ย้อนชีวิตพิชิตเซียน - ตอนที่ 35 : ไม่ต่างจากสุนัข!
บทที่ 35 : ไม่ต่างจากสุนัข !
ผู้ที่พูดก็คือฉีเสี่ยวจือ .. ประธานหญิงแห่งยู๋ไห่กรุ๊ปที่เข้ามารับตำแหน่งประธานบริษัทแทนพ่อของเธอ !
น้ำเสียงของเธอนั้นแม้จะนุ่มนวล แต่ก็หนักแน่นและมีพลังอำนาจ คำพูดเมื่อครู่บ่งบอกถึงคำสั่ง หาใช่คำขอร้อง หรือขอความเห็นจากผู้คนที่นั่งอยู่ภายในห้อง
ฉีเสี่ยวจือสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคอวีซึ่งเข้าได้ดีกับเสื้อสูทและกระโปรงสีดำของเธอ สีหน้าที่นิ่งเรียบเย็นชาของเธอนั้น บ่งบอกว่าเป็นผู้หญิงทำงานที่ทั้งเก่งและแกร่งมากคนหนึ่ง
สายตาของฉีเสี่ยวจือเหลือบมองไปทางเว่ยฉีหยวน พร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของเขาอย่างท้าทาย ไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตาของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย
ฉีเสี่ยวจือนั้นเป็นผู้หญิงที่แกร่งมากคนหนึ่ง นักธุรกิจหลายคนในเจียงโจวต่างก็รู้ดีว่า เธอไม่ได้มีดีเพียงแค่หน้าตาที่สะสวยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นฉีเสี่ยวจือคงจะไม่สามารถเข้ามารับตำแหน่งจากพ่อของเธอในภาวะที่ยู๋ไห่กรุ๊ปกำลังระส่ำระสายอย่างมากเช่นนี้ได้แน่
เว่ยฉีหยวนได้แต่จ้องมองฉีเสี่ยวจือด้วยความประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าประธานคนใหม่ของยู๋ไห่กรุ๊ปในเวลานี้จะเป็นผู้หญิง
เว่ยฉีหยวนไม่เคยรู้พบเจอหญิงสาวที่มีหน้าตางดงามราวกับเทพธิดาเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าสีหน้า แววตา และท่าทางของหญิงสาวผู้นี้จะเย็นชาอย่าง แต่ความงดงามของเธอก็ทำให้เว่ยฉีหยวนถึงกับใจสั่นสะท้านได้ ..
จิตใจและความรู้สึกของเว่ยฉีหยวนสั่นคลอนอย่างรุนแรง แม้ว่าเขาจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ความรู้ดี ฐานะร่ำรวย และเคยพบเจอหญิงสาวหน้าตาสะสวยมามากมาย แต่เขาก็ยังไม่เคยพบใครที่สวยงามอย่างหาที่ติไม่ได้เช่นเธอคนนี้มาก่อน หัวใจของเขาจึงเต้นอย่างรุนแรงทันทีที่ได้เห็นหน้าฉีเสี่ยวจือ
ไม่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามของฉีเสี่ยวจือที่ทำให้เว่ยฉีหยวนประทับใจ แต่ความสามารถในการวางตัว และอารมณ์ของเธอนั้นก็ดึงดูดความสนใจเขาอย่างมากด้วย
ที่ผ่านมา .. ผู้หญิงที่เว่ยฉีหยวนควงไปไหนต่อไหนนั้น ล้วนแล้วแต่มีดีเพียงแค่หน้าตา และเป็นได้เพียงตุ๊กตาหน้ารถของเขาเท่านั้น เขาไม่เคยพบเจอหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา สูงสง่า มีการศึกษา และท่าทางเฉลียวฉลาดเช่นฉีเสี่ยวจือมาก่อน
แม้ว่าเว่ยฉีหยวนจะพยายามรักษาท่าทีของตนเองแล้ว แต่เขาก็เผลอจ้องมองฉีเสี่ยวจืออยู่นานกว่าหนึ่งนาที !
ไม่เพียงเท่านั้น .. เว่ยฉีหยวนยังเบนสายตาละจากใบหน้างดงามไร้ที่ตินั้น ลงไปสำรวจรูปร่างที่สมส่วนของฉีเสี่ยวจือด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ามีความสุขอย่างมาก
เมื่อเห็นสายตาที่ไร้มารายาทของเว่ยฉีหยวน ฉีเสี่ยวจือก็ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงที่เข้มกว่าเดิม
“คุณไม่ได้ยินที่ฉันพูดเหรอ ?”
เว่ยฉีหยวนยิ้มบาง และรีบปกปิดความรู้สึกของตนเองด้วยการถามกลับไปว่า “เมื่อคุณพูดอะไรเหรอครับ ?”
“กรุณาดับซิการ์ด้วย ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวของคุณ !”
เว่ยฉีหยวนทำหูทวนลม และไม่มีทีท่าว่าจะทำตามคำพูดของฉีเสี่ยวจือแม้แต่น้อย พร้อมตอบกลับไปว่า
“ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีใครขอให้ผมหยุดสูบซิการ์เลยแม้แต่คนเดียว ไม่ทราบคุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผมงั้นเหรอ ?”
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ? ในเมื่อฉันเป็นประธานของยู๋ไห่กรุ๊ป !”
ฉีเสี่ยวจือตอบกลับพร้อมกับเลิกคิ้วคู่งามนั้นขึ้นอย่างท้าทาย และเวลานี้เธอก็มีเหตุผลที่จะรังเกียจเว่ยฉีหยวนเป็นอย่างมาก เพราะเขาเป็นคนของตระกูลเว่ย และเหตุผลนี้เพียงข้อเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เธอเกลียดเขาได้ทันทีที่พบเห็นแล้ว !
“อ่อ .. ที่แท้คุณก็เป็นประธานคนใหม่ของยู๋ไห่กรุ๊ปงั้นเหรอ ? ผมขออนุญาตรู้จักชื่อของคุณได้มั๊ยครับ ?”
“ไม่จำเป็น ! เรียกดิฉันว่าประธานฉีก็พอ”
ชื่อของฉีเสี่ยวจือนั้นก็ไม่ได้เป็นความลับที่จำเป็นจะต้องปกปิดผู้คนแต่อย่างใด ทุกคนในบริษัทต่างก็รู้จักเธอดี ผู้คนเกือบทั้งเจียวโจวต่างก็รู้จักเธอดีเช่นกัน แต่เธอเพียงแค่นึกรังเกียจเว่ยฉีหยวนจนไม่อยากบอกกับเขาเท่านั้นเอง
เว่ยฉีหยวนไม่รู้จักชื่อของฉีเสี่ยวจือจริงๆ เพราะเขาเองก็เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศหลังจากไปร่ำเรียนมานานหลายปี จึงไม่คุ้นเคยกับเจียงโจวนัก
“ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเรียกคุณว่าประธานฉีก็แล้วกัน !”
เว่ยฉีหยวนคร้านที่จะคาดคั้นถามเรื่องชื่ออีก แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างงดงามของฉีเสี่ยวจือพร้อกพึมพำออกมาเบาๆ
“ประธานฉีนี่สุดยอดจริงๆ !”
ฉีเสี่ยวจือขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก “ถ้าคุณอยากสูบซิการ์มาก ก็ขอเชิญออกไปสูบข้างนอก !”
ฉีเสี่ยวจือดูเหมือนจะโกรธมากจริงๆ และเธอจะไม่ยอมให้ศัตรูของตนได้ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้แน่ !
“ได้ๆ ดับก็ดับ !”
เว่ยฉีหยวนยื่นบุหรี่ให้คนของตัวเอง จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นถูกันพร้อมกับจ้องมองฉีเสี่ยวจือ ยิ่งเขามองเธอมากก็ยิ่งพึงพอใจเธอกมากขึ้น !
“พอใจหรือยังครับ ?”
ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆต่างกนิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไร และแสร้งทำเป็นไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แม้ฉีเสี่ยวจือจะโกรธมาก แต่เธอก็รู้ว่าไม่ควรที่จะทำอะไรที่เกินเลยกับอีกฝ่ายมากไปนัก เพราะฐานะของเว่ยฉีหยวนก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย !
“ทำไมวันนี้เว่ยพังเฉิงถึงไม่เข้าประชุมด้วย ?”
