รวยชั่วข้ามคืน?! - ตอนที่ 116 คนตาบอดคนนี้ช่างดูคุ้นเคย
บทที่ 116 คนตาบอดคนนี้ช่างดูคุ้นเคย
“ฉันโทรศัพท์หาคุณตั้ง 5 สาย ทำไมถึงไม่รับ?” เส้เหวินจี้งเดินเข้าไปหาฉินหลั่งแล้วถามด้วยความโมโห
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาสิ” ฉินหลั่งยืนมองเส้เหวินจี้ง เธอเหมือนกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น จึงไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องใดๆกับเธออีกต่อไป
“ ฉินหลั่ง ฉันผิดไปแล้ว ก่อนหน้านี้เป็นเพราะฉันไม่ดีเอง หลังจากที่จากคุณไปฉันถึงได้รู้ว่า จริงๆแล้วฉันไม่สามารถพรากจากคุณได้ บนโลกใบนี้ มีเพียงคุณเท่านั้นที่ทำดีกับฉันด้วยความจริงใจโดยไม่หวังผลตอบแทน พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมคะ?” เส้เหวินจี้งมองตาฉินหลั่ง แล้วพูดอย่างอ้อนวอน
นี่ไม่ใช่ว่าเธอกำลังหลอกฉินหลั่ง แต่หลังจากที่ผ่านจูจี้เหวินและเผิงหนานทั้งสองคนมา เส้เหวินจี้งก็ตระหนักได้แล้วจริงๆว่าเมื่อก่อนฉินหลั่งดีกับเธอขนาดไหน! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้ฉินหลั่งเป็นทายาทนักธุรกิจ เธอจึงยินดีที่จะอยู่กับฉินหลั่งจนแก่ด้วยความเต็มใจ
“เป็นไปไม่ได้แล้ว” ตอนนี้ฉินหลั่งไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรให้กับเส้เหวินจี้งเลยแม้แต่น้อย และเขาเองก็ไม่รู้ว่าที่เส้เหวินจี้งพูดเช่นนี้ เป็นเพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่ แล้วจึงหันมองเสี่ยวหง: “เอาเงินให้เธอหนึ่งแสนหยวน”
“ไม่! ฉันไม่ต้องการเงินของคุณ ฉินหลั่ง คุณต้องเชื่อฉัน ฉันจริงจังจริงๆนะ พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งได้ไหม? ฉันจะทำดีกับคุณให้มากๆ ต่อให้คุณจะให้ฉันกินอาหารแผงข้างถนนเป็นเพื่อนคุณฉันก็ยินดี” เส้เหวินจี้งพูดด้วยความตื่นเต้น ตอนนี้เธอรู้สึกคิดถึงฉินหลั่งคนที่เคยทะนุถนอมเธอ รักเธอ และเห็นเธอเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจในตอนนั้นจริงๆ
“เส้เหวินจี้ง เธออย่าโง่อีกเลย รับเงินแล้วก็รีบไปซะ อย่ามาทำให้ธุรกิจในร้านของผมต้องเสียเวลา……” ฉินหลั่งนำเงินหนึ่งแสนหยวนใส่เข้าไปในมือของเส้เหวินจี้ง
“ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งนี้!” เส้เหวินจี้งโยนเงินของฉินหลั่งลงบนพื้น เธอจับมือของฉินหลั่งไว้ แล้วเอาขึ้นมาจับที่ใบหน้าของเธอ: “ฉินหลั่ง คุณลืมไปแล้วเหรอ ฉันคือเหวินจี้งของคุณไง คุณยังจำเรื่องเมื่อก่อนได้ไหม? คุณบอกว่าคุณคบกับฉันเกือบจะหนึ่งปีแล้ว แม้แต่ใบหน้าของฉันยังไม่ให้คุณจับ ตอนนี้ฉันให้คุณจับแล้ว คุณให้อภัยฉันได้ไหม มาเริ่มต้นกันใหม่ พวกเราจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอน……”
เส้เหวินจี้งจับมือของฉินหลั่งไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ฉินหลั่งอยากจะดึงก็ดึงไม่ออก
“ปล่อย! เธอคิดจะทำตัวไร้เหตุผลไปถึงเมื่อไหร่กัน?” ฉินหลั่งออกแรงดึง เส้เหวินจี้งเซจนเกือบจะล้มลง
“เพราะอะไร เมื่อก่อนเราเป็นคู่ที่ใครๆเห็นแล้วก็ต้องอิจฉา คุณยังเคยบอกฉันว่า คุณจะดูแลปกป้องฉันอย่างดีไปตลอดชีวิต ต่อให้อีกหน่อยฉันจะทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ที่จะทำร้ายคุณขนาดไหน คุณก็จะไม่โกรธไม่โทษฉัน จะทำดีกับฉันตลอดไป คุณเคยพูดคำพวกนี้ออกมาเอง หรือว่าคุณลืมไปหมดแล้ว?” เส้เหวินจี้งอยากจะดึงฉินหลั่งกลับมา
“ได้ ในเมื่อคุณอยากรู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้ผมจะบอกให้คุณฟังอย่างชัดเจน เพราะว่าคุณเป็นรักแรกของผม ก่อนที่ผมจะคบกับคุณ ผมไม่รู้เลยว่าอะไรคือความรัก ดังนั้นตอนที่พวกเราสองคนอยู่ด้วยกัน ผมจึงทุ่มเทอย่างไม่ลืมหูลืมตา และตกอยู่ในโลกที่มีแต่คุณ โดยไม่เคยลองคิดทบทวนดูจริงๆเลยว่า นี่มันคือความรักที่แท้จริงๆหรือเปล่า”
“หลังจากที่ผมเลิกรากับคุณ ผมก็ได้พบกับจงยู่ จากนั้นพวกเราก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ผมถึงได้รู้ว่าเวลาที่อยู่กับเธอกับเวลาที่อยู่กับคุณนั้น ความรู้สึกต่างกันมาก เธอมักจะคิดถึงผมเสมอ ผมกลายเป็นคนที่ถูกดูแล เวลาที่เธอไม่อยู่ ผมรู้สึกเหมือนหัวใจว่างเปล่า ไม่ใช่รู้สึกว่า‘วันนี้จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียที’เวลาที่เธออยู่ ผมรู้สึกมีความสุข ไม่ได้รู้สึกว่ามีภาระ……”
“ผมจึงเริ่มนึกทบทวนดูว่า ในตอนนั้นที่อยู่กับคุณ มันคือความรักจริงๆหรือเปล่า? ผมคิดว่า นั่นไม่ใช่ ตอนนั้นผมอาจจะเป็นแค่คนน่าสงสารคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย จึงอยากที่จะรู้สึกประสบความสำเร็จแม้เพียงสักนิดก็แค่นั้น หึ ตอนนี้มาคิดๆดูแล้วก็น่าขำ แต่ว่า ผมคิดว่าตอนนี้ไม่ว่าคุณหรือผมก็ไม่มีใครควรจะรู้สึกเสียใจทั้งนั้น เพราะว่าตอนเป็นวัยรุ่นใครๆก็สามารถทำผิดกันได้”
เส้เหวินจี้งยืนนิ่งอยู่กับที่ คำพูดของฉินหลั่ง เหมือนตัดสินโทษประหารให้แก่เธอแล้ว ต่อให้เธอจะโวยวายอย่างไร้เหตุผลต่อไป ฉินหลั่งเองก็คงไม่มีทางยอมรับเธออีกต่อไปแล้ว
“ถ้าหากฉันไม่ได้เลิกกับคุณตั้งแต่แรก หลังจากนั้นหากคุณไปเจอจงยู่ เผิงเมิ่ง คุณจะทอดทิ้งฉันไหม?” เส้เหวินจี้งยืนอย่างหมดอาลัยอยู่กับที่ และถามด้วยน้ำเสียงอู้อี้ นี่คือสิ่งที่เธอผู้ซึ่งหัวใจสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วอยากรู้ในตอนนี้ ตอนนี้เมื่อเห็นร่างที่ดูไร้ชีวิตชีวาของเส้เหวินจี้ง ทำให้ฉินหลั่งรู้สึกว่าเธอน่าสงสารมาก
