รถเมล์สาย 18 - ตอนที่ 25 รับคนเพิ่ม
รถเมล์สาย 18 บทที่ 25 รับคนเพิ่ม
บทที่ 25 รับคนเพิ่ม
หลังจากมาถึงสวนเปยซานและมองหาลู่เฉียนฉิง เพียงไม่นานเขาก็พบลู่เฉียนฉิงที่สวมสูทนั่งเท่อยู่ในศาลา
“ตรงนี้” พอเห็นเย่ปิน ลู่เฉียนฉิงก็ยิ้มและโบกมือเรียกให้เยบินมานั่งด้วยกัน
“ลู่เสี่ยวเกอ ขอโทษที่รบกวน” เย่ปินนั่งลงตรงข้ามลู่เฉียนฉิงและกล่าวขอโทษอย่างจริงใจ
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ แค่ซื้อบ้านก็พอ” ลู่เฉียนฉิงยิ้มและหยิบใบโฆษณาขายบ้านปีกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอกสาร
เย่ปินพอเห็นแบบนั้น ดวงตาของเขาก็หรี่ลง สีหน้ามืดมนลงทันที
“ฮ่าฮ่า! เด็กจัง! ผมล้อเล่น! เอาไอ้นี่ไปรองนั่งสิ เก้าอี้หินมันเย็น!” ลู่เฉียนฉิงพูดพร้อมกับหัวเราะ
เยบินได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก เขาลุกขึ้นยืนรับใบโฆษณา “ขายบ้าน” มารองนั่ง
“ดูจากท่าทางของคุณ ดูเหมือนมีเรื่องไม่ค่อยดีบางอย่างเกิดขึ้นอีกล่ะสิ” ลู่เฉียนฉิงทัก
เย่ปินพยักหน้า “ผมก็ไม่อยากปิดบังจู่เสี่ยวเกอ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้จริงๆ” เย่ปินไม่ได้บอกลู่เฉียนฉิงเกี่ยวกับเรื่องคําสาป
“ยันต์ที่ให้ไปครั้งก่อนหมดแล้วหรือยังครับ?” ลู่เฉียนฉิง ถามด้วยความเป็นห่วง
“หมดแล้วครับ” เยบินรู้สึกขอบคุณต่อความช่วยเหลือของลู่เฉียนฉิงก่อนหน้านี้
“อืม” ลู่เฉียนฉิงพยักหน้า และเปิดกระเป๋าเอกสารหยิบยันต์สามแผ่นออกมา กระดาษยันต์ทั้งสามลงอักขระที่มีลวดลายแตกต่างกันเอาไว้ เย่ปินสังเกตอย่างระมัดระวัง และพบว่า “สีแดง” ที่เขียนอยู่บนกระดาษดูชื้นมาก เหมือนเพิ่งเขียนเสร็จได้ไม่นาน
“เสี่ยวลู่เกอนี่คือ?” เย่ปินมองกระดาษยันต์สามแผ่นด้วยความสงสัย
“คุณเก็บไว้แผ่นนึง ที่เหลือก็ให้เพื่อนของคุณเก็บติดตัวไว้ จนกว่าคาถาที่เขียนบนกระดาษจะหายไป มิฉะนั้นผู้คนไม่ทิ้ง ยันต์ ยันต์ก็ไม่ทิ้งผู้คน” ลู่เฉียงฉินกล่าว และใช้ทักษะ การเปลี่ยนสีหน้า จากสีหน้าเล่นตลกก่อนหน้ากลายมาเป็นสีหน้าจริงจัง
เยู่ปินมองกระดาษยันต์ทั้งสามแผ่นแล้วขมวดคิ้ว “เสี่ยวลู่เกอ ทั้งสามแผ่นมีประโยชน์ยังไง?”