“พ่อของผมไม่ว่าง แต่ประธานฉีไม่ต้องห่วง ผมสามารถจัดการทุกอย่างแทนพ่อได้ !” เว่ยฉีหยวนตอบกลับไปทันที
“คุณนี่นะ ?!”
ฉีเสี่ยวจือจงใจเน้นเสียงในประโยคคำถามถัดมา “คุณมีตำแหน่งอะไรในบริษัทเว่ยฉีกรุ๊ปไม่ทราบ ?”
เว่ยฉีหยวนพยายามข่มความโกรธไว้พร้อมตอบกลับไปทันที “ในฐานะคุณชายตระกูลเว่ย ยังจำเป็นต้องมีตำแหน่งอะไรอีกเหรอครับ ?”
“คุณพูดเพอเจ้ออะไร ? เว่ยฉีกรุ๊ปต้องการที่จะครอบกิจการของยู๋ไห่กรุ๊ปไม่ใช่เหรอ ? อย่างน้อยก็ควรต้องส่งคนที่มีอำนาจในบริษัทมาเจรจาสิ !” ฉีเสี่ยวจือตอบโต้กลับอย่างไม่ลดละ
คนของเว่ยฉีหยวนทำท่าทางไม่พอใจคำพูดของฉีเสี่ยวจืออย่างมาก แต่เว่ยฉีหยวนรีบยกมือห้ามไว้พร้อมกับตอบฉีเสี่ยวจือไปว่า
“ตำแหน่งของผมน่ะเหรอ ? ก็ประธานคนใหม่ของยู๋ไห่กรุ๊ปซึ่งกำลังจะเป็นบริษัทในเครือของเว่ยฉีกรุ๊ปยังไงล่ะ !”
เว่ยฉีหยวนตอบฉีเสี่ยจือพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ และในสายตาของเขา ไม่ว่าอย่างไรยู๋ไห่กรุ๊ปก็ต้องตกเป็นของเว่ยฉีกรุ๊ปอย่างแน่นอน !
เวลานี้ เว่ยฉีหยวนไม่เพียงสนใจบริษัทยู๋ไห่กรุ๊ป แต่เขากำลังสนใจฉีเสี่ยวจือที่งดงามอย่างมากคนนี้ด้วย เขากำลังคิดที่จะยิงปืนนัดเดียวเพื่อให้ได้นกสองตัว คือได้ครอบครองทั้งบริษัทและทั้งคนด้วย !
“ตำแหน่งนี้พอจะเข้าประชุมได้หรือยังครับ ?”
ฉีเสี่ยวจือโกรธจนพูดอะไรไม่ออก และได้แต่ยกมือขึ้นชี้หน้าเว่ยฉีหยวน ..
“ผมพูดอะไรผิดเหรอครับ ? หรือคุณคิดว่ายู๋ไห่กรุ๊ปจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกซื้อกิจการในครั้งนี้ได้ ?!”
จากนั้นเว่ยฉีหยวนก็กวาดสายตามองไปทางเหล่าผู้ถือหุ้นทั้งหลายที่อยู่ในห้องประชุม ด้วยสีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
บรรดาผู้ถือหุ้นที่นั่งอยู่ภายในห้องต่างก็พยักหน้าหงึกๆ เป็นการบ่งบอกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของเว่ยฉีหยวน ในเมื่อพวกเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์และเงินทองเป็นที่น่าพอใจ เหตุใดยังต้องปฏิเสธด้วยเล่า ?
“ประธานฉี .. คงไม่สามารถยื้อไว้ได้นานกว่านี้อีกแล้วล่ะ !”
“นั่นสิ .. ไม่มีท่านประธานคนเก่าแล้ว ยู๋ไห่กรุ๊ปก็ยากที่จะไปต่อได้ !”
“ขายกิจการไปดีกว่า ! เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่ดีกับทุกฝ่าย ให้ยู๋ไห่กรุ๊ปไปอยู่ภายใต้การบริหารของเว่ยฉีกรุ๊ป บริษัทของเราก็จะสามารถกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้งแน่ !”
