้วยน้ำเสียงเสียดสี “ ฉันจะฝากคำพูดถึงพวกนายหน่อย รอให้ตระกูลฉาวของฉันกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของหลินอาน ฉันจะเปลี่ยนตระกูลยี่สิบอันดับแรกในหลินอานทีละตระกูล อย่าสงสัยในความแข็งแกร่งของฉัน ฉันสามารถโค่นตระกูลหยูได้ พวกนายอยู่ต่อหน้าฉันจะนับเป็นอะไรกันเชียว!”
ฉาวหนิงพูดเสียงเย็น เขาในตอนนี้ไม่ใช่คุณชายรวยรุ่นที่สองที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยคนนั้นอีกแล้ว ดูเหมือนจะกลายเป็นฮีโร่รุ่นต่อไป!
“คุณชายฉาว ฉันสนับสนุนคุณชายฉาว!”
เวลานี้ หม่าหยางร้องโพล่งออกมาเสียงดัง เถียนซิงที่อยู่ข้างเขาก็สะดุ้งตกใจ เธอกระตุกชายเสื้อของหม่าหยางเป็นเชิงห้ามเขาอย่าพูดพล่อยๆ ตอนนี้ในช่วงเวลานี้ การหักหลังตระกูลหยูเป็นสิ่งที่ไม่ถูกกาลเทศะจริงๆ และจอมปลอมเกินไป นี่อาจทำลายภาพลักษณ์ของหม่าหยางได้ ต่อจากนี้ก็อย่าคิดจะอยู่ร่วมกับคุณชายรวยรุ่นที่สองอีกเลย
หม่าหยางไม่ได้สนใจการเตือนสติของเถียนซิงเลยสักนิด ในสายตาเขา ตอนนี้เป็นโอกาสที่จะผูกมิตรฉาวหนิงแบบที่หาได้ยากทีเดียว เขาต้องคว้าให้อยู่หมัด
“คุณชายฉาว ผมสนับสนุนคุณ”
หม่าหยางเดินไปหยุดต่อหน้าฉาวหนิงท่ามกลางสายตาดูหมิ่นถิ่นแคลนของกลุ่มคน “คุณชายฉาว เมื่อกี้ผมไม่ได้พูดจาไม่ดีอะไรใส่คุณเลย พวกเขาพูดเองทั้งนั้น ผมคิดว่าหลังจากวันนี้ตระกูลฉาวจะต้องกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งหลินอานแน่นอน และหวังว่าถึงตอนนั้นแล้วตระกูลฉาวจะช่วยเหลือเกื้อกูลตระกูลหม่าของเรามากๆ ด้วย!”
“หม่ายางนายช่างมีวิสัยทัศน์จริงๆ!”
ฉาวหนิงกล่าวพลางหัวเราะน้อยๆ เขาถูกหม่าหยางประจบประแจงเสียจนรู้สึกเบิกบาน และพูดกับหม่ายางอีกครั้งว่า “ในเมื่อนายเลือกจะยืนอยู่ข้างฉัน นายก็ควรกีดเส้นกั้นโลกกับตระกูลหยู ตอนนี้ นายหันหน้าเข้าหาคุณชายหยูและลุงหยู นายมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”
ในใจหม่าหยางเหมือนกระจกใสไม่มีผิด นี่ฉาวหนิงกำลังลองเชิงเขา อยู่ต่อหน้าตระกูลหยูและตระกูลฉาว เขาเลือกได้แค่อย่างเดียว
ในเมื่อหม่าหยางเลือกตระกูลฉาวแล้ว เช่นนั้นเขาก็ต้องรีบเดินตามรอยตระกูลฉาวให้ทัน หยามหน้าตระกูลหยูหนักๆ หันมาเล็ง “โยนบ่วง” ใส่ฉาวหนิง!
“ในมุมมองของผม ตระกูลหยูตายไปแล้ว ตอนแรกที่ตระกูลหยูไม่มีเรื่องก็ชอบออกคำสั่งต่อหน้าทุกตระกูลแห่งหลินอาย วางอำนาจบาตรใหญ่ ตอนนี้ดีหน่อย ตอนนี้ตระกูลพวกเขาใกล้ปิดตัวลงแล้ว สำหรับคนหลินอาน นี่เป็นเรื่องดีที่ควรร่าเริงเบิกบานใจมาก ผมแทบทนไม่ไหวอยากจุดประทัดฉลองหน้าประตูอยู่แล้ว!”
หม่าหยางพูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าเขามองไปทางสองพ่อลูกตระกูลหยูอีกครั้ง พูดว่า “สองพ่อลูกตระกูลหยู ไม่ต้องหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว บริษัทหัวเสร์ไม่มีทางพลิกเกมได้แล้ว ตอนนี้พวกนายควรรีบให้คุณชายฉาวรับซื้อบริษัทหัวเสร์ไวๆ ได้แล้ว นี่ต่างหากที่เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด ไม่อย่างนั้นก็ระวังตายไปไม่มีดินฝังก็แล้วกัน!”
รอยยิ้มบนใบหน้าและน้ำเสียงถากถางของหม่าหยางต่างทำให้ผู้คนมีแรงสูบฉีดอยากต่อยเขาตาย! เหล่าคุณชายรวยรุ่นที่สองอารมณ์พลุ่งพล่าน หม่าหยางคนนี้ทำเกินไปแล้วจริงๆ
“ไอ้หมา! ทำไมตอนแรกถึงมองนายไม่ออกวะ”
“รีบแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้านายของแกสิ ไอ้ขาหมา!”