“คุณกับเพื่อนทั้งสองคนของคุณมีของสกปรกติดตัว” ลู่เฉียนฉิงพูดด้วยน้ําเสียงจริงจัง
เมื่อได้ยินคําพูดของลู่เฉียนฉิง เยบินก็ถึงกับตกตะลึง เขาไม่เคยเปิดเผยข่าวใดๆกับลู่เฉียนฉิง ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงว่าลู่เฉียนฉิงจะรู้เรื่องของพวกเขาทั้งสามคน
“ลู่เสี่ยวเกอ หมายถึงอะไร?” เยู่ปินถามอย่างไม่มั่นใจ
ลู่เฉียนฉิงมองหน้าเย่ปิน แล้วส่ายหน้าและถอนหายใจยาว ไม่นานเขาก็พูดขึ้นช้าๆว่า “สิ่งที่เรียกว่าความจริงนั้น มันสําคัญกับคุณมากอย่างนั้นหรือ?”
“ในฐานะตํารวจ หน้าที่ของเราคือการค้นหาความจริงของคดี” เยู่ในกล่าวอย่างเคร่งขรึม ดวงตาที่มองลู่เฉียนฉิงเต็มไปด้วยความหนักแน่นมั่นคง
“แต่ถ้าความจริงมันโหดร้ายและอันตรายมากล่ะ?” ลู่เฉียนฉิงถามกลับ
คําพูดของลู่เฉียนฉิง ทําให้เย่ปินถึงกับตัวสั่นเล็กน้อยทันที แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็สงบลง “ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เรามีหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องคิดให้ออก”
“ก็ได้ คุณนี่ดื้อเหลือเกิน ไร้ประโยชน์ที่จะพูดกับคุณมากกว่านี้” สุดท้ายลู่เฉียนฉิงก็เลิกคิดที่จะเกลี้ยกล่อมเยู่ปิน “ผมไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับรถเมล์สาย 18″ แค่รู้ว่ามันแยกจากกันไม่ออกจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่หมู่บ้านเฮยสุ่ยเมื่อ 5 ปีก่อน”
เย่ปินพยักหน้ารับทราบเบาะแสที่ลู่เฉียนฉิงให้ เพราะระหว่างการสืบสวนในช่วงนี้ พวกเขาก็รู้แล้วว่ารถเมล์สาย 18″ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับหมู่บ้านเฮยสุ่ย
“เสี่ยวลู่เกอ คุณเคยได้ยินชื่อโจวหย่าเพิ่งไหม?”
พอได้ยินชื่อโจวหย่าเผิงจากเย่ปิน ดวงตาของลู่เฉียนฉิงก็ดูจริงจังขึ้นทันที
“อืม”
“คุณไปได้ยินชื่อนี้มาจากไหน?” การแสดงออกของลู่เฉียนฉิงก็ดูมืดมนขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าลู่เฉียนฉิงต้องรู้จักกับโจวหย่าเผิงอย่างแน่นอน
“เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเฮยสุ่ย” เยบินไม่ปิดบังบอกกับลู่เฉียนฉิงไปตรงๆ
“หัวหน้าหมู่บ้านเฮยสู่ย?” พอได้ยินคําพูดของเยบิน ลู่เฉียนฉิงก็สีหน้าสงสัยและครุ่นคิด
“ลู่เสียวเกอรู้จักกับโจวหย่าเพิ่งงั้นเหรอ?”
“โจวหย่าเพิ่งเป็นลุงของผม (ผู้แปล-คนละแซน่าจะเป็นญาติฝ่ายแม่นะ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นน้าหรือเป็นลุง ขอใช้เป็นลุงไปก่อนละกัน) แต่เขาเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว คงจะเป็นคนที่มีชื่อเหมือนกันมากกว่า” ท้ายที่สุดลู่เฉียนฉิงก็คิดว่าโจวหย่าเพิ่งที่เขารู้จักกับโจวหย่าเผิงของเยบิน น่าจะเป็นคนที่มีชื่อเหมือนกันมากกว่าจะเป็นคนๆเดียวกัน
“ถ้าคุณพูดแบบนั้น ก็อาจจะเป็นคนที่มีชื่อเหมือนกันจริงๆก็ได้” เย่ปินก็รู้สึกเหมือนกับลู่เฉียนฉิงขโมยผลงานมาจากเว็บ ว่ามันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่ทั้งสองคนมีชื่อเหมือนกัน
“ลู่เสี่ยวเกอ ลุงของคุณเคยเป็นคนขับรถเมล์หรือเปล่า?”
