รถเมล์สาย 18 - ตอนที่ 31 ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลง?
บทที่ 31 ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลง?
(ประโยคนี้แปลว่า “เสียสละเพื่อมนุษย์” เป็นการแสดงออกถึงจิตวิญญาณของความกล้าหาญที่จะเสียสละเพื่อผู้อื่น)
“หลี่หนาน? ใช่ผู้เสียชีวิตในเขตหยิงเจ๋อที่เฉียนฉิงพูดถึงก่อนหน้านี้ไหม?” เหล่าสวีถามอย่างสงสัยและคิดถึงคดีก่อนที่ลู่เฉียนฉิงถามชื่อของผู้เสียชีวิตจากวิญญาณเร่ร่อน
“หลี่หนานไม่ได้ถูกฆ่าตายไปแล้วเหรอ? แล้วเขาโทรมาทําไม?” จ้าวเจิ้นถามด้วยความสงสัย แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และรู้สึกเย็นเยียบที่ด้านหลังขึ้นมาทันที “เป็นไปไม่ได้”
“ผี!” จางหลานพูดเบาๆด้วยสีหน้าที่สงบมาก
“ถ้าวิญญาณเร่ร่อนตนนั้นพูดถูก นี่จะเป็นคําอธิบายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“หยุนเกอ โทรมาบอกฉันก่อนหน้านี้ว่า ผู้เสียชีวิตในเขตหยิงเจิ๋อ ไม่ได้ชื่อ หลี่หนาน แต่มีชื่อว่า สื่อเทา” ก่อนหน้านี้เหรินเจิ้งหยุนได้ตรวจสอบข้อมูลของผู้เสียชีวิตและพบว่าผู้ตายไม่ใช่หลี่หนาน ตามที่วิญญาณเร่รอนบอก
หนิงหวาก้มหน้าขมวดคิ้ว พึมพําว่า “เป็นไปได้ไหมว่าหลี่หนานยังไม่ตาย”
“นายหมายความว่าวิญญาณเร่ร่อนตนนั้นโกหกเราแล้วเธอทําไปเพื่ออะไร?” เย่ปินรู้สึกว่าวิญญาณเร่ร่อนไม่มีเหตุผลที่จะมาโกหกพวกเขา
“ทุกอย่างจะสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ ก็ต่อเมื่อลู่เฉียนฉิงกลับมา” ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคําสาปหรือว่าโทรศัพท์ลึกลับ วิธีเดียวที่จะทําความเข้าใจกับสองสิ่งนี้ได้ก็คือ รอให้ลู่เฉียนฉิงกลับมาอธิบายให้ฟัง
สําหรับคําพูดของจางหลาน แม้ว่าทุกคนจะไม่พูดอะไร แต่ในใจของทุกคนต่างเห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะนอกจากลู่เฉียนฉิงแล้ว ในบรรดาพวกเขาไม่มีคนที่สองที่จะสามารถไขคําตอบนี้ได้
คดีไม่คืบหน้า แต่เวลาไม่หยุดรอ ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้ว และในช่วงสัปดาห์นี้ลู่เฉียนฉิงก็ยังไม่ได้กลับมาเลย
การหายตัวไปของลู่เฉียนฉิง บวกกับคดีแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้เย่ปินกับทีมทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย เมือง X ซึ่งแต่เดิมคึกคักมีชีวิตชีวา กลับมีอาการซึมเศร้าอย่างผิดปกติในช่วงเวลานี้ ในตอนกลางคืนท้องถนนที่เคยมีเสียงดัง กลับเงียบมาก ทุกคนต่างหลีกเลี่ยงการสัญจรในยามนี้ เพราะกลัวว่าจะไปพบกับสิ่งที่เรียกว่า “ผีร้าย”
“หากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป ความตื่นตระหนกในเมืองX จะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นมันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่” เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันของเมือง X ทุกคนต่างเข้าใจดีว่า หากปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเมือง X และอาจขยายไปสู่สังคมทั้งหมด ซึ่งมันจะทําให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และทําลายความรู้ความเข้าใจของผู้คน
“ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนก็ตาม สถานการณ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ดําเนินต่อไป หากปล่อยให้รูปแบบของเมือง X และการรับรู้ของผู้คนถูกโค่นล้ม มันจะสายเกินแก้” เย่ปินเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่าง มองดูผู้คนและยานพาหนะที่กําลังสัญจรอยู่นอกหน้าต่าง และครุ่นคิด
“ก็อย่างที่บอก คดีไม่คืบหน้าเลย แม้อยากหยุดสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ แต่ก็ไม่มีกําลังพอ” เฉินฮุยถอนหายใจ ไม่สามารถคิดหาวิธีหยุดสถานการณ์ที่กําลังพัฒนาไปในตอนนี้ได้
“ฉันคิดได้วิธีนึ่ง” ในขณะที่ทุกคนกําลังเป็นทุกข์ จู่ๆ เย่ปินก็พูดขึ้น และหันมามองทุกคนอย่างแน่วแน่ ในขณะนี้เย่ปินได้ตัดสินใจกับทางเลือกในใจของเขาแล้ว
“วิธีไหน?” พอได้ยินทุกคนก็ต่างหันไปมองเย่ปิน
“เนื่องจากเราไม่สามารถหาตัวฆาตกรได้ ดังนั้นเราต้องสร้างฆาตกรขึ้นมาเอง และปล่อยให้คดีเป็น “คดีฆาตกรรม” แทนที่จะเป็น “ผีร้าย” ฆ่าคน”
ทันทีที่เย่ปินพูดจบ ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด หลังจากนั้นไม่นานจางหลานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ต่อให้นายพูดถูก แต่ถ้าสร้าง “ฆาตกร” ขึ้นมาโดยไม่มีความร่วมมือจากตํารวจ มันก็ยังไม่สามารถโน้มน้าวผู้คนในเมือง X ได้อยู่ดี ประการที่สอง ฆาตกร” คนนี้ เราจะไปหาได้จากที่ไหน? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากมีคดีเกิดขึ้นอีกครั้ง มันก็ยากที่จะหา “ฆาตกร” อีกราย” แม้ว่าจางหลานจะเห็นว่าความคิดของเย่ปินไม่ผิด แต่ก็ไม่ง่ายที่จะนําไปใช้
“สิ่งที่เราต้องทํานั้นง่ายมาก นั่นคือหา “ฆาตกร” ที่ตํารวจไม่มีวันจับได้ให้กับคดีทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้าหรือหลังจากนี้ จนกว่าทุกอย่างจะจบลง”
“แล้วเราจะไปหา “ฆาตกร? แบบนี้ได้จากที่ไหน?” เฉินฮุ่ยมองดูสายตาเด็ดเดี่ยวของเยู่ใน ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจ “ปินจื่อ นายคงไม่ได้ตั้งใจจะ…”
“ใช่ จากนี้ไป ฉันคือ “ฆาตกร” คดีก่อนหน้านี้ทั้งหมดถูกสืบสวนโดยพวกเรา แม้แต่คดีฆาตกรรมที่อธิบายไม่ได้ ฉันก็ใช้ความสะดวกจากความรู้จักเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุปลอมแปลงสถานที่ให้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เรียกว่า “ผีร้ายฆ่าคน”
“ปินจือ นายล้อเล่นใช่ไหม!” เฉินฮุยถึงกับพื้น และรู้สึกเหมือนกับว่าเย่ปินกําลังพูดล้อเล่นอยู่ แต่เมื่อเฉินฮุยมองไปยังดวงตาที่แน่วแน่ของเย่ปิน เฉินฮุยก็เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างที่เย่ปินพูดมาเย่ปินนั้น เขาเอาจริง