“ก่อนหน้านี้เป็นเพื่อนกับคนแบบนาย ฉันรู้สึกขายหน้าจริงๆ!”
……
เถียนซิงรีบเดินประชิตข้างๆ หม่าหยาง เธอรู้สึกว่าตัวเองอาจถูกคนอื่นๆ ตีก็ได้! ในใจเถียนซิงคิดแบบนี้ หม่าหยางทำเกินไปแล้ว ถ้าหากหม่าหยางอยากไต่เต้าหาตระกูลฉาวจริงๆ ก็พูดเป็นการส่วนตัวได้ทั้งนั้น ตอนนี้ดันมาทำตัวชั่วช้าต่อหน้ากลุ่มคนแบบนี้ ช่างเรียกให้คนเกลียดเหลือเกิน
แต่ว่าหม่าหยางก็ทำไปแล้ว ในฐานะผู้หญิงของหม่าหยาง เธอก็ได้แต่แบกรับร่วมกับหม่าหยาง
“ดีมาก!” ฉาวหนิงแสดงออกว่าพอใจมากต่อหม่าหยาง “รอหลังจากวันนี้ฉันรับซื้อหัวเสร์ได้และกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งหลินอานแล้ว ฉันจะดูแลตระกูลหม่าของนายเป็นอย่างดี แน่นอน ฉันก็จะ “ดูแลเป็นพิเศษ” กับตระกูลที่ “มีตาหามีแวว” พวกนี้ด้วยเหมือนกัน!”
ชุดหูฟังบลูทูธขนาดจิ๋วที่ใส่ในหูฉาวหนิงก็มีเสียงของฉินหยวนดังมาอีกครั้ง “ให้เวลาตระกูลหยูคิดหนึ่งชั่วโมง ศึกนี้ต้องเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว”
ฉาวหนิงหันขวับไปมองหยูจื้อที่นั่งเงียบบนเก้าอี้ “ลุงหยู เวลาของผมมีค่ามาก ผมให้เวลาคุณหนึ่งชั่วโมง ให้คุณคิดทบทวน หลังจากหนึ่งชั่วโมงแล้ว ถ้าหากคุณไม่สามารถให้คำตอบผมได้ ขอโทษด้วย ผมคงไม่รับซื้อแล้ว ผมคิดว่าด้วยประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวตั้งหลายปีของคุณจะต้องตัดสินใจเลือกได้อย่างถูกต้อง!”
พูดจบ ฉาวหนิงก็หัวเราะน้อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งและเล่นมือถืออย่างสบายใจเฉิบ
ส่วนหยูจื้อกลับนั่งนิ่งเงียบบนเก้าอี้ ในสมองของเขาคิดไตร่ตรองอย่างฉับไว หยูหมิงและคุณชายรวยรุ่นที่สองคนอื่นๆ ต่างไม่กล้าส่งเสียง พวกเขากำลังเฝ้ารอหยูจื้อให้คำตอบสุดท้าย
หลงเย้นเดินเข้ามาในห้องประชุมอย่างเงียบเชียบ เธอบอกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ให้ฉินหลั่งฟังผ่านทางโทรศัพท์
เวลานี้ ฉินหลั่งเดินลงจากเครื่องบินแล้ว กำลังอยู่ระหว่างทางมุ่งหน้ามาที่อาคารใหญ่สำนักงานหัวเสร์
คนที่รับซื้อบริษัทหัวเสร์คือฉาวหนิงเหรอ
เขาสามารถจ่ายเงินสามหมื่นล้านได้!
ได้ยินข่าวนี้ที่หลงเย้นพูด ในใจฉินหลั่งก็เข้าใจโดยพลันว่าเรื่องนี้ใครเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง!
เวลาผ่านไปทีละนาที ชั่วพริบตา หนึ่งชั่วโมงก็หมดลง
“ลุงหยู ตอนนี้คุณให้คำตอบผมได้แล้วใช่ไหม”
ฉาวหนิงลุกขึ้นยืน ยิ้มน้อยๆ มองไปทางหยูจื้อ เมื่อครู่นายท่านฉินหยวนบอกฉาวหนึงถึงการวิเคราะห์ของเขาผ่านทางชุดหูฟัง หยูจื้อจะต้องตกลงให้รับซื้อบริษัทหัวเสร์อย่างแน่น ดังนั้นตอนนี้ฉาวหนิงจึงมั่นใจอย่างมาก
หยูจื้อยังคงนั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ตามเดิม ไม่พูดอะไรสักคำ แต่สายตาลุ่มลึกของเขากลับบ่งบอกว่าในใจของเขายังคงดิ้นรนอย่างเจ็บปวด
“พวกเราตระกูลหยูคงไม่ปล่อยให้นายรับซื้อบริษัทหัวเสร์หรอก นายไปซะ!” หยูหมิงเห็นพ่อไม่พูดจา ตนก็เลยรับหน้าที่ตัดสินใจและหันไปพูดกับฉาวหนิง
“เดี๋ยว!” เวลานี้ หยูจื้อพูดขึ้นมาแล้ว เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองฉาวหนิงช้าๆ เอ่ยสามคำออกมาอย่างยากลำบากว่า “ฉัน…เห็นด้วย”