“คนขับรถเมล์?” ลู่เฉียนฉิงมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ส่ายหน้า “ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับลุงของผมเลย” จริงๆแล้วโดยส่วนตัวลู่เฉียนฉิงไม่เคยพบกับโจวหย่าเพิ่งมาก่อนเลย เพียงแต่รู้ว่าเขามีลุงชื่อนี้เท่านั้น
“เสี่ยวลู่เกอ ผมมีคําขออย่างหนึ่ง” เย่ปินหยุดถามเรื่องโจวหย่าเผิง และแทนที่ด้วยคํากล่าวที่จริงจังอย่างยิ่ง
“คุณต้องการให้ผมช่วยคุณสืบคดีนี้” ลู่เฉียนฉิงคาดเดา “คําขอของเยบิน”ได้
เย่ปินพยักหน้า แม้ตอนนี้จะไม่มีอันตรายใดๆในการสืบสวนคดีที่เกี่ยวกับรถเมล์สาย 18″ แล้วก็ตาม แต่เย่ปินก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากลู่เฉียนฉิง เพราะรอบๆตัวของเขาไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับภูติผีวิญญาณเลย
“ขอโทษด้วย ผมมีงานทํา ไม่มีเวลาไปช่วยเหลือคุณหรอก” ลู่เฉียนฉิงปฏิเสธคําขอของเยบินไปตรงๆ
“นี่เป็นเรื่องของชีวิต ผมหวังว่าคุณจะพิจารณาเรื่องนี้อีกที นอกจากนี้เราจะจ่ายค่าจ้างให้คุณด้วย” ในมุมมองของเยบิน ลู่เฉียนฉิงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่โลภมาก ตราบใดที่เขาใช้เงินเป็นเหยื่อล่อ ลู่เฉียนฉิงต้องติดเบ็ดแน่
พอได้ยินว่ามีการจ่ายเงินให้ สีหน้าของลู่เฉียนฉิงก็เปลี่ยนไปทันที เขามองหน้าเยบินแล้วพูดว่า “ถ้าราคาเหมาะสม ผมสามารถพิจารณาเปลี่ยนอาชีพได้” ในฐานะ “พนัก งานขายอสังหาริมทรัพย์” ในพวกเยู่ปินทั้งสามคน มีเพียงเย่ปินเท่านั้นที่เขายังไม่เสนอขายบ้านให้ ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ ลู่เฉียนฉิงมีรายได้น้อยมาก และเขาก็มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนงานมาก่อนหน้านี้แล้วด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเย่ปีนต้องการจะรับสมัครคน เขาก็ตั้งใจจะเปลี่ยนงานทันที
เมื่อเห็นสายตาที่เปล่งประกายด้วยความโลภของลู่เฉียนฉิง เย่ปินก็รู้ได้ทันทีว่า ปลาติดเบ็ดแล้ว
“เดือนละ 3,000 รวมค่าอาหารและที่พัก”
“ตกลง!” พอได้ยินว่าจะได้รับเงินเดือน “3,000” ลู่เฉียนฉิงก็ไม่ลังเลกล่าวตกลงทันที แต่หลังจากตกลงรับทํางานให้กับเย่ปิน ลู่เฉียนฉิงก็ยื่นเงื่อนไขของเขาทันที
“ผมช่วยคุณสืบคดีได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่มีอันตราย พวกคุณต้องฟังผม”
เย่ปินเข้าใจเงื่อนไขของลู่เฉียนฉิง เขาเองก็ไม่ต้องการให้ทีมตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน
“ไม่มีปัญหา
“งั้นก็ตกลง คุณจะให้เริ่มงานเมื่อไหร่ เวลาทํางานจะนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป”
“วันนี้ คุณไปทํางานพร้อมกับผมเลย”
สุดท้าย เยบินก็รับลู่เฉียนฉิงมาทํางานด้วยได้สําเร็จ ทําให้ลู่เฉียนฉิงกลายเป็นหนึ่งในทีมสืบสวน ซึ่งทําให้งานของทีมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว