ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - บทที่ 79 : อาวุโสเม่ย
นิยาย ย้อนชีวิตพิชิตเซียน ย้อนชีวิตพิชิตเซียน – บทที่ 79 : อาวุโสเม่ย
บทที่ 79 : อาวุโสเม่ย
แม้กัวเว่ยจะนึกชื่นชมซอาน แต่เมื่อครั้งที่เกิดเรื่องในร้านคาราโอเกะซึ่งยู่นั้น ซูอานก็ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ทําให้เขายังนึกโกรธมาจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อนึกถึงที่อานเคยช่วยจางเชียงกับแฟนสาวไว้ กัวเว่ยจึงไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาให้กับ
อาน
ระหว่างที่กัวเว่ยกําาลังคิดว่าจะทําเช่นใดอยู่นั้น จางเชียงก็สะกิดมือกัวเว่ยเป็นการส่งสัญญาณให้เขาช่วยซูอาน เพราะอย่างน้อยซูอานก็เคยช่วยเขากับเสียวเอ้อมือไว้
ในขณะที่เสี่ยวเอ้อมอเองก็จ้องมองซูอานด้วยแววตาซาบซึ้งใจอย่างที่สุด เพราะหากไม่ได้เด็กหนุ่มตรงหน้านี้ช่วยเธอไว้ในครั้งนั้น เธอคงต้องตกนรกทั้งเป็นแน่!
เสี่ยวเอ้อมอหันไปมองจางเชียงด้วยแววตาอ้อนวอน จางเชียงเองก็หันไปกระซิบกับกัวเว่ยว่า “พี่เว่ย.. ได้โปรด.. ถ้พี่ไล่เขาออกไปตอนนี้ เขาต้องอับอายขายหน้า อย่างมากแน่!”
กัวเว่ยขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น และกระซิบตอบจางเชียงกลับไปว่า “น้องชาย.. นายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขามีศัตรูมากมาย แล้วศัตรูของเขาก็ก่าลังจ้องมองอยู่ หากไม่ไล่เขาออกจากงานประมูล ฉันก็ต้องมีปัญหาซะเอง!”
จางเชียงได้แต่นิ่งเงียบ เพราะที่กัวเว่ยพูดมานั้นก็ถูก เวลานี้พวกเขาเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงไม่รู้ว่าจะต้องทําเช่นใด?
จางเชียงได้แต่จ้องมองซูอานด้วยแววตาขอโทษและรู้สึกผิด ในขณะที่ซูอานก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร พร้อมกับจิบไวน์ในแก้วเพื่อกดข่มความโกรธที่มีต่อพ่อลูกสกุลซูในเวลานี้!
“ซูอาน แกยังจะอยู่ที่นี่ต่อไปท่าไม? ไร้ยางอายสิ้นดี ฉันล่ะอายแทนแกจริงๆ!” ซูปิงเซียนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
ในขณะที่ซูเทียนหลุนก็รีบเสริมขึ้นทันที “นั่นสิ! มีเงินไม่กี่ล้าน แม้แต่บ้านคุ้มกะลาหัวยังไม่มีเป็นของตัวเอง แต่สะเอะจะมาในงานเลี้ยงของชนชั้นสูง น่าสมเพชจริงๆ!”
สองพ่อลูกสกุลซูยังคงพูดจาเยาะเย้ยถากถางซูอานไม่หยุด และยิ่งพวกเขาทําให้ซูอานได้รับความอับอายมากเพียงใด ทั้งคู่ก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากเท่านั้น
และเวลานี้ผู้คนในงานก็เริ่มมามุงดูเหตุการณ์กันมากขึ้น ทุกคนต่างก็พากันจ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลายคนจ้องมองซ้อานด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามที่เขาเป็นคนฐานะต่าต้อย และพากันวิพากษ์วิจารณ์ดูถูกซูอานไม่หยุด
“มีเงินแค่ไม่กี่ล้าน ใครปล่อยให้เข้ามาในงานได้กัน?”
“เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสินะ?”
“นั่นสิ แล้วเขาไปได้บัตรเชิญมาได้ยังไง?”
“ผมว่าเขาน่าจะแอบเข้ามามากกว่า ไม่น่าจะมีบัตรเชิญ!”
เวลานี้พ่อลูกสกุลซูทั้งตื่นเต้นดีใจและมีความสุขอย่างมากราวกับได้ค้นพบโลกใหม่ จากนั้นซูปิงเซียนก็หันไปตะคอกใส่ซูอานเสียงดัง
“นี่แกกล้าแอบเข้ามาทั้งที่ไม่มีบัตรเชิญงั้นเหรอ? จับมันโยนออกไปเลย..”
ซูอานหันไปมองซูปิงเซียนพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ําเสียงเย้ยหยัน “หากเจ้ากล้าก็ลงมือได้เลย แต่ข้ารับรองได้ว่าเจ้าต้องเจ็บตัวแน่..”
“นี่แก!”
ซปิงเซียนสบถออกมาด้วยความโมโหที่ไม่สามารถข่มขู่ซูอานได้สําเร็จ และเขาเองก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายเข้าไปจับซอานโยนออกไปด้วยตัวเอง เพราะนั่นเท่ากับรนหาที่ตาย ซุญิงเซียนจึงเหลือบมองไปทางกัวเว่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“หรือแกไม่กลัวแม้แต่คุณชายเว่ย?”
กัวเว่ยจ้องมองซูอาน และได้แต่หวังว่าเขาจะยอมถอยแต่โดยดี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้น และให้เรื่องราวครั้งนี้จบลงอย่างง่ายดาย
แต่ซอานกลับยังคงนิ่งเฉย และยกแก้วไวน์ในมือขึ้นจิบโดยไม่แสดงท่าที่ใดๆ ทําให้กัวเว่ยรู้สึกโมโหอย่างมาก ในที่สุดจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า
“ซูอาน ที่นี่คืองานประมูล ไม่ใช่ KTV!”
“ข้าย่อมรู้ว่าที่นี่คืองานประมูล!”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็โชว์บัตรเชิญให้พวกเราดูสิ จะได้เป็นการยืนยันว่านายมีเงินมากกว่าห้าสิบล้าน และมีคุณสมบัติที่จะอยู่ในงาน ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่มีทางเลือก นอก จากต้องให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาพาตัวนายออกไป ถึงตอนนั้นก็อย่าได้ตำหนิว่าฉันทําให้นายต้องขายหน้าก็แล้วกัน!”
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน? ฐานะของเจ้าคู่ควรที่จะขอดูบัตรเชิญของข้าเช่นนั้นรึ?”
“นี่นาย!”
กัวเว่ยได้ยินคําพูดของซูอานก็ถึงกับโกรธจนควันออกหู เขาไม่สนใจอะไรอีก และรีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาทันที
“ผู้จัดการถัง มีคนมาก่อกวนในงาน คุณช่วยขึ้นมาจัดการโดยเร็วด้วย!”
“ครับ.. ผมจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลยครับ!”
หลังจากนั้นไม่นาน ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบของโรงแรมก็ขึ้นมาชั้นแปด ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน พร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่ง
ผู้จัดการกังหันไปมองกัวเว่ยพร้อมกับถามขึ้นว่า “คุณชายเว่ยครับ ไม่ทราบใครกันที่มาก่อกวนในงาน?”
“เขา!” กัวเว่ยตอบพร้อมกับกับยกมือขึ้นชี้ไปทางซูอานอย่างไม่ลังเล
ผู้จัดการถึงหันไปถามซอานด้วยน้ําเสียงเกรี้ยวกราด “กรุณาโชว์บัตรเชิญ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าคุณมีสิทธิ์อยู่ในงานด้วยครับ!”
“แล้วถ้าข้าไม่สามารถพิสูจน์ได้เล่า?” ซูอานถามกลับด้วยน้ําเสียงนิ่งเรียบ
สีหน้าของผู้จัดการถังเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที และตอบซูอานเสียงห้วน “ก็ต้องออกไป!”
และเสียงของผู้จัดการถังก็ดังพอที่จะทําให้อีกหลายคนในงานหันไปมองด้วยความสนอกสนใจ และพากันพูดถึงเรื่องที่กําลังเกิดขึ้น
“ซูอาน นายรีบออกไปจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากเรื่องราวใหญ่โตถึงต่ารวจ ก็จะยิ่งยากที่จะแก้ไขได้” กัวเว่ยร้องบอก
“นี่พ่อหนุ่ม หากยังดึงดันจะก่อกวนในงานนี้อีก ฉันจะทําให้เธอต้องไปนอนโรงพยาบาลเลยล่ะ!” หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นฝ่ายพูดขึ้น
ในขณะที่ผู้จัดการถังก็ข่มขู่ว่า “อย่ามาอวดดีที่นี่ ถ้ายังไม่ไป ฉันจะแจ้งความและฟ้องร้องเธอข้อหาบุกรุก!”
“อิ่ม!!”
ปัง!!
ซอานทําเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ พร้อมกับใช้ขาข้างหนึ่งกระทึบเก้าอี้จนหักไม่มีชิ้นดี
ทุกคนที่เห็นถึงกับตกอกตกใจ เพราะต่อให้คนคนนั้นแข็งแรงมากเพียงใด การกระทึบเพียงแค่ครั้งเดียว ก็ไม่น่าจะทําให้เก้าอี้หักไม่มีชิ้นดีได้แบบนี้ หลายคนจึงรีบถอยหลังหนีห่างทันที และสีหน้าก็บ่งบอกถึงความรู้สึกหวาดกลัว
แม้แต่พ่อลูกสกุลซูก็กระโดดถอยห่างไปอย่างมากเช่นกัน พวกเขาต้องการเห็นซูอานตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลาบาก แต่ก็ไม่ต้องการถูกซูอานทําร้ายเหมือนครั้งก่อน
และเมื่อได้เห็นท่าทางยะโสโอหังของซูอาน ผู้จัดการถังก็ยิ่งโมโหจนตัวสั่นเทา เขารีบยกวิทยุมือถือขึ้นมารายงานใครบางคนทันที
“อาวุโสเม่ย มีคนมาหาเรื่องในงานครับ ฝีมือไม่ธรรมดาเลย!”
และเสียงตอบรับก็ดังขึ้นจากวิทยุสื่อสาร “ให้ รปภ.จัดการไปสิ!”
“แต่อาวุโสเม่ยครับ เด็กหนุ่มคนนี้แข็งแรงมาก เขากระทืบเก้าอี้แค่ครั้งเดียว เก้าอีกหักออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีชิ้นดีเลยครับ!”
ปลายสายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบกลับมาว่า “อ่อ.. ฉันกําลังต้อนรับรองฉันอยู่ เสร็จแล้วจะรีบไปดูทันที!”
“ครับ!”
หลังจากอาวุโสเม่ยรับปากจะมาดูด้วยตนเอง ผู้จัดการถังก็หันไปจ้องมองซูอานด้วยสีหน้าที่มั่นใจขึ้น และพูดกับเขาว่า
“พ่อหนุ่ม เธอคิดว่าที่นี่เป็นสนามเด็กเล่นงั้นเหรอ? รอให้อาวุโสเม่ยมาถึงก่อนแล้ว เธอจะจักคาว่าของจริง!”
ชายร่ารวยมีฐานะคนหนึ่งได้ยินผู้จัดการถึงเรียกอีกฝ่ายว่าอาวุโสเม่ย จึงรีบถามขึ้นว่า “ผู้จัดการถัง อาวุโสเม่ยคนนี้ก็คือผู้นําตระกูลเมียน่ะเหรอ?”
ผู้จัดการถังพยักหน้า “ตระกูลว่านต้องใช้เงินจํานวนมากมายเพื่อที่จะเชิญอาวุโสเม่ยมาในงาน มีใครในเจียงโจวไม่รู้จักอาวุโสเม่ยบ้าง?”
“อาวุโสเม่ยที่เป็นนักยุทธน่ะเหรอ?”
“ผมเคยได้ยินว่าเขาคนเดียว แต่สามารถเอาชนะอันธพาลห้าสิบกว่าคนได้!”
คนในงานต่างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กัน..
พ่อลูกสกุลซูเองก็ยิ้มออกมาอย่างสะใจ ซูเทียนหลุนยิ้มออกมาพร้อมกับหันไปกระซิบกับพ่อของเขาว่า
“ท่าทางครั้งนี้หมอนั่นเจอคนที่เหนือกว่าแล้วล่ะพ่อ!”
“ในเจียงโจว อาวุโสเม่ยเป็นรองแค่หลิวเตาเท่านั้นล่ะ..”
ใครบางคนที่รู้จักชื่อเสียงของอาวุโสเม่ยดี จงใจพูดเสียงดังเพราะต้องการเห็นซูอานหวาดกลัวจนตัวสั่น และในความคิดเห็นของทุกคนเวลานี้ ต่างก็มั่นใจว่าอาวุโสเม่ยจะสามารถจัดการกับซอานได้อย่างง่ายดาย
ซูอานนิ่งฟังอยู่นานในที่สุดก็ล้วงบุหรี่ขึ้นมาสูบพร้อมกับพ่นควันโขมง ผู้จัดการถังเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโมโห และร้องตะโกนใส่หน้าซอานว่า
“นี่แกกล้าสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะด้วยเหรอ? ไม่กลัวกฎหมายบ้างรึยังไง?”