เขารู้ดีว่า ถ้าหากในตอนนั้นเขาและเส้เหวินจี้งไม่ได้เลิกรากัน ไม่ว่าเขาจะพบกับจงยู่ เผิงเมิ่ง หรือแม้แต่ผู้หญิงที่ดีกว่าเส้เหวินถิง สามารถทำให้เขาประทับใจได้มากกว่า ต่อให้ฉินหลั่งจะได้พบเจอ ต่อให้การอยู่ร่วมกันเส้เหวินจี้งอาจจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาด แต่เกรงว่าเขาก็อาจจะยอมทำผิดต่อไป
แต่ถ้าเสียดายที่บนโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก
ตอนนี้ถ้าหากบอกเรื่องนี้กับเส้เหวินถิง เกรงว่าในใจของเธอจะยิ่งรับไม่ได้
“ผมคิดว่าก็เป็นไปได้” ฉินหลั่งมองเส้เหวินจี้งแล้วพูดเบาๆ เขาเลือกที่จะใช้คำตอบที่อาจจะทำให้เส้เหวินจี้งสบายใจขึ้นสักหน่อย
ในใจของเส้เหวินจี้งเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก เธอก้มหน้าลง น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย หยดลงบนพื้น แต่เธอก็พยายามที่จะข่มไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา เธอกำลังอดกลั้น การเจอหน้ากับฉินหลั่งครั้งสุดท้าย เธอไม่อยากจะรู้สึกขายหน้าต่อหน้าฉินหลั่ง
ฉินหลั่งอยากจะเดินเข้าไปตบไหล่ของเส้เหวินจี้ง เก็บความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ มีแต่จะทำให้เกิดเรื่องได้ง่าย แต่เขาเองก็ห้ามตัวเองเอาไว้ได้
เส้เหวินจี้งค่อยๆขยับ เธอไม่หันมองฉินหลั่งอีกต่อไป และไม่ได้หันไปมองคนอื่นๆด้วย เธอตกตะลึงอยู่เช่นนั้น แล้วค่อยๆเดินออกไปข้างนอกทีละก้าวๆอย่างไร้เรี่ยวแรง ทำเหมือนกับศพที่เดินได้ ที่เดินผ่านม่านหมอกเข้าไปยังป่าทึบ
มองดุเส้เหวินจี้งหายไปตรงทางออก ฉินหลั่งก็ถอนหายใจเบาๆ เขาคิดว่าเขากับผู้หญิงที่เคยมีทั้งความรักและความเกลียดชังกันมาคนนี้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ควรจะจบสิ้นกันเสียที
“พวกคุณทำงานกันต่อเถอะ เงินหนึ่งแสนหยวนนี่ ถือว่าเป็นโบนัสของเดือนนี้ให้พวกคุณเอาไปแบ่งกันเถอะ” ฉินหลั่งหยิบเงินหนึ่งแสนหยวนที่อยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วยื่นให้เสี่ยวหง จากนั้นจึงเดินจากไป
กลับไปถึงตลาดกลางคืนอีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ฉินหลั่งยืนอยู่ที่ทางเข้าตลาดกลางคืน มองดูกลุ่มคนที่คึกคัก ฉินหลั่งกำลังคิดว่า หรือว่าส้งเส่นเอ๋อและโจวซินจะกลับไปเสียแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์ออกมา เตรียมที่จะโทรไปถามโจวซิน
ตอนนี้ส้งเส่นเอ๋อและโจวซินยังคงเดินเล่นอยู่ในตลาดกลางคืน จนกระทั่งถึงตอนนี้ ส้งเส่นเอ๋อก็ยังไม่พอใจการแสดงออกของฉินหลั่งก่อนหน้านี้
“หึ มันน่าโมโหจริงๆ โจวซิน เธอเองก็เห็นแล้ว ตอนนั้นนายนั่นดูสงบขนาดไหน ไม่รู้สึกละอายใจเลยสักนิด เห็นท่าทางของเขาแล้ว ก็รู้สึกว่าเขาเหมาะกับฉันส้งเส่นเอ๋อแล้ว! เธอเคยเห็นคนที่ไร้ยางอายขนาดนี้ไหม?”
ตั้งแต่ส้งเส่นเอ๋อออกมา ก็พูดประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด โจวซินฟังจนเบื่อแล้ว
“เส่นเอ๋อเธอเลิกคิดอะไรไร้สาระได้แล้ว ฉินหลั่งเขาก็เป็นคนที่เงียบขรึมอย่างนี้อยู่แล้ว เธอเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ อีกอย่าง เขาเองก็มีแฟนแล้ว และความสัมพันธ์ก็ดูท่าจะไปได้ดี เธอเองก็เลิกคิดเพ้อเจ้อได้แล้ว” ฉินหลั่งไม่เคยเล่าเรื่องที่จงยู่หายตัวไปให้ใครฟัง เพราะต่อให้คนอื่นรู้ก็ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยอะไรได้
“มีแฟนแล้วยังจะทำตัวหน้าไม่อายเช่นนี้ คนคนนี้สามารถทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้ได้จริงๆ” ตอนนี้ในหัวของส้งเส่นเอ๋อ ไม่ว่าฉินหลั่งจะทำอะไร ก็ดูเป็นผู้ชายไม้เลื้อยไปเสียหมด: “อีกอย่าง เธอบอกว่าหวงเกอเรียกเขามาดูแลพวกเราไม่ใช่หรือ? แล้วเธอดูสิ ตอนนี้ไม่รู้เขาหายหัวไปไหนแล้ว? กลับไปคงต้องบอกหวงเกอแล้วว่า คนแบบนี้ไม่มีความรับผิดชอบเลยสักนิด ควรจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับเขาให้เร็วที่สุด”
“คงเป็นเพราะเมื่อกี้พวกเราเดินกันเร็วเกินไป เขาคงจะหาพวกเราไม่เจอแล้ว?” สำหรับเรื่องนี้ โจวซินเองก็รู้สึกว่าเป็นปัญหาของฉินหลั่ง เห็นอยู่แล้วว่าส้งเส่นเอ๋อโกรธขนาดนี้ ก็ยังไม่รู้จักพูดจาดีๆปลอบใจเออีก แต่กลับหนีหายไป แล้วแบบนี้จะไม่ให้ส้งเส่นเอ๋อรู้สึกเกลียดเขาได้อย่างไร?
“โธ่เอ๋ย” ทั้งสองเดินพลางคุยกันไปพลาง จึงไม่ได้มองทาง ส้งเส้นเอ๋อเดินชนเข้ากับคนคนหนึ่ง ตอนที่เห็นคนคนนั้นก็ล้มลงไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว
“นี่นายตั้งใจจะชนฉันใช่ไหม แค่ชนนิดเดียวก็ล้มแล้ว” ส้งเส่นเอ๋อรีบตะโกนขึ้นมา เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ชนเขาแค่เบาๆ เขากลับล้มแล้ว?”
