ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - ตอนที่ 8 : คู่ซ้อม
บทที่ 8 : คู่ซ้อม
ทันทีที่ก้าวลงจากรถ เหล่าฮั๋วก็ทำสีหน้าเป็นปกติแล้วหันไปพูดกับซูอานว่า “ที่นี่เป็นโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ของฉันเอง เธอไม่ต้องกังวลใจไป !”
เหล่าฮั๋วเห็นสีหน้าของซูอานที่ดูระมัดระวังตัว จึงรีบร้องบอกให้เขาสบายใจ แต่ซูอานที่จ้องมองเหล่าฮั๋วนิ่งกลับตอบเขาไปว่า
“เจ้าดีกับข้าเช่นนี้ ปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงสหาย เหตุใดข้ายังต้องกังวลใจด้วยเล่า ? เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าอะไรคือ ศิลปะการต่อสู้ ”
แม้ปากของซูอานจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ในสมองของเขานั้นกลับคิดแตกต่างกัน แม้เขาจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของมัน แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคงจะเป็นวิธีการบ่มเพาะพลังของคนบนโลกนี้
เรื่องนี้คาดเดาได้ไม่ยาก แต่เรื่องที่เขาไม่มั่นใจนักคือฐานะของชายชราผู้นี้เสียมากกว่า เขาไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวเอง เพราะมันอาจนำพาตัวเขาไปพบเจอกับอันตรายที่ไม่อาจรู้ได้
แต่เหล่าฮั๋วนั้นก็ช่างรู้ใจและล่วงรู้ความคิดของซูอาน ราวกับอสูรเฒ่าที่อยู่บนโลกนี้มานาน
“พ่อหนุ่ม ฉันเองก็แก่มากแล้ว และหวงแหนพรสวรรค์ของตัวเองมาก จึงอยากมีคนที่ไว้ใจและเชื่อใจได้เท่านั้น !”
ซูอานจ้องมองเหล่าฮั๋ว เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ปรากฏออกมาทางแววตา เขารู้ว่าเหล่าฮั๋วไม่ได้พูดโกหก ทำให้เขารู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันที
“เฮ้อ .. ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆเท่านั้น ไม่ได้รู้เรื่องศิลปะการต่อสู้อะไรอย่างที่เจ้าพูดถึงเลยจริงๆ !”
ถึงแม้ซูอานจะเริ่มใจอ่อนขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็ยังไม่ต้องการเปิดเผยความลับของตัวเองออกไป เพราะนี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ต่อให้เขาเชื่อว่าเหล่าฮั๋วจะไม่ทำอันตรายเขาก็ตาม
หลังจากได้ฟังคำพูดของซูอาน ในที่สุดเหล่าฮั๋วก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะพูดกับซูอานว่า “เอาล่ะ ถ้างั้นเรามาเจรจาตกลงกันดีกว่า !”
“ในเมื่อฉันเลี้ยงอาหารเธอไปแล้ว เธอก็ต้อง เป็นคู่ซ้อมให้กับฉัน เป็นการแลกเปลี่ยน ตกลงนะ ?”
ซูอานเข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดเหล่าฮั๋วจึงได้พาเขามาที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ !
เหล่าฮั๋วเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งนี้ขึ้น โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งนี้เป็นที่รู้จักและโด่งดังที่สุดในตงเฉิง อีกทั้งเขายังเป็นทายาทของตระกูลที่ฝึกฝนวรยุทธมาตั้งแต่บรรพบุรุษด้วย
เมื่อเห็นเหล่าฮั๋วเดินเข้ามา ทุกคนที่อยู่ภายในโรงยิมต่างก็พากันทักทายยิ้มแย้มอย่างมีความสุข สำหรับพวกเขาแล้ว เหล่าฮั๋วคืออาจารย์ที่ทุกคนต่างก็รักและให้ความเคารพ
“ฉือกง ไปเตรียมห้องซ้อมให้ฉันที !”