ซูอานยืนนิ่งทําหูทวนลม และในระหว่างนั้นอาวุโสเม่ยก็มาถึงพอดี..
ทุกคนในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าดีอกดีใจที่เห็นหน้าอาวุโสเม่ย พ่อลูกสกุลซูเองก็ถึงกับยิ้มกว้าง และกําลังรอคอยที่จะได้เห็นภาพซูอานถูกทําร้าย และถูกจับโยนออกไปนอกโรงแรม
ผู้จัดการถังรีบเดินตรงเข้าไปทักทายด้วยความนอบน้อม “อาวุโสเม่ย จัดการให้ผมด้วย!”
แต่อาวุโสเม่ยกลับตาหนิผู้จัดการถังเสียงดัง “หึ.. เป็นถึงผู้จัดการโรงแรม แต่เรื่องแค่นี้กลับไม่สามารถจัดการได้?”
ผู้จัดการถังถึงกับเหงื่อตก แต่ก็ไม่กล้าโตเถียง..
อาวุโสเม่ยดผู้จัดการถึงเพียงแค่นั้น เพราะต้องรีบหันมาแก้ปัญหาในเวลานี้ก่อน เพราะนี่คืองานประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเจียงโจว เขาไม่สามารถปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้ และต้องอาศัยจังหวะที่คนในงานยังไม่สนใจมาก รีบสะสางปัญหาให้เรียบร้อยก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในช่วงประมูล
“แล้วตอนนี้คนที่มาสร้างปัญหาอยู่ที่ไหนกัน?”
ผู้จัดการถังรีบยกมือขึ้นชี้ไปทางซูอานทันที “หมอนั่นครับอาวุโสเม่ย!”
ตอนนี้อาวุโสเม่ยอยู่ห่างจากซูอานไปราวห้าเมตร ส่วนซูอานเวลานี้ก็กําลังนั่งกิน ขนมขบเคี้ยวบนโต๊ะอยู่อย่างไม่สนใจ อาวุโสเม่ยจึงไม่สามารถมองเห็นหน้าของซูอานได้
แม้อาวุโสเม่ยจะเดินเข้าไปหาซูอานแล้ว แต่เขายังคงนั่งนิ่งไม่สนใจ จนใครบางคนถึงกับทนไม่ได้ และร้องตะโกนออกมาว่า
“นี่.. อาวุโสเม่ยมาแล้ว ยังไม่ลุกขึ้นคาราวะอีกเหรอ?”
“นั่นสิ! อวดดีเกินไปแล้ว!”
“อาวุโสเม่ยครับ หมอนี่มันจงใจไม่ให้เกียรติอาวุโสนะครับ จัดการมันเลย!”
เมื่อเข้าไปใกล้ซูอาน อาวุโสเม่ยก็สามารถสัมผัสได้ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นนักยุทธเช่นเดียวกัน จึงได้เอ่ยขึ้นว่า
“พ่อหนุ่ม ที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใครจะมาเดินเล่นก็ได้ เธอไม่กลัวว่าจะต้องตายตั้งแต่ยังหนุ่มรึไง?”
อาวุโสเม่ยร้องถามซูอานด้วยน้ําเสียงนิ่งเรียบ แต่ซูอานกลับยังคงนั่งกินขนมขบเคี้ยวอย่างไม่ใส่ใจ ทําให้อาวุโสเม่ยโมโหอย่างมาก
“พ่อหนุ่ม เธออยากให้ฉันลงมือจริงๆงั้นรึ?”
แต่ระหว่างนั้นซปิงเซียนก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “อาวุโสเม่ย ไม่เห็นต้องมีมารยาทกับมันเลย มันก็แค่เด็กําพร้าในบ้านสกุลซูเท่านั้น!”
“พ่อหนุ่ม ถ้าเธอยังทําเป็นหูทวนลมอยู่แบบนี้ ก็อย่าว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน!”
อาวุโสเม่ยร้องบอกด้วยสีหน้าดุดัน และเวลานี้ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็พากันถอยกรูดออกไป เพราะรู้ว่าอาวุโสเม่ยจะต้องลงมือแน่
แต่สีหน้าของซูอานกลับยังคงสงบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบขนมเข้าปากคําสุดท้าย แล้วจึงค่อยๆหันมาทางอาวุโส เม่ยพร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ําเสียงเรียบเฉย
“อาวุโสเม่ย.. เมื่อไหร่เจ้าจะชดใช้หนี้ที่ติดค้างข้าเสียที่?”
[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
จักรพรรดิเทพมังกร
(Dragon Emperor – Martial God)
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทําให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ล่าดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..