“เส่นเอ๋อ เธอไม่เห็นหรือว่าเขา…… โธ่เอ๋ย พวกเรารีบประคองเขาขึ้นมาเร็ว” หลังจากที่โจวซินพูดเช่นนี้ ส้งเส่นเอ๋อถึงได้เห็นว่าจริงๆแล้วคนที่ชนกับเธอคือคนตาบอด ตอนนี้เธอเองไม่ได้รู้สึกโกรธแล้ว จากนั้นก็รีบช่วยโจวซินพยุงคนตาบอดขึ้นมา แล้วก็ทำไม้เท้ายื่นให้คนตาบอด
“ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ……” ส้งเส่นเอ๋อและโจวซินรีบกล่าวขอโทษคนตาบอด
“ไม่เป็นไร……” คนตาบอดใช้มือจับที่หมวกแล้วพูด
“คุณเจ็บคออย่างนั้นหรือ……” คนตาบอดคนนี้ น้ำเสียงฟังดูไม่ปกติ เหมือนต้องเค้นเสียงออกมาเวลาพูด ส้งเส่นเอ๋อมองคนตาบอดคนนี้ด้วยความสงสัย เธอรู้สึกว่าคนตาบอดคนนี้หน้าตาดูคุ้นๆ เพียงแต่ว่าถูกปีกหมวกและแว่นดำปกปิดใบหน้าของเขาอยู่
“ฉันจะไปแล้ว……” คนตาบอดใช้ไม้เท้าเคาะที่พื้น เพื่อต้องการที่จะเดินต่อไปข้างหน้า คนในตลาดกลางคืนมีมากมายขนาดนี้ เขาจะต้องชนเข้ากับคนอื่นอีกแน่นอน
“คุณรอเดี๋ยว” ส้งเส่นเอ๋อดึงคนตาบอดเอาไว้ แล้วหันไปมองโจวซิน: “หรือว่าพวกเราจะช่วยเดินออกไปส่งเขาดี เธอดูสิคนมากมายขนาดนี้ แบบนี้เขาคงไม่ได้เดินออกไปง่ายๆแน่”
“อืม ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” โจวซินเองก็แบนปากแล้วมองคนตาบอด คนตาบอดตัวคนเดียวแบบนี้ ทำไมถึงได้เดินเข้ามาในตลาดกลางคืน? แบบนี้ไม่ใช่ว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้ทั้งตัวเองและผู้อื่นหรอกหรือ?
“พวกเราจะเดินออกไปเป็นเพื่อนคุณ” ส้งเส้นเอ๋อและโจวซินเดินขนาบไปคนละข้าง โดยแขนจับทั้งสองข้างของคนตาบอดไว้ แล้วเดินออกจากตลาดกลางคืน คนตาบอดกล่าวขอบคุณเบาๆ
โจวซินและส้งเส้นเอ๋อ จุงคนตาบอดออกมาถึงด้านนอกตลาดกลางคืน ได้ยินคนตาบอดพูดว่า เขามากับเพื่อนของเขา รถจอดอยู่ที่ข้างทาง โจวซินและส้งเส่นเอ๋อจึงตามคนตาบอดไปยังที่จอดรถด้วยกัน
พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ารถเบนซ์ที่ดุหรูหราคันหนึ่ง ที่แปลกก็คือ คนตาบอกบอกว่าเขาพกกุญแจรถของเพื่อนเขาเอาไว้ จากนั้นจึงไขกุญแจรถ
“คุณหนูทั้งสอง พวกเธอขึ้นไปนั่งบนรถก่อนเถอะ ขอบคุณที่พวกเธอพาฉันออกมาส่งข้างนอก” คนตาบอดพูดกับพวกโจวซินอย่างสุภาพ
“ก็ได้ ถ้ายังไม่เห็นว่าคุณขึ้นรถไปกับเพื่อน ฉันกับโจวซินจะต้องรู้สึกเป็นห่วงมากแน่ๆ!” ส้งเส่นเอ๋อเดินมานานขนาดนี้ ก็รู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน เธอเองก็อยากนั่งพักอยู่ในรถสักครู่
“โจวซิน พวกเราเข้าไปนั่งในรถสักพักเถอะ” ส้งเส้นเอ๋อเปิดประตูรถด้านหลัง แล้วลากโจวซินเข้าไปนั่งในรถ เธอเห็นคนตาบอดยังยืนอยู่ข้างนอก จึงพูดกับคนตาบอดว่า: “คุณเองก็เข้ามานั่งในรถเถอะ”
คนตาบอดไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่หันมาพยักหน้ากับส้งเส่นเอ๋อ
ตอนนี้ เสียงโทรศัพท์ของโจวซินก็ดังขึ้น เป็นฉินหลั่งที่โทรมา
“ฮัลโหล โจวซิน พวกคุณอยู่ที่ไหนกัน? ทำไมผมหาพวกคุณไม่เจอ?”
“เมื่อกี้คุณไปไหนมา? พวกเราเดินอยู่ในตลาดกลางคืนตลอด ทำไมถึงไม่เจอคุณ” โจวซางเองก็รู้สึกไม่พอใจฉินหลั่งเหมือนกัน ฉินหลั่งที่ฟังอยู่ปลายสายก็พอจะรู้ว่าเป็นความผดของตนเอง
“ขอโทษ เป็นปัญหาของผมเอง ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปหาพวกคุณ…..”
ตอนนี้เอง ส้งเส่นเอ๋อแย่งโทรศัพท์มาจากโจวซิน
“คุณจะตามมาทำไม? พวกเราไม่ต้องการคุณ คุณรีบไปซะ” ส้งเส่นเอ๋อพูดเสียงดัง
“หวงเกอให้ผมมาดูแลความปลอดภัยของพวกคุณ ดังนั้นผมจำเป็นต้องอยู่ข้างๆพวกคุณ พวกคุณอยู่ที่ไหน อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ……”
“คุณอยากเห็นพวกเราเกิดเรื่องนักใช่ไหม? จะเกิดเรื่องง่ายๆขนาดนั้นได้อย่างไร? ต่อให้คุณเกิดเรื่อง พวกเราก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไร ฉันขอร้องล่ะ คุณให้รีบกลับไปเถอะ……” ส้งเส่นเอ๋อพูดเยาะเย้ย
“ผมไม่ได้แช่งพวกคุณ ผมแค่พูดว่าถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น……”
“ตอนนี้ฉันจะบอกคุณให้นะ ต่อให้ฉันส้งเส่นเอ๋อจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลยฉินหลั่ง คุณอย่ามาวุ่นวายกับฉันอีกเลย โอเคไหม?”
“คุณพูดเองนะ”
“ใช่ฉันพูดเอง จะทำไม”
ขณะที่พวกของส้งเส่นเอ๋อกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับฉินหลั่ง คนตาบอดก็เข้ามานั่งตรงที่นั่งคนขับโดยไม่ทันได้รู้ตัว
“ทำไมคุณ……” โจวซางเห็นคนตาบอดกำลังจะไขกุญแจสตาร์ทรถ: “คุณไม่ได้ตาบอด!”
“เชอะ” ประตูรถถูกล็อก แล้วคนตาบอดก็หันหน้ากลับมา
“ตอนนี้เธอเพิ่งรู้เหรอ?” คนตาบอดแสยะยิ้มแล้วพูด จากนั้นจึงถอดหมวกและแว่นตาดำออก
“หม่าเก๋อ!” ส้งเส่นเอ๋อตะโกนออกมาเสียงดัง คนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับคือหม่าเก๋อ คนที่เคยทำร้ายตระกูลของพวกเธอ
“ทำไม!” หม่าเก๋อแย่งโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของส้งเส่นเอ๋อมา จากนั้นจึงกดวางสาย เขาหันไปแสยะยิ้มให้กับส้งเส่นเอ๋อและโจวซิน เหมือนกับหมาป่าที่กำลังเผชิญหน้ากับลูกแกะตัวน้อยๆสองตัว