…
บรรดาผู้ถือหุ้นที่นั่งอยู่ภายในห้อง ต่างก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้ฉีเสี่ยวจือขายบริษัทให้กับเว่ยฉีกรุ๊ปไปเสีย !
ฉีเสี่ยจือจ้องมองผู้ถือหุ้นที่อยู่ภายในห้องประชุม คำพูดของพวกเขาทุกคนไม่ต่างจากมีดคมที่กำลังกรีดลงไปในหัวใจของเธอ และเวลานี้หัวใจเล็กๆนั้นก็กำลังเปียกโชกไปด้วยเลือด และรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด !
“พวกคุณ ..”
ฉีเสี่ยวจือยกมือขึ้นชี้หน้าเหล่าผู้ถือหุ้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ในขณะที่เหงื่อเม็ดโตก็กำลังผุดขึ้นเต็มหน้าผากนวลเนียนของเธอ ..
ริมฝีปากและใบหน้าของฉีเสี่ยวจือซีดเผือด และเวลานี้เธอก็กำลังสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และรู้สึกอ่อนล้าจนแทบทรุดลงไปกองกับพื้น
ฉีเสี่ยวจือไม่แปลกใจนักที่เว่ยฉีหยวนยะโสโอหังได้ถึงเพียงนี้ เพราะหากเป็นเว่ยพังเฉิงอยู่ในห้องประชุมเวลานี้ เขาจะจองหองไม่เห็นหัวผู้คนยิ่งกว่าที่เว่ยฉีหยวนทำในตอนนี้เสียอีก !
และที่ฉีเสี่ยวจือเจ็บปวดใจอย่างที่สุดนั้น ก็เพราะผู้ถือหุ้นเหล่านี้ช่างแล้งน้ำใจ และเลือดเย็นกับเธอมากอย่างที่เธอไม่คาดคิดมาก่อน !
“พวกคุณล้วนไม่ต่างจากสุนัขที่พร้อมจะกระโดดงับเศษเนื้อเล็กๆน้อยๆที่ผู้คนโยนให้ ! ”
ฉีเสี่ยวจือกัดฟันกรอด เวลานี้เธอทั้งโกรธแล้วก็ผิดหวังในตัวผู้ถือหุ้นทุกคนในห้องนี้ จนได้แต่พูดออกไปอย่างเย้ยหยัน
พ่อของเธอเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยู๋ไห่กรุ๊ปนี้มาด้วยตัวเอง แต่วันนี้ .. กลุ่มผู้ถือหุ้นเหล่านี้กลับเห็นแก่เศษเงินเพียงเล็กๆน้อยๆ และเงินปันผลที่จะได้รับทุกๆปี ถึงกับรวมหัวกันที่จะขายหุ้นส่วนของตนเองให้กับเว่ยฉีกรุ๊ป !
พ่อของเธอเป็นคนใจดี เขาถึงกับยอมที่จะลดหุ้นของตนเอง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ และยอมได้รับส่วนแบ่งที่น้อยกว่าผู้ถือหุ้นคนอื่นๆทั้งหมด
แต่เมื่ออีกฝ่ายยื่นผลประโยชน์ที่ดีกว่าให้ คนพวกนี้ก็ยินยอมและพร้อมที่จะเป็นข้ารับใช้ของฝ่ายนั้นอย่างเต็มใจ !
เมื่อได้ยินคำพูดเย้ยหยันของฉีเสี่ยวจือ บรรดาผู้ถือหุ้นต่างก็มีสีหน้าขุ่นเคืองใจขึ้นมาทันที ทุกคนต่างก็จ้องมองฉีเสี่ยวจือด้วยแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ !
“เป็นเด็กเป็นเล็ก แต่กลับกล้าพูดจาดูถูกเย้ยหยันพวกเราขนาดนี้เลยเรอะ ?” หนึ่งในผู้ถือหุ้นถึงกับลุกขึ้นยืนพร้อมกับตะโกนใส่หน้าฉีเสี่ยวจือ !
“นั่นสิ ! ตอนที่พวกเราเปิดบริษัทนี้กับพ่อของเธอ เธอยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป !”
“หึ ! คิดบ้างมั๊ยว่าเป็นเพราะตัวเธอเอง ยู๋ไห่กรุ๊ปถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้ พวกเราถึงต้องการให้ขายกิจการให้คนอื่น !”