ทุกคนเงียบไปเพราะความคิดของเย่ปินสามารถเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ แต่พวกเขาไม่อาจเห็นด้วยกับการที่เย่ปินจะถูกเรียกว่า “ฆาตกร”
“หัวหน้าเย่ ความคิดของคุณดีมาก แต่ผมไม่เห็นด้วย ที่คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกเรียกว่า “ฆาตกร” แม้ว่าคุณกําลังมองหา “ฆาตกร” ก็ตาม แต่มันไม่ควรเป็นคุณ มันควรเป็นผมมากกว่า” เหล่าสวีก้าวมาข้างหน้าและพูดอย่างหนักแน่น (ผู้แปล – ใช้สรรพนามอย่างสุภาพ เพราะเป็นการพูดอย่างจริงจัง)
“ถูกต้อง นายเป็นคนที่ทีมของเราขาดไม่ได้” จ้าวเจิ้งเดินไปทางเหล่าสวี ตัดสินใจเลือกในแบบเดียวกัน
“ฉันเห็นด้วย!” หนิงหวาเองก็เช่นกัน
จางหลานจ้องมองเย่ปินโดยไม่พูดไม่จาอยู่นาน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยคําพูดที่ทําให้ทุกคนตกตะลึง
“ปินจื่อพูดถูก “ฆาตกร” คนนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้”
“จางหลาน! แกพูดแบบนี้ได้ยังไงวะ!” สีหน้าของเฉินฮุยถมึงทิ้งทันทีที่ได้ยินคําพูดของจางหลาน เขาจ้องมองจางหลานอย่างดุเดือดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ
เย่ปินไม่ได้พูด แต่สายตาแน่วแน่และใบหน้าสงบนิ่งของเขามองไปที่จางหลาน
“สําหรับตํารวจแล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างฉากอาชญากรรมและสร้างคดีฆาตกรรมต่อเนื่องจาก “ผีร้าย” และผู้ที่ทําได้จะต้องเป็นตํารวจระดับสูง ตํารวจธรรมดาไม่สามารถทําได้ อีกทั้งในจอยังเป็นคนที่เคยไขคดีใหญ่ได้มาก่อน และกลายเป็นตํารวจดีเด่นของเมือง X ที่ได้รับการสัมภาษณ์มากมายจากสถานีโทรทัศน์ ทําให้หลายคนรู้จักเขา ถ้าเขากลายเป็น “ฆาตกร” ก็จะมีแนวโน้มสูงที่ผู้คนจะให้ความสนใจมากขึ้น เหมาะสมกับความคิดเห็นของผู้คนในปัจจุบัน” จางหลานพูดอย่างสงบ มันสงบจนทําให้คนฟังรู้สึกเศร้า
เมื่อได้ยินคําอธิบายของจางหลาน เฉินฮุยก็ถึงกับกัดฟัน แม้เขาจะมีสีหน้าไม่เห็นด้วยกับคําพูดของจางหลานก็ตาม แต่ในใจก็รู้ดีว่า ผู้คนจะไม่ตกตะลึงกับ “ฆาตกร” มากไปกว่าการที่เย่ปินเป็นตัว “ฆาตกร” เสียเอง ซึ่งสิ่งนี้จะสามารถปลุกระดมความคิดของประชาชนและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในปัจจุบัน
“หลานเกอ ทุกคน ฝากดูแลทุกอย่างด้วย” หลังจากได้ฟังคํากล่าวของจางหลาน เย่ปินก็แสดงรอยยิ้มโล่งใจบนใบหน้า
““ฆาตกร คนเดียวทําเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น ฉันคิดว่า เพียงแค่นี้ ประชาชนยังไม่มั่นใจพอ ที่นี่สามารถฝากไว้กับทุกคนเท่านั้น” จางหลานพูดขณะมองไปยังทุกคนที่ไม่ใช่เย่ปิน
พอเฉินฮุยได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับผงะไปชั่วครู่ “จางหลาน! นาย?”
“ถ้าข้าไม่ลงนรก แล้วใครจะลง?” จางหลานมองไปที่เฉินฮุยด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกับเย่ปิน
****