ฉือกงถึงกับตกใจเมื่อได้ยินอาจารย์พูดกับตนเองเช่นนั้น เพราะเท่าที่เขาจำได้ อาจารย์ไม่เคยพูดจากับเขานานหลายปีแล้ว
‘แล้วอาจารย์มากับใครกันน่ะ ?’
‘ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ..’
ฉือกงพยักหน้ารับคำสั่งอย่างรวดเร็ว และวิ่งไปเตรียมห้องฝึกตามที่อาจารย์ของตนสั่งทันที แต่ก็อดที่จะครุ่นคิดตั้งคำถามในใจไปด้วยไม่ได้ ส่วนศิษย์คนอื่นๆได้แต่ยืนตกตะลึง
“ใครกันนะ ? เขาจะสู้กับอาจารย์ของพวกเรางั้นเหรอ ? อาจารย์จะให้พวกเราเข้าไปดูมั๊ยนะ ?”
บรรดาลูกศิษย์วัยรุ่นต่างก็พากันซุบซิบด้วยความงุนงง และอยากรู้อยากเห็น ส่วนลูกศิษย์หญิงก็มองเด็กสาวที่เดินตามเหล่าฮั๋วไปด้วยสายตาที่ไม่พอใจนัก แน่นอนว่าพวกเธออยากเป็นคนที่เหล่าฮั๋วให้ติดตามไปตามที่ต่างๆด้วย
ผ่านไปราวสองสามนาทีได้ บรรดาศิษย์ภายในห้องยิมต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ “คนที่มาอาจจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธล้ำเลิศกว่าอาจารย์ก็ได้นะ ?”
“ไม่มีทาง ! ในเจียงโจวไม่มีใครเก่งแล้วก็น่านับถือไปมากกว่าท่านอาจารย์ฮั๋วของพวกเราแล้วล่ะ”
“นี่อย่าบอกนะว่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ? แต่ไม่น่าจะใช่ !”
เวลานี้ทุกคนต่างก็พากันจ้องมองไปทางซูอานที่ดูไม่ต่างจากคนธรรมดาไร้วรยุทธ ทุกคนต่างก็คิดว่าเขาไม่แตกต่างจากผู้คนที่เดินอยู่ตามท้องถนนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
“ฮ่า ฮ่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลย หมอนั่นเจอฉันเข้าไปแค่หมัดเดียว ก็ต้องไปนอนสลบไสลอยู่ที่โรงพยาบาลสามวันสามคืนแล้วล่ะ !”
เด็กวัยรุ่นอ้วนท้วนคนหนึ่งหันไปมองซูอานพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก และแทบไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำไป
“นั่นสิ ! อย่าว่าแต่แกเลยเจ้าอ้วน ฉันเองก็ชกหมดนั่นล้มในหมัดเดียวได้เหมือนกัน !”
แม้จะเผชิญหน้ากับกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายหญิงที่พากันหัวเราะและดูถูกเหยียดยามตนเองเช่นนั้น ซูอานก็ไม่ต้อบโต้แม้แต่คำเดียว เขายังคงยืนนิ่งราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเด็กวัยรุ่นเหล่านั้น
ตรงข้าม เขากลับมองเด็กวัยรุ่นชายหญิงเหล่านี้ด้วยสายตาของผู้ใหญ่ที่มองเด็ก และแน่นอนว่าหากเทียบกับดวงจิตของเขา ทุกคนที่อยู่ต่อหน้าเวลานี้ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กเท่านั้น
แต่แล้วเด็กสาวที่ติดตามเหล่าฮั๋วไปจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว .. เป็นเขากับอาจารย์ของพวกเรา !”
“นี่อย่ามามั่ว พูดอะไรเพ้อเจ้อ !” ใครคนหนึ่งร้องตะโกนออกมาอย่างเชื่อ
แต่ในระหว่างนั้นเอง เหล่าฮั๋วก็เดินออกมาตามซูอานเข้าไปในห้องฝึกซ้อมที่เตรียมไว้ จากนั้นเหล่าฮั๋วก็เป็นผู้ปิดประตูห้อง
“เห้ย .. เป็นไปได้ยังไง ?”
ใบหน้าของฉือกงบ่งบอกถึงความตกใจสุดขีด เขาคิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้ของอาจารย์ในวันนี้จะเป็นซูอาน ซึ่งเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ดูเหมือนศิษย์คนอื่นๆจะมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงกว่าฉือกงมาก เพราะเมื่อครู่พวกเขาได้พูดจาดูถูกไว้มาก เวลานี้ทั้งหมดต่างก็หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
“เห้ย .. เป็นไปได้ยังไง ? หมอนั่นนี่นะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านอาจารย์ !”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ต่อให้ฆ่าฉันตายฉันก็ไม่เชื่อเด็ดขาด !”
“นั่นสิ ! ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ”
…
ในเวลานั้นเองฉือกงก็เดินเข้าไปหาทุกคนพร้อมกับถามขึ้นว่า “พวกนายยังไม่ไปฝึกซ้อนกับอีกเหรอ ?”
บรรดาเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวต่างก็แยกย้ายกันไปฝึกซ้อมทันที แล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกเลย ..
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไปฝีกซ้อมแล้ว ฉือกงก็หันมองไปทางห้องฝึกซ้อมพร้อมกับส่ายหัว
“หมอนั่นต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ แม้แต่ฉันเองก็คงจะไม่คะนามือของเขาแน่ !”
ที่ฉือกงพึมพำออกมาแบบนั้น เพราะระหว่างที่เขาเดินผ่านร่างของซูอานกับอาจารย์ฮั๋วนั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานแข็งแกร่งที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของซูอาน มันเป็นพลังงานที่ทำให้ผู้คนถึงกับสั่นสะท้านได้ในทันที
….
ในระหว่างนั้น เหล่าฮั๋วกับซูอานที่อยู่ในห้องซ้อมต่างก็ยืนเผชิญหน้ากันอยู่
“เข้ามาได้ !”
เหล่าฮั๋วร้องตะโกนออกไป เขาสัมผัสได้ว่ากำลังภายในที่อยู่ภายในร่างของซูอานนั้นเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว เขาจึงต้องการรู้ว่าซูอานนั้นจะไร้ซึ่งวรยุทธจริงหรือไม่ ?
“เจ้าก็เข้ามาก่อนสิ !”
มีหรือที่ซูอานจะไม่รู้ว่า ผู้ที่บุกเข้าจู่โจมก่อนจะเป็นผู้ที่เผยตัวตนของตัวเองออกมา เขาไม่ได้โง่และจะไม่ยอมหลงกลเหล่าฮั๋วอีกครั้งเป็นแน่
เหล่าฮั๋วยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้ศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่าหวิงชุนพุ่งเข้าจู่โจมซูอานทันที
หวิงชุนเป็นศิลปะการต่อสู้จีนแขนงหนึ่งในแบบของกังฟู ซึ่งจะใช้หมัดในการป้องกันตัว จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในการจู่โจมคู่ต่อสู้นัก แต่เหล่าฮั๋วได้ฝึกฝนและพัฒนาจนสามารถใช้เป็นอาวุธจู่โจมคู่ต่อสู้ได้อย่างดุเดือดและรุนแรง
เมื่อเหล่าฮั๋วตั้งใจชกเข้าที่กระดูกซี่โครงของเขาอย่างรุนแรงเช่นนั้น แน่นอนว่าตำแหน่งนั้นคือจุดที่อ่อนแอที่สุดของมนุษย์ จึงแทบไม่ต้องสงสัยว่าหากปล่อยให้เหล่าฮั๋วชกเข้า กระดูกซี่โครงของซูอานจะต้องหักอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ซูอานจึงต้องรีบรวบรวมพลังชีวิตในจุดตันเถียนของตนเองมาไว้ที่ฝ่ามือของตน และตอบโต้กลับไปด้วยหมัดห้าธาตุ
หมัดห้าธาตุนั้นนับเป็นศิลปะการต่อสู้ที่เป็นเพลงมวยขั้นพื้นฐานที่ซูอานสามารถนำออกมาใช้ได้ทันที ท่วงท่าของเขานั้นเคลื่อนไหวด้วยความสง่างามและทรงพลัง
เมื่อเหล่าฮั๋วเห็นเช่นนั้น จึงรีบดึงหมัดของตนกลับออกมาพร้อมกวาดแขนเป็นรูปครึ่งวงกลม จากนั้นมือทั้งสองข้างก็ผลักเข้ากับแขนข้างหนึ่งของซูอานอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่เช่นนั้นครู่ใหญ่ และต่างก็ประลองกันอยู่ราวสิบกว่ากระบวนท่า ต่างฝ่ายต่างผลัดกันได้เปรียบและเสียเปรียบอยู่เช่นนั้น แต่ก็ยังไม่อาจหาผู้แพ้และผู้ชนะได้
แต่ในเวลานั้นเอง แววตาของเหล่าฮั๋วก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นซูอานตอบโต้ตนกลับเช่นนั้น เขาใช้การกระโดดลอยตัวกลางอากาศ แล้วใช้เท้าทั้งสองข้างกระโดดถีบเข้าใส่ร่างของซูอานทันที และพลังจากการกระโดดถีบนั้นย่อมรุนแรงกว่าการชกด้วยหมัดมาก และไม่จำเป็นต้องใช้กำลังภายในเลยแม้แต่น้อย
ซูอานถอยหลบอย่างรวดเร็ว และยังคงใช้หมัดห้าธาตุจู่โจมและตั้งรับเหล่าฮั๋วเช่นเดิม การปะทะกับเหล่าฮั๋วครั้งนี้นับว่ารุนแรงและใช้พลังมากกว่าทุกครั้ง เวลานี้พลังชีวิตในร่างกายของซูอานก็ถูกใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้ว
เมื่อเห็นซูอานยังคงตอบโต้ตนเองดั่งพยัคฆ์ที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ และยังคงส่งหมัดเข้าจู่โจมอย่างไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เหล่าฮั๋วจึงรีบรวบรวมกำลังภายในทั้งหมดไว้ที่ร่างกายเพื่อป้องกันหมัดที่พุ่งเข้าใส่ของซูอาน
หลังจากได้ยินเสียงดังปัง ! ร่างของเหล่าฮั๋วจึงถอยหลังกลับไปสองสามก้าว เลือดของเขาสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง และเวลานี้ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ
แต่ร่างของซูอานก็สั่นสะท้านและกระเด็นถอยหลังไปสองสามก้าวเช่นกัน และเวลานี้เขาก็รู้สึกปวดร้าวที่แขนเช่นกัน
ทั้งสองคนต่างก็ยืนจ้องหน้ากัน จากนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น !
“ไม่เลวเลยทีเดียว ! คนมีพรสวรรค์แบบเธอช่างหาได้ยากนักพ่อหนุ่ม ดังคำพูดว่าคลื่นลูกใหม่กำลังแซงขึ้นลูกเก่า คำพูดนี้ช่างเป็นความจริงมากทีเดียว”
เหล่าฮั๋วจ้องตาซูอานนิ่งนาน ในที่สุดก็เอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม
“เหล่าฮั๋วกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว !”
ซูอานเองก็แอบนึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ เวลานี้เขาอยู่ในขั้นปรับพื้นฐานลมปราณ แต่กลับเอาเสมอเหล่าฮั๋วได้เท่านั้น ดูเหมือนโลกใบนี้จะไม่ธรรมดาอย่างที่เขาเคยคิด
*****
[ฝากนิยายแปลอีกเรื่องของทีมงานนะคะ: จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
จักรพรรดิเทพมังกร
(Dragon Emperor – Martial God)
ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด
จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..
******