กลุ่มผู้ถือหุ้นต่างก็ไม่เกรงใจฉีเสี่ยวจือ พวกเขาไม่เพียงไม่นึกละอายใจและสำนึกผิด แต่กำลังโยนความผิดทั้งหมดให้กับฉีเสี่ยวจือฝ่ายเดียว และอาศัยวัยวุฒิที่มากกว่าวางท่าข่มขู่ฉีเสี่ยวจือ
ตอนนี้ร่างกายของฉีเสี่ยวจือสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ วันนี้เธอเพิ่งจะได้เห็นธาตุแท้ของคนพวกนี้ว่าไม่ต่างจากสุนัขหิวโหยที่รอคอยเศษเนื้อ
เว่ยฉีหยวนได้แต่นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา และเฝ้าสังเกตดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องประชุมอย่างเงียบๆ ในสายตาของเขานั้นฉีเสี่ยวจือไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ !
เวลานี้แววตาของฉีเสี่ยวจือที่จ้องมองบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหมดนั้น ปรากฏให้เห็นเพียงแค่ร่องรอยของความเย้ยหยัน เย็นชา และไร้ซึ่งความเคารพอีก
“แม้พวกคุณจะมีวัยวุฒิที่สูงกว่าฉัน แต่สิ่งที่พวกคุณทำอยู่ในตอนนี้ กลับห่างไกลความเป็นมนุษย์มากนัก !”
“พวกเราทำอะไรผิด ? สิ่งที่พวกเราทำลงไปก็เพื่อให้ยู๋ไห่กรุ๊ปสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ แล้วมันไม่ดีตรงไหน ?”
“นั่นสิ ! ถ้าไม่ขายกิจการ ยู๋ไห่กรุ๊ปก็ต้องล้มละลายแน่ !”
ฉีเสี่ยวจือฟังแล้วก็ได้แต่มองกลุ่มผู้ถือหุ้นด้วยสายตาเย้ยหยัน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความโมโห
“พวกคุณกำลังจะบอกฉันว่าทำไปเพราะหวังดีต่อยู๋ไห่กรุ๊ปสินะ ?”
“พวกคุณคงลืมสิ่งที่พ่อของฉันเคยทำให้พวกคุณหมดแล้วสินะ ? พวกคุณเคยคิดบ้างมั๊ยว่าพวกคุณใช้เงินลงทุนในยู๋ไห่กรุ๊ปเท่าไหร่ ? และได้ผลตอบแทนกลับคืนไปเท่าไหร่แล้ว ?”
“พ่อของฉันยอมลดหุ้นของตัวเองเพื่อให้พวกคุณได้หุ้นเพิ่มขึ้น จะได้มีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น พวกคุณคงลืมเรื่องนี้กันหมดแล้วสินะ ?”
ฉีเสี่ยวจือพูดออกไปด้วยดวงตาที่เริ่มจะแดงก่ำ เพราะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก เมื่อรู้ว่าความดีที่พ่อของเธอได้ทำลงไปนั้น ช่างไร้ค่าในสายตาของสุนัขหิวโหยพวกนี้ !
ฉีเสี่ยวจือยังไม่ยอมหยุดพูดเพียงแค่นั้น “ไม่เพียงพวกคุณไม่เห็นความดีของพ่อฉัน แต่ในช่วงที่เกิดอุบัติเหตุกับพ่อ บริษัทต้องประสบปัญหาและวิกฤติอย่างหนัก พวกคุณในที่นี้มีใครบ้างมั๊ยที่ยอมนำเงินของตัวเองมาลงทุนเพิ่ม ? ไม่มีเลยสักคน .. พวกคุณไม่เคยคิดที่จะควักเงินออกมาแม้แต่หยวนเดียวด้วยซ้ำไป !”
ในตอนท้ายประโยค .. น้ำเสียงของฉีเสี่ยวจือเริ่มมีอาการสั่นเครือจนแทบจะร้องไห้ออกมา แม้เธอจะเข้มแข็งและแกร่งสักเพียงใด แต่เธอก็ยังเป็นเพียงผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพศที่มีอารมณ์อ่อนไหว